ตอนที่ 5 : ไปตำหนักซิงเยียน
ตอนที่
[5]
ไปตำหนักซิงเยียน
ในที่สุดก็เผยธาตุแท้แล้วสินะ ที่ผ่านมาคงเป็นแค่การเสแสร้ง ชอบตื่นเช้าอันใด นางเพียงแค่แสร้งเอาใจเขาเท่านั้น ดีแล้วที่เขาไม่สนใจนาง สตรีที่ไม่จริงใจเช่นนี้ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ อวี๋กงซู่ฮ่องเต้เหยียดยิ้มออกมานัยน์ตาแฝงความเย้ยหยัน โดยที่ชายหนุ่มไม่ได้คิดในมุมหนึ่งเลยสักนิด หากว่าวันนี้ซูกุ้ยเฟยยกน้ำแกงมาเช่นเดิมจริง เขาก็จะคิดว่านางไร้ซึ่งสัจจะ เชื่อถือไม่ได้
นี่แหละหนา ที่เรียกว่าอคติ อีกทั้งซูซีหลินเคยทำไม่ดีมาไว้มากก็ยากที่จะเชื่อใจได้ง่าย ๆ เรื่องที่นางลอบส่งคนไปลอบทำร้ายช่ายเฟิ่งจิ่ว เขายังไม่ได้จัดการนางเลย
กว่าที่ซูซีหลินจะตื่นนอนเวลาก็ล่วงเลยไปถึงยามซื่อ (เก้าโมงเช้า) ยามที่ลุกขึ้นมานางไม่คิดจะลงจากเตียงโดยทันที เอาแต่บิดซ้ายบิดขวาไปมาด้วยท่าทางแปลกประหลาดและไม่รักษามารยาทใด ๆ จินจูนั้นยังไม่ชินกับท่าทางเช่นนี้เลยสักนิด แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้ แม้ว่าซูกุ้ยเฟยจะไม่ได้มีท่าทางเจ้าอารมณ์แบบไม่กี่วันก่อนที่ได้ยินว่าแผนการบางอย่างล้มเหลว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพระองค์จะมีโทสะเช่นนั้นขึ้นมาอีกเมื่อไร
“จินจูวันนี้มีของอร่อยอะไรกินบ้างหรือ” นับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่สิ่งที่ซูซีหลินรู้สึกเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การได้กินอาหารที่หลากหลาย ในห้องเครื่องที่นี่ทำอาหารได้รสเลิศไม่น้อย คนที่นอนติดเตียงกินแต่อาหารรสจืดมาหลายปีอดไม่ได้ที่จะเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป
“มีหลายอย่างเลยเพคะ ไว้หม่อมฉันจะค่อยบอกระหว่างที่สรงพระพักตร์ และผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ดีหรือไม่เพคะ”
“ดี” พระสนมคนงามตรัสแล้วเผยรอยยิ้มกว้าง ส่งผลให้จินจูตาพร่าไปชั่วขณะ
สำหรับวันนี้เป็นต้นไปซูซีหลินคิดว่าจะเปลี่ยนรูปแบบอาภรณ์และการแต่งหน้าใหม่ นำรูปแบบจากโลกเดิมมาปรับใช้ ซูซีหลินนั้นเป็นคนงามอยู่แล้ว เพียงแต่ด้วยท่าทางเสแสร้ง เจ้าอารมณ์ และการแต่งหน้าที่เต็มไปด้วยความจัดจ้าน ก็ทำให้คนงามกลายเป็นคนที่ไม่น่ามองไร้เสน่ห์ไปได้ หากเปรียบเทียบกับช่ายเฟิ่งจิ่วที่ในนิยายบรรยายไว้ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว รายนั้นมีความงดงามแต่แฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติ แม้ไม่แต่งเติมมากก็สามารถดึงดูดให้ผู้คนเมียงมองและหลงใหลได้ง่าย
เป็นอีกครั้งที่จินจูตาค้างกับพระพักตร์งามของพระสนมผู้สูงศักดิ์ หลังจากที่พระองค์กล่าวว่าจะจัดการแต่งแต้มใบหน้าและทำผมด้วยตนเองโดยไม่ให้ตนและนางกำนัลคนอื่นเข้าช่วยเหลือ ผู้ใดจะรู้ว่าพระสนมแท้จริงจะเข้าถึงความงามได้ถึงเพียงนี้ แล้วที่ผ่านมาเหตุใดจึงได้เอาแต่สั่งให้พวกนางทำอีกแบบให้เล่า
“ไป จินจูไปกินของอร่อยกัน”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ซูซีหลินที่พึงพอใจในผลงานตนเองก็เตรียมพร้อมที่จะออกไปหาของอร่อยลงท้องแล้ว
แผนการที่แท้จริงของนางจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่วัน แต่ทว่าตอนนี้นางก็ต้องทำให้คนบางคนตายใจและเห็นว่านางเปลี่ยนไปแล้ว นางรู้ดีว่าฮ่องเต้ผู้นั้นได้ส่งคนมาจับตามองนางอยู่ตลอด เพราะกลัวว่านางจะคิดอันใดไม่ดีหรือส่งคนไปเล่นงานช่ายเฟิ่งจิ่วอีก ที่รู้เพราะนางอ่านนิยายมาแล้วอย่างไรเล่า ดังนั้น ช่วงนี้นางจะต้องทำตัวไม่ให้มีพิษมีภัย อยากทำอันใดก็ทำที่ไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน
จากนั้นกว่าเจ็ดวันที่ซูซีหลินชวนคนในตำหนักซิ่วอิงคิดค้นทำอาหารและขนมแสนอร่อยมากมาย ไม่พอยังได้เชิญชวนนางกำนัลอายุน้อยที่มีภูมิลำเนาห่างไกลและจากบ้านเกิดมา มาร่วมในความครึกครื้นเหล่านี้ด้วย เพราะเผลอนึกถึงว่าตนเองก็ห่างไกลจากที่ที่เคยอยู่มาไกลเช่นกัน คราแรกหลายคนล้วนแต่หวาดกลัวในใจ ด้วยชื่อเสียงของซูกุ้ยเฟยเป็นอย่างไรในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาผู้ใดจะไม่รู้ แต่เมื่อได้มาสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ บัดนี้เหล่านางกำนัลและขันทีล้วนแต่อยากไปตำหนักซิ่วอิงแทบทั้งสิ้น
“หึ เอาแต่กินกับนอนและทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ การจัดการวังหลัง ระเบียบอันใดนางไม่รู้จักแล้วหรือ”
อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่พอใจหลังได้รับรายงานว่าช่วงนี้ซูกุ้ยเฟยทำอันใดบ้าง โดยลืมนึกไปว่า ตนเองเคยบอกนางว่า เรื่องจัดการวังหลังมิใช่หน้าที่ของเจ้า แต่เป็นหน้าที่ของฮองเฮา แต่พอคนเขาไม่สนใจจริง ๆ เหตุใดจึงมีโทสะเล่า เผยกงกงรู้สึกว่าฮ่องเต้ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนยิ่ง
“เสียเวลาให้คนไปดูนางจริง ๆ” พระพักตร์หล่อเหล่าในอาภรณ์สีทองปักลวดลายมังกรสะบัดแขนเสื้อแล้วไม่คิดเรื่องซูซีหลินอีก
เมื่อครบเจ็ดวันนางก็เห็นแล้วว่าอวี๋กงซู่ดูเหมือนจะไม่สนใจนางแล้ว เพราะรับรู้ได้ว่าสายตาลึกลับที่มองมาลดน้อยลง
ดีล่ะทางสะดวก
“จินจูเตรียมชุดนางกำนัลไว้ให้ข้าด้วยนะ”
จินจูที่กำลังจัดการเตียงนอนของผู้เป็นนายชะงักมือลงเล็กน้อยก่อนจะเผยสีหน้าสงสัย
“พรุ่งนี้เราไปหาอะไรสนุกทำกัน รีบนอนพักผ่อนเล่า”
สายตาเช่นนี้คงไม่ได้จะทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจอีกใช่หรือไม่ จินจูคิดอย่างหวาดหวั่น
เช้าวันรุ่งขึ้นซูซีหลินก็แสร้งทำตัวตามปกติ แต่เมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้ว รวมทั้งผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นนางกำนัลธรรมดาแล้วจึงได้รีบสั่งการบางอย่างกับจินจูทันที
“จินจูพาข้าไปตำหนักซิงเยียนที”
ตำหนักซิงเยียนที่ว่าคือตำหนักที่ประทับขององค์ชายจูจิ่งหลง พระนัดดาคนโปรดของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้
เดิมตำหนักนี้เป็นตำหนักขององค์หญิงอวี๋กงเชี่ยนพระมารดาขององค์ชายจูจิ่งหลง ก่อนที่จะได้รับพระราชทานสมรสไปที่แคว้นจ้าว
แม้จะสงสัยแต่จินจูก็ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างว่าง่าย ทั้งคู่เดินลัดเลาะ หลบหลีกสายตาผู้คนราวครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) กว่าจะถึงตำหนักซิงเยียนที่ว่า แต่ทว่าเมื่อมาถึงซีซูหลินก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“เหตุใดบรรยากาศจึงได้เงียบเชียบเช่นนี้” กล่าวราวกับกระซิบกับจินจูที่อยู่ข้างกัน
“ได้ข่าวว่าฝูมามาเข้มงวดไม่น้อย นางกำนัลที่นี่จึงถูกฝึกระเบียบอย่างเข้มงวดด้วยเพคะ” จินจูกระซิบตอบ
เมื่อซูซีหลินได้ยินชื่อของคนที่เป็นตัวการให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด นัยน์ตากลมใสก็ปรากฏแววสังหารอย่างไม่ปิดบัง
หึ ฝูฉางอิน อย่าคิดว่าชาตินี้เจ้าจะได้ตายง่าย ๆ อย่างชาติที่แล้ว เจ้าต้องได้รับบทลงโทษอย่างสาสมจากข้าก่อนที่จะได้จากไป
“พะ พวกเจ้า จะมาทำร้ายข้าใช่หรือไม่” ระหว่างที่ความคิดของหญิงสาวกำลังดิ่งลงสู่ความมืดมิด เสียงหวาดกลัวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“อย่าทำอันใดข้าเลย ข้าจะไม่อยู่ให้พวกเจ้ารำคาญใจ” ว่าแล้วก็รีบพาร่างอันสั่นเทาวิ่งหนีไปทันที
“ดะ เดี๋ยวสิ” ซูซีหลินพยายามจะเรียกเอาไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว