ตอนที่3 รอเวลา
ตอนที่3 รอเวลา
ห้าโมงเย็น ณ ผับ HP
“อ้าวพี่ลุคค์สวัสดีครับ ทำไมวันนี้มาแต่หัวค่ำเลยครับ” แทนไทที่พึ่งเช็กสต๊อกเครื่องดื่มในชั้นดินเสร็จเจอเข้ากับลุคค์พอดีจึงเอ่ยถามขึ้น
“เช็กสต๊อกของเสร็จแล้วใช่ไหม ส่งยอดทั้งหมดให้ฉันด้วย”
“ยังไม่สิ้นเดือนเลยนะครับ” ใบหน้าคมเข้มมีหนวดเคราขึ้นเป็นตอดำถามกลับสีหน้าสงสัย
“ฉันจะไปทำธุระที่ภูเก็ตสักอาทิตย์”
“โดนแม่พี่ตามให้กลับบ้านเหรอครับ” เสียงเรียบเอ่ยถามขณะเดินตามหลังชายหนุ่มขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นสอง
“กูจำเป็นต้องรายงานมึง” เท้ายาวหยุดชะงักขณะก้าวขึ้นบันไดหันขวับกลับมาถามเสียงแข็งพร้อมสายตาคมดุ
“เปล่าครับ เผื่อนายถามผมจะได้ตอบนายถูก”
“กูจะบอกนายเองไม่ต้องรบกวนมึงเสือกเรื่องของกูหรอก อาทิตย์หน้ากูไม่อยู่ก็ดูแลแล้วก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าให้เกิดเรื่องเด็ดขาด”
“โยนงานหนักให้ผมอีกแล้ว”
“ถ้าไม่อยากทำก็ลาออกไปกูจะได้หาคนใหม่มาทำแทน” เสียงเรียบนิ่งตอบสวนกลับทันที
“ทำครับ ผมรักงานนี้มาก เจ้านายก็ใจดีผมชอบที่จะทำงานที่นี่มากครับ” แทนไทรีบบอกออกไปยาวเหยียด แต่น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนขัดกับสิ่งที่พูดเมื่อสักครู่มาก
“ไม่ต้องสร้างภาพ”
“พี่ช่วยอ่อนโยนกับผมหน่อยเถอะครับ” แทนไทยังพูดกวนประสาทลุคค์ไม่หยุด
“มาเป็นคนไข้ฉันสิ”
“โอ้! ไม่ดีกว่าครับ เชิญพี่หยาบคายกับผมได้เต็มที่เลยครับ เราลูกผู้ชายพูดจาเสียงดัง หยาบคายบ้างเป็นเรื่องปกติครับ”
“Mood stabilizer อยู่ห้องยาตู้สีขาวกระปุกสีขาวชั้นบนสุด” สะโพกสอบหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้สีดำในห้องทำงาน นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางห้องพยาบาลที่อยู่ถัดจากห้องทำงานของลุคค์และมีประตูเชื่อมหากัน
“พี่จะเอายาเหรอครับ”
“เปล่ากูบอกให้มึงไปหยิบมากิน”
“ผมไม่ได้ป่วย”
“แต่กูประเมินจากอาการแล้วกูว่ามึงควรได้รับยา”
“ยาอะไรนะครับเซอร์ เซอร์ ผมฟังไม่ทัน” แทนไทถามกลับพร้อมตั้งใจรอฟังคำตอบอีกครั้ง
“Mood stabilizer อยู่ตู้สีขาวกระปุกสีขาวชั้นบนสุด” ลุคค์บอกออกไปอีกครั้งพร้อมหยิบแฟ้มเอกสารรายการบัญชีของเดือนขึ้นมาไล่กวาดสายตาอ่าน
ตึก ตึก ตึก
แทนไทเดินกลับมาพร้อมกับกระปุกยาสีขาวในมือ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันสายตายังจ้องอยู่ที่สลากยาที่ติดอยู่ข้างกล่อง
“พี่ลุคค์สรุปว่ายานี่คืออะไรครับ ทำไมป้ายที่ติดอยู่ที่ตู้ยาบอกว่ายากลุ่มประเภทรักษาอาการทางจิต”
“ก็ตามที่ป้ายติด มึงจะสงสัยอะไร”
“นี่พี่หาว่าผมบ้าเหรอครับ”
“ผู้ป่วยอาการทางจิตไม่ใช่คนบ้า เคมีในสมองพวกเขาแค่มีปัญหา จากการประเมินอาการของมึงเมื่อสักครู่กูว่ามึงเริ่มมีอาการระยะเริ่มต้นรีบกินยาซะ จะได้ไม่เป็นรุนแรงมากกว่านี้”
“โธ่! พี่ลุคค์ ทีหลังก็ด่าตรงๆ เลยนะครับ สรุปแล้วยานี่ผมต้องกินไหม”
