บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 10 : อาหารเป็นเหตุ 1/2

ตอนที่

[8]

อาหารเป็นเหตุ

“เจ้ากลัวข้าหรือไม่” หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แม้กระทั่งฮ่องเต้ผู้ที่มีแต่ความเคลือบแคลงต่อนางผู้นั้นให้ออกจากตำหนักนางไป เมื่ออยู่ตามลำพังสองคนกับเด็กน้อยหลังจากที่ให้คนพาเขาไปอาบน้ำสวมอาภรณ์ใหม่ นางไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามคำถามกับเขา

“ทะ ท่านคือซูกุ้ยเฟยจริง ๆ หรือ เหตุใดจึงไม่บอก…” องค์ชายน้อยจูจิ่งหลงไม่กล้าเงยหน้าสบตาคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย มิใช่เพราะกลัวแต่เป็นเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี เขาเคยคิดว่านางเป็นเพียงนางกำนัล แต่นางเป็นถึงซูกุ้ยเฟย คนที่เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด

“ข้ายังเป็นสหายคนเดิมของเจ้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

“เหตุใดตอนนั้นท่านถึงบอกว่าตนเองกำลังหนีคนผู้หนึ่งมา” เด็กน้อยคล้ายจะกล้าพูดคุยขึ้นมาบ้างหลังได้ยินประโยคก่อนหน้าของซูซีหลิน

“ข้าก็กำลังหนีจริง ๆ ก็หนีฝูมามาเพื่อไปหาเจ้าอย่างไรเล่า”

“เหตุใดต้องมาหาข้าหรือ” เขาและนางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“เพราะข้าคิดว่าเจ้าอยู่คนเดียวอาจจะเหงา จึงอยากชวนเจ้ามาเล่นกับข้าบ้าง ที่ตำหนักข้ามีเรื่องสนุกให้ทำมากมาย แต่เมื่อเห็นว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นอยู่อย่างไร จึงได้คิดที่จะพาเจ้ามาอยู่ด้วย แล้วเหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะมาอยู่กับข้า ทั้งที่เจ้ากลัวซูกุ้ยเฟยถึงเพียงนั้น” ซูซีหลินตอบคำถามยาวเหยียดตบท้ายด้วยการถามคำถามเขากลับ

“กะ ก็เพราะว่า นึกถึงถ้อยคำที่ท่านเคยบอก ว่าเรามิควรตัดสินคนจากคำพูดของคนอื่น ต้องสัมผัสด้วยตนเอง หลังจากที่ได้รู้จักกับท่านในตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้ารับรู้ได้ว่าท่านมิใช่คนเลวร้ายอันใด…” เด็กน้อยกล่าวแล้วก็หลุบสายตาลง จะเห็นได้ว่าหูเขาเริ่มแดงเล็กน้อย

ซูซีหลินเห็นเช่นนั้นจึงได้ยกยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะหยิกที่แก้มของเขาเบา ๆ

“น่ารักจริง ๆ”

เมื่อหญิงสาวกล่าวเช่นนั้นส่งผลให้มิใช่แค่ใบหูที่แดงก่ำ ใบหน้าของเด็กน้อยก็เริ่มแดงแล้วเช่นกัน

“เราไปกินอาหารเช้ากันเถิด เจ้าหิวหรือยัง”

“ข้า….” ระหว่างที่จูจิ่งหลงกำลังจะตอบ ก็มีนางกำนัลเข้ามารายงาน “พระสนม เผยกงกงจากตำหนักเฉินไท่แจ้งว่าฝ่าบาทต้องการให้องค์ชายจูจิ่งหลงไปร่วมเสวยกระยาหารเช้ากับฝ่าบาท ตอนนี้เผยกงกงรอองค์ชายอยู่ที่หน้าตำหนักเพคะ”

หึ คงร้อนใจอยากรู้เรื่องราวแล้วสินะ

“เจ้าไปบอกให้เขารอสักครู่” หลังนางกำนัลรับคำก็ล่าถอยออกไป คล้อยหลังนางกำนัลซูซีหลินจึงได้หันไปกล่าวกับจูจิ่งหลง

“องค์ชาย หากฝ่าบาทถามอะไรก็จงตอบไปตามความจริง รวมถึงสิ่งที่ฝูมามาทำกับเจ้าตลอดสองปีด้วย แต่เพียงหนึ่งเรื่องที่อย่าเพิ่งบอก”

“เรื่องอะไรหรือ” จูจิ่งหลงย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“เรื่องที่ว่าเรารู้จักกันได้อย่างไร หากฝ่าบาทอยากรู้ให้บอกพระองค์ว่า ให้เขามาถามข้าด้วยตนเอง”

หลังจากองค์ชายจูจิ่งหลงถูกเผยกงกงรับตัวเพื่อพาไปหาฮ่องเต้ คล้อยหลังจากนั้นไม่นานคนที่ใจร้อนอีกผู้หนึ่งก็มาพบนาง

