ตอนที่ 4 : นางทำอันใดอยู่
ตอนที่
[4]
นางทำอันใดอยู่
หลังจากที่ซูซีหลินได้ก้าวเท้าเข้าสู่วังวนวังหลัง ชีวิตก็คล้ายถูกมือมืดของใครบางคนคอยชักจูงอยู่เสมอ ด้วยความเกลียดชัง อคติและความคิดอันตื้นเขิน หญิงสาวจึงมักจะคิดว่าเป็นฝีมือของช่ายเฟิ่งจิ่วอยู่ร่ำไป ทว่าแท้จริงกลับเป็นบุคคลที่ซูซีหลินแทบจะไม่ค่อยได้ไปข้องเกี่ยวเลยด้วยซ้ำ
แต่บัดนี้เห็นทีจะต้องไปพัวพันด้วยเสียแล้ว เพื่อที่จะทำให้ซูซีหลินในชาตินี้หรือก็คือตัวนางเองไม่ต้องถูกใส่ร้ายและลงเอยด้วยความตาย รวมถึงเด็กคนนั้นก็ไม่ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือจนสุดท้ายก็ต้องตายอย่างน่าสงสารเช่นกัน
องค์ชายจูจิ่งหลง วัยห้าหนาว พระโอรสขององค์ชายรัชทายาทแคว้นจ้าวและองค์หญิงอวี๋กงเชี่ยน หรือก็คือพระขนิษฐาร่วมอุทรของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตของทั้งคู่ช่างสั้นนัก แคว้นจ้าวถูกแคว้นหมิงโจมตีอย่างรุนแรง ส่งผลให้แคว้นทั้งแคว้นต้องล่มสลายลงในเวลาไม่นาน แต่ทว่าก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น องค์ชายจูจิ่งหลงได้ถูกพระบิดาและพระมารดาได้เอาตัวไปซ่อนไว้ในที่หลบภัย โดยหลังจากนั้นทั้งคู่ได้ไหว้วานคนที่ไว้ใจได้ให้นำเด็กน้อยไปส่งให้ผู้เป็นลุงอย่างอวี๋กงซูฮ่องเต้ดูแล นับแต่นั้นมาองค์ชายจูจิ่งหลงจึงได้มาอยู่ที่แคว้นหลิวหยวน ในความดูแลของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ เรื่องราวไม่จบเพียงเท่านั้นเมื่อต่อมาคนชั่วแคว้นหมิงยังคิดจะรุกรานฉกชิงเอาดินแดนชายแดนของแคว้นหลิวหยวนต่อ ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้โอรสสวรรค์บังเกิดโทสะพวยพุ่งขึ้นอย่างขีดสุด จนถึงขั้นคิดจะไปออกรบด้วยตนเอง แต่ทว่าเหล่าขุนนางต่างคัดค้านอย่างหนัก วังหลวงจะต้องมีฮ่องเต้อยู่ มิเช่นนั้นแคว้นหลิวหยวน จะต้องเกิดความไม่มั่นคงเกิดขึ้นเป็นแน่
ในจังหวะเดียวกันนั้น แม่ทัพซูก็เขียนแผนการจัดการแคว้นหมิงได้สำเร็จพอดี พร้อมทั้งอาสาจะออกไปจัดการคนชั่วแคว้นหมิงด้วยตนเอง ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงเล็กน้อย แม่ทัพซูใช้เวลาราวปีกว่าจะจัดการแคว้นหมิงได้อย่างสิ้นซาก แต่ทว่าน่าเสียดายที่เชื้อพระวงศ์ทั่วทั้งแคว้นกลับเหลือเพียงองค์ชายจูจิ่งหลงวัยห้าหนาวที่เป็นผู้ที่รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็เพราะเขาถูกส่งตัวมาที่แคว้นหลิวหยวนก่อนนั่นเอง
เนื่องด้วยเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของน้องสาวอันเป็นที่รัก เด็กน้อยจึงเป็นที่รักและหวงแหนของเสด็จลุงของตนไม่น้อย
และด้วยจุดนี้เองที่ทำให้คนบางคนใช้เด็กน้อยที่ไร้บิดามารดาผู้นี้มาเล่นงานซูซีหลิน
หากว่าซูซีหลินรอบคอบและฉลาดเฉลียวสักนิด ทุกอย่างคงไม่ต้องจบลงเช่นนั้น บิดามารดา พี่ชาย ไม่สิ ทั้งตระกูลซูก็ไม่ต้องจบชีวิตลงด้วยข้อหาก่อกบฏต่อแว่นแคว้นเช่นนั้น
ใช่แล้วเรื่องราวมันเลวร้ายถึงเพียงนั้น
หลังจากที่ซูซีหลินถูกคนใส่ร้ายว่าเป็นผู้สังหารองค์ชายจูจิ่งหลง พร้อมทั้งได้ถูกเปิดเผยความชั่วร้ายว่าได้คิดแผนร้ายต่อช่ายเฟิ่งจิ่วและสตรีผู้อื่นที่คิดจะเข้าหาอวี๋กงซู่อย่างไรบ้าง เหล่าขุนนางและเหล่าบัณฑิตได้ส่งฎีกาเพื่อให้ฮ่องเต้พระราชทานโทษให้ซูกุ้ยเฟยอย่างสาสมกับความผิดที่ได้ก่อ
ขณะเดียวกันนั้นแม่ทัพซูพร้อมครอบครัวก็เร่งเดินทางมาจากเมืองชายแดน แต่ทว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว ซูกุ้ยเฟยถูกประหารไปแล้ว เพราะมีคนปลอมแปลงราชโองการของฮ่องเต้สั่งลงโทษประหารซูกุ้ยเฟยทันทีโดยไม่ต้องสืบความอันใด
ครอบครัวตระกูลซูไม่ได้รู้เรื่องนี้ รู้แต่เพียงว่าฮ่องเต้สั่งประหารบุตรสาวของตนทั้งที่ยังไม่ได้สืบหาความจริง ไหนจะเหล่าขุนนางและเหล่าบัณฑิตที่ยั่วยุ ด้วยความเสียใจและความโกรธเข้าครอบงำจิตใจ แม่ทัพซูจึงได้เรียกรวมทหารของตนให้มารวมกันเพื่อถล่มวังหลวงและคนที่เกี่ยวข้องให้สิ้นซากไป
ทัพใดในแคว้นหลิวหยวนจะแข็งแกร่งเท่ากองทัพเจี้ยนคังของแม่ทัพใหญ่
แต่สุดท้ายความแข็งแกร่งก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเล่ห์กลคนชั่ว เพราะถูกนำจุดอ่อนเรื่องบุตรสาวว่าแท้จริงซูซีหลินยังมีชีวิตอยู่มาลวงหลอก ทั้งยังถูกช่วยชีวิตไว้และพาไปยังที่แห่งหนึ่งแล้ว ให้แม่ทัพใหญ่รีบไปช่วยบุตรสาวโดยด่วน ครอบครัวตระกูลซูที่รู้เรื่องนี้ต่างก็มีความหวังโดยไม่ทันได้ระวังสิ่งใด ทั้งที่ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้กลับเป็นแผนหลอกล่อให้ครอบครัวตระกูลซูติดกับ ตีวงล้อมให้ถูกคนชั่วจัดการ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตกว่าจะรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นไร ก็ไม่สามารถที่จะทำอันใดได้ต่อไปแล้ว….
ตระกูลซูทั้งตระกูลและกองทัพเจี้ยนคังถูกกล่าวหาว่าก่อกบฏลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้และเข่นฆ่าประชาชนราวผักปลา จึงต้องโทษประหารชีวิตและเสียบศีรษะประจานหน้าประตูเมืองหลวงเป็นเวลาเจ็ดวัน
เรื่องราวที่แท้จริงในนิยายที่กว่าจะเปิดเผยก็เป็นช่วงท้ายของเนื้อเรื่องที่พระเอกและนางเอกของเรื่องอย่างช่ายเฟิ่งจิ่วและข่ายเชี่ยนหยุนที่ร่วมกันจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจนรู้ความจริงด้วยความบังเอิญ คนที่ทำผิดที่แท้จริงจึงได้ถูกจัดการไป ส่วนอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ก็มีการปฏิรูปจัดระเบียบกองทัพและในวังหลวงอีกหลาย ๆ อย่างจนทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทาง รวมถึงที่เลือกจะปล่อยวางเรื่องราวของช่ายเฟิ่งจิ่วลง เพราะช่ายเฟิ่งจิ่วและข่ายเชี่ยนหยุนต่างก็มีใจตรงกัน และพวกเขามีส่วนช่วยอย่างมากที่จัดการความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่วนชีวิตหลังจากนั้นของเขาในนิยายไม่ได้กล่าวถึงมากนัก โดยส่วนมากจะเน้นเรื่องราวของพระนางหลังผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาแล้วมากกว่า
เฮ้อ แม้ว่าคนที่ถูกประหารในตอนนั้นจะไม่ใช่นาง แต่ยามที่นางนึกถึงเรื่องราว ก็รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ที่คอไม่น้อย
ถูกตัดหัวเลยนา
จะไม่ให้รู้สึกอะไรได้ยังไง
ซูซีหลินนอนคิดทบทวนเรื่องราวไปมา ไม่นานก็ผล็อยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็พบว่าท้องฟ้าด้านนอกนั้นเริ่มจะไร้แสงสว่างเสียแล้ว
นอนกินบ้านกินเมืองจริง ๆ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินแม้กระทั่งข้าวเช้า อ่า ข้าวเที่ยงด้วย ถึงว่ารู้สึกหิวขนาดนี้
“จินจูข้าหิวววววว” หญิงสาวลากเสียงยานคางแกมออดอ้อนนางกำนัลคนสนิทด้วยกิริยาที่เคยชอบทำกับเหล่าพี่ ๆ พยาบาลที่เคยดูแลครั้นยังเป็นผู้ป่วยติดเตียงในโลกเก่า
จินจูทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ พระสนมเปลี่ยนไปมากจริง ๆ แต่ก่อนมีหรือที่จะทำน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ เพราะหากพระนางทำจริง ๆ เกรงว่าจะมิได้เป็นการออดอ้อน หากแต่เป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังไม่พอใจและจะลงโทษนางไม่ก็ใครสักคนมากกว่า คิดได้ดังนั้นจึงรีบเอ่ยออกไป
“พระสนมรอสักครู่นะเพคะ หม่อมฉันจะรีบไปสั่งการให้นางกำนัลด้านนอกนำอาหารมาเพคะ”
“อื้ม เร็ว ๆ นะข้าหิว” ตายแล้ว ต้องตายแน่ ๆ จินจูคิดในใจเช่นนั้นพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทว่าหลังจากที่ผู้เป็นนายกินอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ไม่ได้มีอันใดเกิดขึ้น หนำซ้ำพระนางยังชำระกายเองพลางฮัมเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนคล้ายอารมณ์ดีอีกต่างหาก จากนั้นก็ขึ้นเตียงบรรทมไม่พอยังกวาดขาไปมาราวกับรู้สึกผ่อนคลายหนักหนา
จินจูขมวดคิ้วมุ่นนี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ที่จริงซูซีหลินไม่ได้สบายใจอะไรถึงเพียงนั้น แต่แค่นางอยากทำตัวให้ผ่อนคลายที่สุดเพื่อเตรียมรับมือกับความหนักหนาและเตรียมแผนการรับมือต่าง ๆ สำหรับเรื่องในอนาคตต่างหาก และเตียงของกุ้ยเฟยที่ทั้งใหญ่และนุ่มชวนให้นอนสบายกายเช่นนี้ นางจะสงวนท่าทีไปเพื่ออันใด ดังนั้น กว่าที่หญิงสาวจะตื่นเวลาก็ล่วงเลยไปถึงปลายยามเฉิน (บริบทนี้คือแปดโมงเช้า) เลยทีเดียว
เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นและประหลาดใจให้กับคนตำหนักซิ่วอิงรวมถึงห้องเครื่องที่ต้องทำน้ำแกงทุกเช้าเตรียมพร้อมให้ซุกุ้ยเฟยนำไปถวายให้ฝ่าบาทเป็นอย่างมาก เพราะพระนางจะเสด็จมารับน้ำแกงนี้ด้วยพระองค์เองและตรวจสอบทุกอย่างจึงจะวางใจ แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของพระองค์ มิใช่มีเพียงแค่คนกลุ่มนี้ที่แปลกใจแม้แต่คนที่อยู่ในตำหนักเฉินไท่ยังขยับหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ
“วันนี้ไม่มีน้ำแกง?”
“ทูลฝ่าบาทไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” เผยกงกงกล่าวเพียงเท่านั้น ผู้ที่กำลังจับพู่กันตวัดอักษรก็นิ่งไป อวี๋กงซู่นั้นไม่ได้อยากจะกินน้ำแกงของซูซีหลินแต่อย่างใด เพราะที่นางทำมานั้นเขาก็ให้นางวางไว้ที่หน้าห้องทรงอักษร ก่อนจะให้คนนำไปเททิ้งในภายหลังเช่นนี้ทุกวัน แต่วันนี้แค่แปลกใจเท่านั้น เมื่อวานนางกล่าวว่าจะไม่มาวุ่นวายกับเขา แล้ววันนี้นางก็ทำเช่นนั้นจริง คนน่ารำคาญอย่างซูซีหลินที่เอาแต่ตามติดเขาผู้นั้นน่ะหรือจะห่างจะเขาได้ ช่างทำให้น่าแปลกใจไม่น้อย
“นางไม่นำน้ำแกงมาให้ข้า แล้วตอนนี้นางกำลังทำอันใดอยู่”
“เอ่อ คือว่า” ทันใดนั้นจักรพรรดิก็เลื่อนพระพักตร์กลับมาจดจ้องกงกงคนสนิทมากยิ่งขึ้น
“อ้ำอึ้งอันใดกัน หรือว่าซูซีหลินกำลังคิดแผนการอื่นเพื่อเข้าหาเรา?” ต้องใช่แน่ ๆ หึ ว่าแล้วเชียว
ด้านเผยกงกงคิดว่าตนไม่ควรชักช้าจึงได้รีบรายงานไป กระนั้นก็ยังคงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่น้อย
“ทูลฝ่าบาทพระสนมยังไม่ตื่นจากบรรทมพ่ะย่ะค่ะ….”
“…..”
“ท่านว่ายังไงนะ” ด้วยเป็นกงกงที่เคยรับใช้พระบิดามาก่อน อวี๋กงซู่จึงเรียกอีกฝ่ายราวกับให้เกียรติส่วนหนึ่ง
“เอ่อ ซูกุ้ยเฟยยังไม่ได้ตื่นจากบรรทมพ่ะย่ะค่ะ” เผยกงกงกล่าวแล้วลอบปาดเหงื่อ
เพียงเท่านั้นพระเนตรลึกล้ำก็หรี่ลงพร้อมกันนั้นหากสังเกตจะเห็นว่าหางคิ้วของนายเหนือหัวนั้นกระตุกไม่น้อย