“ถ้าหิวก็กินถ้าไม่หิวก็เอาไปเก็บ วันนี้ลูกค้าเยอะเช็กความเรียบร้อยหมดหรือยัง” ลุคค์ตอบกลับสีหน้าราบเรียบน้ำเสียงก็ราบเรียบเช่นกันบ่งบอกว่าหมดเวลาล้อเล่น
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ลุคค์นั่งทำงานอยู่ในห้องตั้งแต่ช่วงเย็นจึงเวลาล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ก็ยังไม่มีทีท่าจะลุกไปไหน จนแทนไทที่เอ่ยถามขึ้น
“พี่ไปภูเก็ตคราวนี้พี่จะกลับมาอยู่ใช่ไหมครับ”
“กูแค่ไปธุระไม่ได้ไปตาย” เสียงเรียบตอบกลับ ใบหน้าคมละจากหน้าจอแล็ปท็อปเงยขึ้นไปตวัดสายตาเข้มดุลูกน้องจนอีกฝ่ายรีบหลบสายตา แต่ก็ไม่วายยอกย้อนถามกลับอีกครั้ง
“ก็ผมเห็นพี่เคลียร์งานตั้งแต่หัวค่ำไม่ลุกไปไหน นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว อาจจะโดนขังไว้ในกรงทองในคฤหาสน์หลังโตเหมือนในหนัง”
“รายการสต๊อกเครื่องดื่มมึงทำเสร็จหรือยัง ถ้าไม่เสร็จคืนนี้ไม่ต้องกลับบ้านนอน”
“โถ่พี่”
“มีเวลาเหลือมาแซะกู ถ้าต้องทำให้เสร็จคืนนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเต็มความสูง หยิบบุหรี่และไฟแช็กเดินไปบันไดหนีไฟด้านหลัง
“เป็นหมอภาษาอะไรวะ เหล้าก็กิน บุหรี่ก็สูบ สงสัยหมดสายพันธุ์ใหม่” พูดจบแทนไทก็ส่ายหัวแล้วกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป เมื่อมองดูเวลาเหลืออีกแค่ 4 ชั่วโมงก็เช้าแล้ว
ตอนสาย ณ คฤหาสน์ฮาร์เปอร์
ตึก ตึก ตึก
“พี่ลุคค์ทำไมวันนี้กลับบ้านช้าจังคะ ที่ผับยุ่งเหรอคะ” พลอยใสเอ่ยถามขณะเดินถือกาแฟเพื่อมาเสิร์ฟสามีและธารา
“นิดหน่อยครับ”
“สภาพมึงดูไม่ได้เลยนะ ที่ผับมีอะไรหรือเปล่า” ธาราเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลุคค์มีสีหน้าอ่อนล้าคงจะอดหลับอดนอนมาหลายชั่วโมง
“เปล่าครับ ผมแค่รีบเคลียร์งานให้เสร็จอาทิตย์หน้าผมมีธุระต้องเดินทางไปภูเก็ต” ลุคค์ตอบกลับแค่นั้น ชาร์วีที่นั่งอยู่ก็ได้ยินและพยักหน้ารับรู้
“ถ้าไม่ไหวก็ให้ธารามันช่วยดู รีสอร์ตของที่บ้านก็กำลังจะสร้างเพิ่มไม่ใช่เหรอ ระหว่างนี้แกเองก็ต้องกลับไปช่วยที่บ้านงานที่ผับก็ให้ธารามันเข้าไปช่วย” ชาร์วีเอ่ยบอกมือซ้ายคนสนิท
“มึงพูดเหมือนกูว่าง ลืมไปหรือเปล่าว่ากูถือหุ้นแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมึงถือหุ้นมากสุด 40 เปอร์เซ็นต์” ธาราตอบกลับเหมือนตอกหน้าชาร์วีอย่างไงอย่างงั้น
“เสือกจำแม่นนะเรื่องพวกนี้” ชาร์วีด่ากลับเสียงเรียบ
“ผมอาจจะไปดูไซซ์งานประมาณหนึ่งอาทิตย์นะครับ อาทิตย์หน้าจะเริ่มลงเสาเข็มแล้วต้องไปคุมเอง”
“ให้ไอ้โชไปช่วยดูระหว่างที่แกไม่อยู่จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด” ลูกน้องของชาร์วีทุกคนไม่ใช่แค่เก่งเรื่องการต่อสู้ดูแลความปลอดภัยเท่านั้น ทุกคนล้วนมีใบปริญญาเป็นเครื่องการันตีเรื่องความรู้ความสามารถ และบอดี้การ์ดคนนี้ก็จบวิศวกรรมโยธามาวิทยาลัยดังด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเป็นเครื่องหมายการันตี
“ขอบคุณครับนาย”
อัครเดชา กรุ๊ป