ฝูมามา

“ฝูมามามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ”

“ทูลพระสนม ที่จริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเพคะ เพียงแต่เรื่องงานเลี้ยงที่จะจัดต้อนรับองค์ชาย หม่อมฉันเพียงอยากบอกถึงความชอบขององค์ชายสักนิดเพคะ”

“เอ๋ ความชอบหรือ”

“เพคะ องค์ชายแม้จะอายุน้อยแต่ก็ชอบเสวยอาหารประเภทที่มีรสจัด และหากว่าเป็นประเภทของทอดที่มีความชุ่มฉ่ำยิ่งชอบ ยามที่หม่อมฉันเฝ้ามองดูยามองค์ชายเสวยเห็นว่าองค์ชายมีความสุขไม่น้อยเพคะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ฝูมามามีอันใดอีกหรือไม่”

สตรีวัยกลางคนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ที่อีกฝ่ายตกปากรับคำอย่างง่ายดาย

“ไม่มีอันใดแล้วเพคะ หวังเพียงซูกุ้ยเฟยดีต่อองค์ชายของพวกเราก็เพียงพอแล้วเพคะ”

“แน่นอนว่าข้าต้องดีต่อหลงเออร์มากแน่ แล้วก็อาหารที่เขาชอบ ข้าก็ไม่พลาดที่จะทำให้เขาเช่นกัน ขอบใจท่านมากที่มาบอกข้า”

“ด้วยความยินดีเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา”

ฝูมามายอบกายทำความเคารพซูซีหลินด้วยความพินอบพิเทา ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ จวบจนกระทั่งพ้นจากตำหนักซิ่วอิงท่าทางเช่นนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความลึกล้ำมากเล่ห์

“สายของเรารายงานมาว่าซูกุ้ยเฟยสั่งเครื่องเทศเผ็ดร้อน เนื้อสัตว์ และน้ำมันสัตว์สำหรับทำอาหารไว้มากทีเดียวเจ้าค่ะ นอกจากสำหรับองค์ชายแล้วยังเตรียมทำอาหารที่ฝ่าบาทชื่นชอบด้วยเจ้าค่ะ”

“หึ ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าซูซีหลินท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นคนโง่งมและยังบูชาความรักแบบโง่ ๆ อยู่”

คราแรกยังนึกกังวลคิดว่าอีกฝ่ายจะมีแผนการลึกล้ำอันใด ที่องค์ชายไปพลัดตกน้ำใกล้ตำหนักซิ่วอิงเห็นทีว่าจะเป็นความบังเอิญจริง ๆ

ปัง!

“ไปหลงเออร์เราไปตำหนักซิ่วอิงกันเถิด” หลังฟังเรื่องราวจากหลานชายสถานที่ที่เขาอยากจะไปนั้นมิใช่ตำหนักซิ่วอิงแต่เป็นอีกที่หนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะฟังเรื่องราวจากปากซูซีหลินให้ครบทุกด้าน ดูเหมือนว่านางจะรู้บางอย่างมา

ขบวนเกี้ยวของฮ่องเต้ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามก็มาถึงตำหนักซิ่วอิง ด้วยไม่ชื่นชอบในตัวหญิงสาว เขาจึงพยายามมอบตำหนักที่ไกลจากตำหนักของเขาให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ตำหนักที่เขามอบให้ก็แฝงความหรูหราไม่น้อยเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใด ๆ

ด้านหน้าตำหนักยามนี้พบว่าเจ้าของตำหนักกำลังยืนรอด้วยความสงบนิ่ง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าดูเหมือนว่าซูซีหลินจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ภายนอกไปหลายส่วน ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่ายามนี้ซูซีหลินงดงามและดูสง่ากว่าเดิมไม่น้อย แต่อย่างไรก็ไม่สู้คุณหนูช่ายที่งดงามที่สุดในใจเขาอยู่ดี ที่สำคัญคุณหนูช่ายยังไม่มากเล่ห์เช่นสตรีตรงหน้าเขาอีกด้วย

“ไม่น่าเชื่อว่าซูกุ้ยเฟยจะหาวิธีทำให้เรามาที่นี่เป็นครั้งที่สองจนได้” เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนั้นรอยยิ้มปลอม ๆ ที่ประดับบนใบหน้าของซูซีหลินหุบลงทันที ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเจ้าเล่ห์

“หากฝ่าบาทไม่อยากมาผู้ใดจะบังคับได้เพคะ นอกจากนั้นมิใช่ว่าเพราะใคร่อยากรู้บางอย่างจึงมาหรือ หม่อมฉันหาได้ทำอันใดไม่”

“นี่เจ้า!”

อวี๋กงซู่ยกนิ้วชี้ไปยังสตรีที่เขาไม่ชอบหน้าซึ่งซูซีหลินก็ไม่คิดจะหลบแต่อย่างใด นั่นทำให้ฮ่องเต้หนุ่มหัวเสียยิ่งกว่าเดิม เขาก็นึกว่านางจะดีขึ้นแต่เปล่าเลย นอกจากนั้นยังกวนอารมณ์เขาเก่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก จูจิ่งหลงเห็นท่าไม่ดี จึงได้ใช้สองมือของตนเองจับไปที่มือของพวกเขาคนละข้าง

“เสด็จลุงมิใช่ว่าจะมาพูดคุยเรื่องสำคัญกับซูกุ้ยเฟยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ รีบเข้าไปในตำหนักกันเถิด”

“ซูกุ้ยเฟย กระหม่อมอยากไปดูห้องที่พระองค์เตรียมไว้ให้แล้วว่าเป็นอย่างไร” ยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ องค์ชายน้อยพยายามพูดอย่างเป็นทางการมากขึ้น

เมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่ยังเอาแต่จ้องกันตาเขม็งเช่นนั้น เด็กน้อยจึงได้พยายามกระตุกมือของพวกเขาอีกครั้ง ทั้งคู่จึงคล้ายจะได้สติก่อนจะสะบัดหน้าหนีกันคนละทาง

“เชิญฝ่าบาทเข้าไปจิบชาในตำหนักซิ่วอิงก่อนเถิดเพคะ” ถึงกระนั้นซูซีหลินก็ยังต้องเอ่ยชักชวนเขาเข้าตำหนักอยู่ดี

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าบทสนทนาระหว่างฮ่องเต้และซูกุ้ยเฟยคืออะไร ในวังต่างร่ำลือไปว่า ฮ่องเต้อาจจะกำชับและฝากฝังให้ซูกุ้ยเฟยดูแลพระราชนัดดาเพียงคนเดียวของพระองค์ให้ดี

สองวันผันผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายจูจิ่งหลงสู่ตำหนักซิ่วอิงที่ซูกุ้ยเฟยเป็นแม่งานก็ถูกจัดขึ้น

ในงานมีเชื้อพระวงศ์เพียงสามคนที่เข้าร่วมเท่านั้นนั่นก็คือ อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ ซูกุ้ยเฟยและองค์ชายจูจิ่งหลง เนื่องจากตั้งแต่มีการเข้าสู่รัชศกการปกครองใหม่ เหล่าเชื้อพระวงศ์คนอื่นต่างก็แยกย้ายไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมด้วยไม่อยากเกิดข้อครหาอันใดขึ้น ในวังจึงเหลือเพียงเท่านี้เท่านั้น ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฝูมามา…..เพราะคนที่ตนต้องการให้อยู่เป็นสักขีพยานในวันนี้คือฮ่องเต้ พระองค์เป็นผู้ที่จะให้บทลงโทษและจัดการทุกอย่างให้เข้าร่องเข้ารอย สายตาของฝูมามาจับจ้องไปที่ซูซีหลินด้วยประกายเย้ยหยันก่อนที่สายตานั่นจะหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความเอื้อเอ็นดูต่อองค์ชายจูจิ่งหลงเท่านั้น

“อย่างไรก็ถือว่าเป็นงานเลี้ยงที่มีแค่คนกันเอง อย่ามากพิธีเลย เริ่มงานกันเถิด” สิ้นคำฮ่องเต้เหล่านางรำก็ออกมาร่ายรำอย่างอ่อนช้อย อาหารมากมายก็ทยอยมาเพิ่มเติมที่โต๊ะอาหารที่มีเชื้อพระวงศ์ทั้งสามนั่งอยู่

องค์ชายน้อยกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แก้มของเขาก็เต็มขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมามากโข ฮ่องเต้หนุ่มมองพระราชนัดดาด้วยความเอ็นดู ดวงตาของเขาเปล่งประกายไม่น้อย ด้านซูซีหลินก็คอยคีบอาหารให้องค์ชายน้อยอยู่เรื่อย ๆ จวบจนกระทั่ง

“โอ๊ย”

“องค์ชาย!!”

จู่ ๆ องค์ชายจูจิ่งหลงก็กอบกุมที่ท้องของตนเองพร้อมกับร้องออกมาเสียงดัง ฝูมามานั้นรวดเร็วกว่าใครรีบวิ่งเข้ามาแล้วผลักซูกุ้ยเฟย

ออกไปอย่างแนบเนียนก่อนที่จะพาตนเองเข้าไปใกล้เด็กน้อยมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังช้าไปกว่าอวี๋กงซู่ที่เขาดึงหลานชายมาใกล้ตนเองให้มากที่สุดก่อน

“ซูกุ้ยเฟย องค์ชายเพิ่งอายุเจ็ดหนาวเหตุใดอาหารวันนี้จึงมีแต่อาหารรสจัดเพคะ กระเพาะของเด็กน้อยผู้หนึ่งจะรับได้อย่างไร” ฝูมามากล่าวขึ้นเสียงดัง เพียงเท่านั้นซูซีหลินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของนางกำนัลขันทีที่มองมา แม้กระทั่งพระสวามียังมองมาที่นางอย่างมีคำถามเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel