ตอนที่ 7 : พี่สาวไว้ใจได้นะ 1/2
ตอนที่
[6]
พี่สาวไว้ใจได้นะ
แต่ทว่าด้วยเห็นใจในคำว่า ‘ข้ากำลังหนีคนมา’ ของอีกฝ่าย จูจิ่งหลงจึงได้สับสน เพราะว่านางอาจจะกำลังรู้สึกหวาดกลัวใครสักคนเช่นเขาก็ได้
“จะ เจ้าหนีผู้ใดมาหรือ” แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
ซูซีหลินเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยอมพูดกับตนแล้วจึงได้ถอนหายใจ
“เป็นคนที่ใจร้ายมาก” ว่าแล้วก็ปล่อยมือจากเขาก่อนจะแสร้งทำเป็นเศร้าใจ จูจิ่งหลงยามนี้คิดในใจหรือว่านางกำนัลผู้นี้จะถูกซูกุ้ยเฟยรังแกมา
โครก
ทว่ายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดเสียงท้องร้องของเด็กน้อยก็ดังขึ้น ใบหน้าของเขาขึ้นซับสีด้วยความอับอาย
เจ้าท้องนี่มาร้องอะไรยามนี้ น่าอายชะมัด จูจิ่งหลง
และจังหวะนี้เองที่ซูซีหลินหยิบขนมที่ตนตั้งใจทำออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นจึงลากเด็กน้อยไปนั่งกินด้วยกัน
“ข้านำขนมมาด้วย มากินด้วยกันเถิด” ว่าแล้วก็ยัดขนมชิ้นใหญ่ใส่มือของเขา
จูจิ่งหลงที่เดิมก็ระแวงทุกอย่างอยู่แล้วจึงมองผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ
ซูซีหลินจึงทำเป็นไม่สนใจเขา แล้วกัดกินขนมด้วยความเอร็ดอร่อย เด็กน้อยกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ท่าทางการกินของคนตรงหน้าและขนมในมือนี่ช่างน่ากินเสียจริง สุดท้ายเด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย เขาตัดสินใจนั่งลงกินขนมข้าง ๆ หญิงสาวแปลกหน้า คราแรกยังคงเป็นการละเลียดกิน แต่เมื่อต่อมรับรสเข้าถึงความอร่อยของขนมในมือ กว่าจะรู้ตัวอีกทีขนมชิ้นใหญ่ก็ลงท้องไปหมดเสียแล้ว ซูซีหลินที่เห็นดังนั้นจึงได้นำขนมของตนมาให้เขาอีก
และในที่สุดจูจิ่งหลงก็กินขนมหมดไปแล้วสี่ชิ้นและในมือคือชิ้นที่ห้า
เด็กน้อยยังคงกินมันด้วยท่าทางหิวโหย ซึ่งซูซีหลินรู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้นั้นเป็นเพราะอะไร
ฝูมามาผู้แสนร้ายกาจผู้นั้นด้วยอยากให้องค์ชายจูจิ่งหลงเกลียดชังซูซีหลินเข้ากระดูกดำ แม้แต่การกินอาหารก็ยังไม่ปล่อยเด็กน้อยไป มักจะให้เขาจำกัดการกินอาหาร บางวันอาจจะต้องอดหากว่าเด็กน้อยทำไม่ถูกใจ
และมักจะตบท้ายด้วย หากองค์ชายไม่เชื่อฟัง ซูกุ้ยเฟยก็จะให้องค์ชายอดอาหารเช่นนี้
ทำให้องค์ชายน้อยไม่ได้กินอาหารเต็มที่ เมื่อนางทำขนมแสนอร่อยมามีหรือเขาจะอดใจไหว
“เดี๋ยวข้าต้องไปก่อน ขอบคุณมากนะที่อยู่เป็นเพื่อนข้า” และเพื่อความเป็นธรรมชาตินางต้องทำเป็นไม่สนใจในการกินขนมทั้งห้าชิ้นของเขา
จูจิ่งหลงทำท่าอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ก้มหน้าสลับกับเงยหน้าอยู่เช่นนั้น
“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าหรือ”
“คือว่า…. เจ้าจะมาอีกหรือไม่”
หญิงสาวในชุดนางกำนัลที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น
“แน่นอน ข้าจะมาอีก แล้วจะเอาของอร่อยมากินกับเจ้าด้วย”
เด็กน้อยกะพริบตาถี่ ๆ ภายนอกอาจจะดูนิ่งแต่ในใจเขากับคาดหวังว่าจะได้พบกับอีกฝ่ายอีก นางถือว่าเป็นสหายคนแรกของเขา
ซูซีหลินที่ไม่รู้ว่าถูกเด็กน้อยนับเป็นสหายไปเสียแล้ว ออกจากตำหนักซิงเยียนด้วยความอารมณ์ดี
วันต่อมานางก็ยังไปพบเขาอีก พร้อมกับนำขนมไปดังที่ว่าจริง ทั้งคู่นั่งกินขนมด้วยกันเงียบ ๆ ไม่ได้พูดจากันมากนัก เป็นเช่นนี้อยู่สามวัน แต่กระนั้นก็ทำให้จูจิ่งหลงรู้สึกผ่อนคลายและคลายความหวาดกลัวต่อการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าลง
วันที่สี่ระหว่างที่กินขนมด้วยกันซูซีหลินตัดสินใจลองพูดบางอย่างขึ้น
“เจ้าเกลียดซูกุ้ยเฟยมากเลยหรือ”
กึก!