“ไซน์ออกไปทานข้าวข้างนอกกัน” ซีไนซ์เดินเข้ามาหาดีไซน์และเอ่ยชวนขึ้นเมื่อยังเห็นเพื่อนยังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทั้งที่ตอนนี้เลยเวลาพักเที่ยงมาเกือบสิบนาที
“แป๊บหนึ่งนะ” เสียงเล็กตอบกลับขณะที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่หน้าจอแล็ปท็อป นิ้วเรียวเล็กกำลังพิมพ์ข้อความตอบกลับลูกค้า ซีไนซ์พยักหน้ารับทราบเดินไปหย่อนสะโพกลงนั่งที่พนักวางแขนแต่สายตาไปสะดุดรอยแดงที่ต้นคอด้านหลังโผล่ล้นคอเสื้อออกมาให้เห็น
“ไซน์ นี่รอยอะไร” ซีไนซ์ถามขึ้นเสียงแข็ง ลุกขึ้นปัดกลุ่มผมที่ปล่อยยาวลงมาปิดและเปิดคอเสื้อด้านหลังกว้างขึ้นเพื่อจะเห็นได้ชัด
“ไม่มีอะไรหรอก ปะไปกินข้าวกันฉันหิวข้าวแล้ว” ดีไซน์ตอบกลับเสียงนิ่งลุกจากเก้าอี้คว้ากระเป๋าตั้งท่าจะเดินออกไป
“เย็นนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันนะไซน์”
“ค่อยคุยกันทีหลังไม่ได้สำคัญอะไร ฉันหิวข้าวแล้ว” ร่างบางในชุดเดรสสั้นสีฟ้าบนรองเท้าส้นสูงเดินสับขาราวอยู่บนรันเวย์เดินตรงไปยังลิฟต์ ซีไนซ์รีบสาวเท้าเดินตามด้วยความสูงที่ต่างกันเกือบสิบเซนติเมตรจึงกลายเป็นว่าต้องรีบสาวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป
“จำเป็นต้องเดินเร็วขนาดนี้ไหม” เสียงหอบเหนื่อยบ่นให้เพื่อนขณะที่ทั้งสองอยู่ในลิฟต์
“ทีหลังก็จำไว้ว่านมมีประโยชน์”
“ยัยไซน์”
“ฉันล้อเล่น เธอตัวเล็กน่ารักแบบนี้สเปกหนุ่มตาน้ำข้าวนะ ไปไหนมาไหนพกพาง่ายดี”
“ยัยไซน์”
“ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าแกแต่งงานกับพี่ชายฉันหลานฉันจะปากแซ่บขนาดไหน”
“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วยัยซี หน้าพี่ชายที่แสนดีของแกฉันยังไม่เคยเห็นเลย อีกอย่างฉันก็มีโยธาอยู่แล้วจะให้ไปแต่งงานกับพี่ชายแกได้ยังไง” ดีไซน์ตอบกลับจังหวะที่ลิฟต์เปิดออกพอดี บทสนทนาเรื่องนั้นก็จบลงไปโดยปริยาย
ร้านอาหารใกล้ๆ กับบริษัทเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่มาทานอาหารตอนพักเที่ยงเพราะราคาไม่แพงจนเกินไปและรสชาติอร่อย
“นั่นพวกเพื่อนไอ้โยนี่ใช่ไหม” ซีไนซ์ชี้ไปที่โต๊ะด้านในสุดที่มีกลุ่มผู้ชายประมาณเกือบสิบคนนั่งทานข้าวคุยกันสนุกสนาน แต่สายตาไปสะดุดผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มที่นั่งข้างๆ โยธา
“อือใช่ น่าจะมาทานข้าวเที่ยงแหละ”
“แล้วผู้หญิงที่ไหนที่นั่งข้างไอ้โย”
“น่าจะเพื่อนเขาแหละ มากันหลายคนแกอย่าไปสนใจพวกเขาเลยซีรีบกินข้าวรีบกลับไปทำงานเถอะฉันยังมีงานค้างอยู่เยอะ”
“แผนกไอ้โยไม่มีผู้หญิง แล้วนั่งติดกันแทบจะนั่งตักกันขนาดนั้นแค่เพื่อนแน่เหรอไซน์”
“ถ้าไม่ใช่เพื่อนสักวันฉันก็รู้เองแหละ ความลับไม่มีในโลกหรอกซี ไม่มีใครสามารถปกปิดความผิดของตัวเองได้ไปตลอดหรอก เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวิ่งตามหาความจริง”
“ฉันจะเลื่อนเวลาให้ทุกอย่างมันเร็วขึ้นเอง หึ หึ” ซีไนซ์พูดขึ้นลอยๆ ส่งสายตามองจับจ้องก่อนจะหันกลับมาโฟกัสที่เมนูตรงหน้า