4 อดีตไม่น่าจดจำ
ไม่มีใครในครอบครัวรู้ว่าหญิงสาวเคยมีแฟนมาก่อนเพราะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ปี 1 ในกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัยเธอได้มีโอกาสรู้จักกับรุ่นพี่คณะสถาปัตยกรรมคนหนึ่งมันเป็นความประทับใจเล็กๆ ในวันที่เหนื่อยกับกิจกรรมต่างๆ ที่รุ่นพี่ให้ทำทั้งวัน พอถึงเวลาเดินกลับหอพักใกล้ๆ เธอหมดแรงแทบจะยืนไม่อยู่แล้วก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาประคองและหาน้ำเย็นๆ มาให้เธอดื่มอีกทั้งยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนจนเธอหายเหนื่อยก่อนที่จะเดินไปส่งเธอที่หอพัก
ผู้ชายคนนั้นชื่อเตชินทร์หรือพี่เต้ จากวันนั้นพี่เต้ก็มักจะแวะมาหาเธอที่คณะอยู่บ่อยๆ จนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่คบกันนั้นพี่เต้ไม่เคยทำอะไรเกินเลยกับเธอเลย พี่เต้เป็นคนสุภาพ คุยสนุก เขามักจะมีเรื่องมาเล่าให้เธอหัวเราะได้อยู่เรื่อยๆ พี่เต้มักจะพาเธอไปหาอะไรทานหลังเลิกเรียน พาไปดูหนัง พาไปร้านหนังสือจนเธอติดนิสัยรักการอ่านและชอบเข้าร้านหนังสือก็เป็นเพราะผู้ชายคนนี้
จนมีอยู่ช่วงหนึ่งเธอแทบไม่ได้กลับบ้านเลย พอทางบ้านถามเธอก็บอกว่าเรียนหนักและมีกิจกรรมที่ต้องทำเยอะ ซึ่งพ่อกับแม่ก็เข้าใจ ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด กัลยณัฏฐ์คิดว่าจะพาพี่เต้มาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักในฐานะคนรักในวันเกิดของเธอ วันนั้นเธอเลิกเรียนเร็วกว่าปกติจึงเดินไปรอพี่เต้ที่คณะซึ่งตลอดเวลาที่คบกันเธอไม่เคยไปหาเขาที่คณะและไม่เคยได้เจอเพื่อนๆ ของเขาเลยสักครั้ง เขาให้เหตุผลกับเธอว่าเพื่อนๆ ของเขานั้นมีแต่ผู้ชายและชอบพูดจาลามก เขากลัวว่าเธอจะรับไม่ได้เขาจึงเป็นฝ่ายมาหาเธอที่คณะเอง ระหว่างที่นั่งรอเขาที่ม้าหินอ่อนหน้าคณะ ก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินมานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนข้างๆ ทั้งกลุ่มพูดคุยกันเสียงดังเธอไม่ได้สนใจอะไรมากถ้ามีเสียงพี่เต้ร่วมอยู่ในกลุ่มด้วย
‘เฮ้ย! ไอ้เต้ ตกลงเอาไง เรื่องน้องปี 1’ เสียงหนึ่งพูดขึ้น
‘เด็กนั่นน่ะเหรอ ก็ไม่เอาไง คบไปเรื่อยๆ รอจังหวะ’ เสียงที่เธอคุ้นเคยตอบ
‘จังหวะอะไรวะ อย่าบอกนะว่ามึงยังไม่เผด็จสึกน้องเขาอีก’ สิ้นเสียงคำถามก็พากันหัวเราะทั้งกลุ่ม หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ รอฟังว่าพี่เต้จะตอบเพื่อนๆ ว่าอะไร
‘เออ! สิวะใครจะไปคิดละว่าเรียนปี 1 แต่อายุยังไม่ถึง 18 เด็กชะมัด’
‘เซ็งเลยสิมึง คั่วมาตั้งนานยังไม่ได้แอ้ม’ เสียงฮาตามาอย่างสนุกสนาน
‘อีกไม่กี่วันน้องเค้าก็ 18 ปีแล้ว คราวนี้จะกูจะคิดทั้งต้นทั้งดอกเลยมึงคอยดู โทษฐานที่ทำให้กูเสียเวลาเกือบทั้งปี นี่ยังดีนะกูมีเด็กในสต๊อกที่คณะบัญชีกับคณะวิทย์ฯ อีก 2คน’ เสียงที่คุ้นเคยแต่หากทว่าถ้อยคำนั้นไม่คุ้นหูเธอเลย พี่เต้ที่เคยพูดเพราะให้เกียรติผู้หญิง พี่เต้ที่เธอรู้จักมาตลอดหนึ่งปีไม่น่าจะพูดจาแบบนี้ เธอนั่งทนฟังแต่ไม่แสดงตัว หนังสือเล่มที่กำลังอ่านสูงพอจะปิดหน้าไม่ให้ใครเห็นว่าเป็นเธอ
‘มึงนี่ก็เก่งนะ คบทีเดียว 3 คน’
‘ก็มันคนละคณะนี่มึง อีกอย่างกูก็ไม่เคยให้น้องเค้ามาหาที่คณะ ถ้าให้มาเจอพวกมึกนะมีหวังความแตกแน่ๆ’
‘แล้วคนไหนตัวจริงวะ’ เสียงอีกคนถามอย่างใคร่รู้
‘ตัวจริงเหรอ ไม่มีหรอก ใครจะเอาเด็กพวกนั้นมาเป็นแม่ของลูกวะ แค่เห็นกูหน้าตาดี พูดจาดีๆ เข้าหน่อยก็หลงกูจะแย่ กูก็แค่คบๆ ไว้ อีกหน่อยกูเรียนจบกูก็ชิ่งเท่านั้นเอง’
‘มึงนี่มันทั้งเรียนเก่งทั้งเก่งเรื่องผู้หญิงเลยนะ กูล่ะอยากเกิดมาหน้าตาดีเหมือนมึงจริงๆ’
‘แต่มึงนึกยังไงจีบมหาลัยเดียวกันวะ แต่ก่อนกูเห็นมึงจีบมหาลัยอื่น’
‘ก็กูเรียนที่นี่ปีสุดท้ายไง พอกูจบก็ไม่ได้เจอกันละ ที่ปีก่อนๆ กูไม่จีบเด็กที่นี่ก็เพราะกูยังเรียนอยู่อีกหลายปีไง กูไม่อยากมาปวดหัว’
‘สุดยอดเลยมึง’ เสียงเอ่ยชื่นชมนั้นไม่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับกัลยณัฏฐ์ที่ตอนนี้น้ำตาไหลพรากเมื่อได้ฟังสิ่งที่เธอเองไม่เคยรับรู้มาก่อน หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าแสดงตัว รอจนกระทั่งชายกลุ่มนั้นเดินออกไป หญิงสาวเดินกลับหอพักอย่างคนหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง 1 ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่เต้นั้นแอบคบใครอยู่บ้าง ที่เขาทำดีไม่ล่วงเกินเธอมาตลอดเพราะเขารู้ว่าเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่ไม่ได้พราดพลั้งเสียตัวให้ผู้ชายเจ้าชู้
‘กิ่ง......’ เมื่อประตูห้องพักเปิดกัลยณัฏฐ์โผเข้ากอดเพื่อนร่วมห้องและร้องไห้โฮสะอื้นจนตัวโยนกิ่งกาญจน์เห็นเพื่อนร่วมห้องตกใจเป็นอย่างมาก
‘โอปอ เป็นอะไรหรือเปล่า มีใครทำอะไร’ ไม่มีเสียงตอบมีเพียงแต่เสียงร้องสะอื้นไห้แทนคำตอบ กิ่งกาญจน์ได้แต่กอดเพื่อนและลูบหลังปลอบอย่างปลอบโยน กัลยณัฏฐ์ร้องไห้อยู่เกือบชั่วโมงจนตาบวมช้ำไปหมด เธอร้องจนแทบจะไม่มีน้ำตาไหลออกมา เมื่อร้องจนเหนื่อยเธอก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิทฟัง
‘ไอ้เลว กิ่งไม่นึกเลยว่าพี่เต้ที่แสนดีที่เราเห็นจะกลายเป็นคนอย่างนี้ไปได้ อย่าให้เจอนะกิ่งจะต่อยให้หน้าหงายเลย’ เมื่อเพื่อนสนิทโดนทำร้ายจิตใจเธอเองก็เลือดขึ้นหน้า
‘อย่าเลยกิ่ง ปอไม่อยากจะยุ่งกับคนแบบนั้นอีกแล้ว พรุ่งนี้ปอจะกลับบ้าน แล้วมาอีกทีวันสอบเลยนะ ปอไม่อยากเจอผู้ชายคนนั้นอีก’
‘งั้นก็ตามใจโอปอนะ ให้กิ่งไปส่งไหม’ เธอไม่อยากให้เพื่อนเดินทางคนเดียวในขณะที่กำลังเสียใจอย่างนี้
‘ไม่เป็นไรจ้ะกิ่ง ปอไปคนเดียวได้ นั่งรถตู้ไปแป๊บเดียวเอง’ เธอไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากไปส่ง
‘งั้นให้กิ่งไปส่งขึ้นรถตู้นะ’ เธออยากเห็นว่าเพื่อนขึ้นรถกลับบ้านจริงๆ ไม่ใช่เดินเหม่อลอยไปที่อื่น
ในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีตนั้นเสียงของมารดาก็ดังขึ้น
“แล้วที่โรงเรียนไม่มีครูมาจีบบ้างเหรอจ๊ะปอ” เสียงกัลยาดึงสติให้หญิงสาวกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
“โธ่ แม่คะ แม่ก็รู้ว่าปอพึ่งเข้าไปทำงาน ยังไม่รู้จักครูครบทุกคนหรอกค่ะ” เธอไม่ใช่คนสวยที่ใครเห็นแล้วจะเข้ามา
จีบ แต่เธอคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นที่ใครๆ คุยด้วยแล้วก็สบายใจ
“แล้วมีคนไหนคุยถูกคอบ้างล่ะ” กัลยาแกล้งแหย่ลูกสาว
“ไม่มีเลยค่ะแม่” เธอรีบบอกเพราะไม่อยากให้มารดาต้องมาเป็นห่วงเธอในเรื่องนี้ หญิงสาวยังไม่คิดถึงเรื่องการมีคนรัก เพราะสิ่งที่ตั้งใจตอนนี้คือการสอบบรรจุมากกว่า
“หรือว่ามีแต่ปอไม่สนใจ” ปองพลถามขึ้นอีกคน
“จะว่าไม่สนใจผู้ชายคนไหนเลยก็ดูจะเกินจริงไปบ้างค่ะแม่ แต่ที่ปอยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้เพราะปอยังสนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ ปอกลัวว่าถ้ามีแฟนแล้วจะไม่มีเวลาอยู่กับพ่อกับแม่แบบนี้” ไม่แค่พูดแต่หญิงสาวกอดแขนประจบทั้งพ่อและแม่
“จ้า พ่อรู้” ปองพลยิ้มอย่างยินดีที่ได้ยินลูกสาวพูดว่าไม่อยากมีแฟนเพราะเขาคงทำใจไม่ได้ถ้าลูกสาวคนเดียวจะไปรักผู้ชายคนอื่นนอกจากตัวเขา ผิดกับผู้เป็นแม่ที่อยากให้ลูกสาวมีคนดูแลเพราะเข้าใจดีกว่าอีกหน่อยตัวเองก็แก่ตัวลงไปทุกที บรรดาเพื่อนๆ ของกัลยณัฏฐ์ก็มีแฟนกับเกือบจะทุกคนแล้วและบางคนก็พึ่งจะคลอดลูกไปเมื่อเร็วๆ นี้ด้วยซ้ำ
“ก็จริงของหนูนะ แต่แม่ก็แอบห่วงกลัวว่าเอาเวลามาอยู่กับแม่แบบนี้แล้วจะไม่มีเวลาไปหาแฟน”
“แล้วปอชอบผู้ชายแบบไหนล่ะลูก” ปองพลยิงคำถามอย่างตรงประเด็น
“อืม.... ก็ต้องผู้ชายแบบพ่อสิคะ อบอุ่น ใจดี มีอารมณ์ขัน ให้เกียรติผู้อื่น ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ต้องหล่อมากก็ได้นะคะเอาแค่ดูดี การศึกษาดี ต้องรักปอและครอบครัวของปอและที่สำคัญต้องไม่เจ้าชู้ด้วยค่ะ” คำพูดของลูกสาวทำให้ปองพลไม่กล้าสบตาเธอและก็ไม่ทันสังเกตด้วยว่าภรรยาของเขามีสีหน้าเปลี่ยนไป
“เยอะนะนั่น แล้วจะมีไหมนะ ผู้ชายแบบนี้” ปองพลหัวเราะกลบเกลื่อนกับคำตอบของลูกสาวดูท่าแล้วคงจะต้องอยู่เป็นโสดไปอีกนาน
“ดึกแล้ว ทำไมแขกที่จะมาพักยังไม่มาสักที หรือเขาจะไม่มาแล้วคะ” กัลยณัฏฐ์รีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเกือบ 4 ทุ่มแล้วยังไม่มีทีท่าว่าแขกที่แจ้งว่าจะเข้ามาพักเมื่อตอนบ่ายจะมาสักที เธอเริ่มจะง่วงนอน
“ปอจ๊ะ แม่ว่าหนูกลับไปนอนก่อนดีไหม พรุ่งนี้ต้องไปสอนแต่เช้านะลูก” กัลยาเห็นท่านั่งสัปหงกของลูกสาว
“รออีกสัก 10 นาทีนะคะแม่ ถ้าไม่มาปอก็จะกลับไปนอนแล้วค่ะ” ยังไม่ทันถึง 10 นาทีตามที่บอกไว้แขกที่เข้ามาพักก็เดินเข้ามาพอดี
“ขอโทษครับ ที่ต้องให้รอนาน” ฝรั่งผมทองแต่พูดไทยชัดแจ๋ว สูงประมาณ 185 ซม. วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เธอยิ้มกว้างต้อนรับ
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง” เธอส่งน้ำกระเจี๊ยบให้ชายหนุ่มเพื่อดับกระหาย
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีรถเราเสียกว่าช่างจะซ่อมเสร็จก็เกือบ 3 ทุ่มผมบอกให้รอมาพรุ่งนี้เช้าไมค์ก็ไม่ยอม จะมานอนที่นี่ท่าเดียวเลย” ผู้ชายอีกคนเดินตามเข้ามา คนนี้น่าจะเป็นคนไทยแท้ เพราะดูจากหน้าตาแล้วไม่น่าจะเป็นชาวต่างชาติแต่อย่างใด
“ขอบคุณครับที่ยังเปิดเรา 2 คนอยู่ ผมอรรถพลหรือเรียกพลก็ได้ครับ ส่วนเพื่อนผมชื่อไมค์ครับ” อรรถพลรีบแนะนำตัว
“ฉันโอปอค่ะ นี่แม่กับพ่อของฉันเป็นเจ้าของที่นี่ค่ะ” หลังจากแนะนำตัวและแนะนำข้อกำหนดในการเข้าพักแล้วกัลยณัฏฐ์ก็พาแขกทั้งสองคนไปยังห้องพักที่แขกได้จองไว้ ห้องนี้เป็นห้องที่ค่อนข้างใหญ่มีเตียงคิงไซส์ 1 เตียงและเตียงเล็ก 3 ฟุตอีก 1 เตียง สำหรับผู้เข้าพักที่มีเด็กมาด้วย มีห้องน้ำในตัว ตอนแรกเธอคิดว่าแขกน่าจะมาพักเป็นครอบครัว จึงนึกแปลกใจที่ไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิดไว้
“มีอะไรเรียกใช้บริการได้ตลอดเวลานะคะ ห้องของน้าณี พนักงานที่นี่อยู่ริมสุดติดประตูทางเข้าค่ะ” เธอบอกชายหนุ่มสองคน
“ขอบคุณครับ” อรรถพลบอกแล้วเขาทั้งสองก็เดินเข้าไปยังห้องพักที่จองไว้