เพียงแค่ได้ยินชื่อของใครบางคนร่างของเด็กน้อยก็แข็งทื่อราวกับหิน จนขนมในมือแทบร่วงหล่น
“หะ เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนั้น”
“ก็จากกระดาษนั่นอย่างไรเล่า” ซูซีหลินว่าแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปที่กองกระดาษที่ยังเผาไม่หมด
“นางเป็นคนไม่ดี นางจะทำร้ายข้า” เขาว่าพร้อมทั้งตัวสั่นไม่น้อย ยามที่นึกถึงสิ่งที่ฝูมามาบอกถึงความเลวร้ายของซูกุ้ยเฟยที่จะทำต่อเขา ที่ผ่านมาเขาอยากจะเตือนเสด็จลุงเหลือเกิน แต่ฝูมามาก็มักจะห้ามปรามเขา จากนั้นจึงบอกว่าหากเขายังทำเช่นนี้ซูกุ้ยเฟยจะลงโทษอันใดบ้าง เขาจึงไม่กล้าปริปากบอกเสด็จลุงเลยนับจากนั้น
“เราไม่อาจจะตัดสินผู้ใด หากว่ายังไม่ได้ไปสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ฟังจากคนอื่นเล่าไม่ได้หรอกนะ บางอย่างอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้” เสียงของหญิงสาวทำให้เด็กน้อยออกจากภวังค์ความคิดตน จูจิ่งหลงเผยแววตาสับสนทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ฝูมามาไม่เคยพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน รวมทั้งคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“หากไม่อยากให้ผู้ใดมาตัดสินว่าเราเป็นคนฟังความข้างเดียว เราต้องเปิดใจให้กว้าง แล้วค่อย ๆ เรียนรู้มัน จากนั้นค่อยตัดสินอีกที” ซูซีหลินกล่าวสำทับ พร้อมทอดมองเด็กน้อยด้วยแววตาอ่อนโยน
ต่อจากนั้นในทุก ๆ วันนางยังคงนำขนมมากินกับเขา นอกจากนั้นยังนำของเล่นมาเล่นกับเขาอีกด้วย จนวันหนึ่งเขาก็เอ่ยปากออกมาว่า
“เจ้าเป็นสหายคนแรกของข้า หากเจ้ามีคนรังแกข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
เด็กน้อยจดจำได้ดีว่าสหายผู้นี้หนีใครบางคนมา เขาจะต้องปกป้องสหายผู้นี้ให้ดี
ในระยะเวลาหลายวันซูซีหลินค่อย ๆ บอกสอนเด็กน้อยให้ซึมซับสิ่งที่ถูกต้องไม่ให้ถูกข้อมูลผิด ๆ ที่ฝูมามาพยายามเสี้ยมสอนครอบงำเขา
เพียงไม่กี่วันเด็กน้อยก็สามารถเข้าใจและคล้อยตามได้อย่างรวดเร็วและได้รับรู้ว่าสิ่งที่ฝูมามาทำกับเขานั้นไม่ใช่เรื่องปกติ วันหนึ่งฝูฉางอินรู้สึกแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของเขา แต่ก็ไม่สามารถจับอันใดได้
แน่ล่ะ เมื่อได้กลายเป็นสหายกันแล้ว ทั้งยังเป็นสหายที่ดี มีหรือจูจิ่งหลงจะไม่เชื่อฟังนางเมื่อบอกวิธีเกี่ยวกับการรับมือยามที่ฝูมามาสงสัย
“หลงเออร์เจ้าอยากหลุดพ้นจากฝูมามาหรือไม่”
ซูซีหลินเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่พบว่าวันนี้สีข้างของเด็กน้อยมีรอยจ้ำและรอยเล็บมือของใครบางคนเกิดขึ้น
เด็กน้อยที่นัยน์ตาใสซื่ออาบย้อมไปด้วยน้ำตาที่จะไหลออกมาอยู่รอมร่อ มองสหายพลางเม้มปากเป็นเส้นตรงราวกับพยายามข่มกลั้นอารมณ์บางอย่าง
เขากำลังจะร้องไห้ แต่ก็ไม่อยากแสดงด้านอ่อนแอออกมาสักนิด ที่ผ่านมาเขามักจะแอบร้องไห้อยู่เพียงลำพังพร้อมทั้งคิดในใจว่า ซูกุ้ยเฟยเกลียดชังอะไรเขานักหนาเหตุใดจะต้องทำร้ายเขาเช่นนี้
แต่ตอนนี้เขากลับได้รับรู้ว่าสิ่งที่ตนรับรู้มาทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้อง และคนที่ดูแลเขาอย่างฝูมามากลับเป็นต้นเหตุในการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในใจเขา เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องอยู่กับคนเช่นนี้ด้วย
คิดแล้วจึงได้ค่อย ๆ พยักหน้าให้คนตรงหน้าเพื่อเป็นคำตอบให้กับคำถามที่นางถามมา
หมับ!
ซูซีหลินเห็นเช่นนั้นจึงไม่รอช้าดึงเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมกอดทันที นัยน์ตาของหญิงสาวเผยความอันตรายบางอย่าง “ไม่ต้องกลัว ข้าจะช่วยเจ้าเอง ขอแค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้วเจ้าจะหลุดพ้นจากเรื่องราวเหล่านี้”