บทย่อ
เมื่อหัวใจถูกโอบกอดด้วยความรัก ความสุขมันก็อยู่ตรงหน้า
1 กลับบ้าน
“หนูดี จะไปไหนแต่เช้า วันนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอครับ” เสียงตะโกนถามเมื่อเห็นเด็กสาวถือกระเป๋าใบเล็กเหมือนคนกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านทั้งๆ ที่ยังไม่ทานอาหารเช้า
“ไปช่วยพี่โอปทำห้องค่ะน้าวิชญ์ หนูดีไปก่อนนะคะ” เจ้าตัวตอบอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่ได้ทานอาหารเช้า ปุณณวิชญ์ทำหน้างงๆ เพราะเขาเองพึ่งจะกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ไม่กี่วัน
ปุณณวิชญ์หรือน้าวิชญ์ของเด็กสาวนั้นพึ่งกลับมาอยู่ที่บ้านได้ไม่กี่วัน เพราะส่วนใหญ่จำใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ชายหนุ่มเข้าไปเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นก็เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยและหลังเรียนจบก็ทำงานที่นั่นมาตลอดจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้กลับมาอยู่กับพี่สาวคนเดียวที่เปรียบเสมือนทั้งแม่และพี่สาวนานแล้ว
มารดาของปุณณวิชญ์นั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเรียนอยู่ ปี 2 ก็มีแต่พี่สาวของเขาที่คอยช่วยเหลือส่งเสียให้ชายหนุ่มได้เรียนจบโดยไม่ลำบากนัก เมษาพี่สาวของเขานั้นมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อพิจิกาหรือที่เขาเรียกว่าหนูดี พี่สาวของเขานั้นเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่โรงเรียนตัวอำเภอเมืองสมุทรสาคร ขับรถไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงโรงเรียน
บ้านหลังที่เขามาอาศัยอยู่นี้ก็เป็นบ้านเดิมของบิดามารดาซึ่งเขาและพี่สาวอาศัยมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านไม่ใต้ถุนสูง ด้านบนมีหน้าต่างเปิดรับลมรอบด้านทำให้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ ข้างบ้านก็เป็นสวนผลไม้มีทั้งส้มโอ มะม่วง ชมพู่ ลิ้นจี่และเป็นที่มาของรายได้เสริมของครอบครัว
“หนูดีเค้าไปช่วยงานที่โอบรักโฮมสเตย์น่ะวิชญ์” เมษาเดินออกมาพร้อมกับชามเซรามิกใส่ข้าวต้มกุ้งกลิ่นหอม เมื่อเธอเห็นสีหน้าของน้องชายแล้วเมษาก็รีบอธิบายให้ฟัง
“โอบรักโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์ติดคลองอัมพวา เดี๋ยวนี้คนนิยมมาดูหิ่งห้อยกันที่นี่เยอะๆ ชาวบ้านจึงนิยมทำโฮมสเตย์กันเยอะ อย่างโอบรักโฮมสเตย์นี่ก็เป็นของครูกัลยาที่ลาออกมาทำเพราะมีบ้านติดริมคลอง เลยปรับปรุงบ้านเดิมให้มีห้องพักน่าจะสัก 10 ห้องได้ หนูดีมักจะไปช่วยทำความสะอาดห้องในวันหยุดแลกกับค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ ครูเธอใจดีทั้งสองคน อยากให้หนูดีมีรายได้พิเศษและยังได้ฝึกภาษาด้วย”
“ได้ฝึกภาษาด้วยเหรอครับ”
“ก็ใช่นะสิ มีชาวต่างชาติมาพักอยู่บ่อยๆ”
“มีชาวต่างชาติมาพักด้วยเหรอครับพี่ษา” เขาถามอย่างนึกสงสัยเพราะช่วงหลังมานี้เขาเองก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านที่อัมพวาบ่อยนัก และคิดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติน่าจะพักที่โรงแรมใหญ่มากกว่า
“มีสิจ๊ะ ที่นี่เจ้าของเป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วยชาวต่างชาติชอบมาพักกัน ราคาที่พักก็ไม่แพง วันหยุดหนูดีก็มักจะไปขลุกอยู่ที่นู่นเป็นประจำ” เมษาอธิบายเพิ่มให้กับคนไม่ค่อยกลับบ้านฟัง
“อ๋อ” เขาพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปทานข้าวต้มต่ออย่างใจเย็น เป็นเวลาเช้าที่เขาไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำงานเหมือนตอนที่เขาอยู่กรุงเทพฯ
เวลาบ่ายคล้อยปุณณวิชญ์เริ่มปวดเมื่อยไปทั้งตัว หลังจากที่นั่งทำงานมาตั้งแต่หลังอาหารมื้อกลางวัน เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนที่เขาหอบเอางานเข้าไปทำก็พบว่าทั้งบ้านเงียบเชียบ เมษาน่าจะเข้าไปดูแลผลไม้ในสวนตามที่บอกเขาไว้ในตอนเที่ยง ในทีแรกนั้นปุณณวิชญ์จะตามไปด้วย แต่เมษาบอกว่าวันนี้ไม่มีงานอะไรมากแค่จ้างคนงานมาตัดแต่งกิ่งลิ้นจี่และทำทางระบายน้ำเพิ่มเท่านั้น ชายหนุ่มเปิดทีวีดูรายการเกมโชว์คลายเหงา
“น้าวิชญ์คะ ไปเดินตลาดน้ำกันไหมคะ” พิจิกาโผล่มาจากหน้าบันได หนูดีหรือชื่อจริงคือพิจิกาเป็นเด็กสาววัย 14 ย่าง 15 เป็นเด็กที่ร่าเริงสดใส มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แม้เธอจะเสียพ่อไปตั้งแต่เรียนอยู่ป.3 แต่เมษาก็เลี้ยงลูกได้เป็นอย่างดี เธอเป็นทั้งพ่อและแม่จนทำให้พิจิกาไม่รู้สึกว่าขาดอะไร
“ไปสิ น้ากำลังเบื่อเลย ไม่ได้ไปเดินนานแล้วเหมือนกัน” ครั้งสุดท้ายที่ปุณณวิชญ์ไปเดินตลาดน้ำก็ตอนเรียนอยู่ชั้นปี 3 ตอนนั้นเขาพาเพื่อนๆ พักที่บ้านซึ่งนับถึงตอนนี้ก็หลายปีแล้ว
สองน้าหลานเดินออกมาจากบ้านแล้วพากันลัดเลาะไปตามซอยเล็กๆ กว่าจะถึงตลาดน้ำก็พระอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้า เขายืนอยู่บนสะพานที่เชื่อมระหว่างสองฝั่งคลอง เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างเห็นผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่ ในบริเวณลำคลองมีเรือของพ่อค้าแม่ค้ามาขายอาหารและเรือบริการนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก พิจิกาเดินนำเขาไปไกลแล้ว เขารีบสาวเท้าตามไป
ตลอดข้างทางมีร้านค้ามากมากทั้งขายขนม ขายของที่ระลึก ขายผลไม้สดๆ ขายอาหารทะเลที่ปิ้งจากบนเรือแล้วส่งให้ลูกค้านั่งทานริมคลอง บรรยากาศดูคึกคักทำให้ชาวบ้านในแถบนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม เมื่อปุณณวิชญ์เดินผ่านร้านขายขนมไข่นกกระทาลูกโตน่าทาน ท้องเริ่มหิวขึ้นมาทันที
“ไข่นกกระทา 20 ครับ”แม่ค้าตักไข่นกกระทาสีเหลืองทองลูกโตใส่กระทงใบตองยื่นให้
“แถมด้วยสิพี่ใจ เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?” พิจิกาตะโกนมาจากร้านขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ถัดไปอีก 2 ร้านในปากยังเคี้ยวลูกชิ้นปิ้งตุ้ยๆ ปุณณวิชญ์และแม่ค้ามองหน้ากันแบบงงๆ
“อย่าบอกนะคะ ว่าจำกันไม่ได้” พิจิการีบเดินมาจากร้านลูกชิ้นปิ้งแล้วรีบอธิบายก่อนทั้งสองคนจะงงไปกว่านี้
“พี่ใจจำน้าวิชญ์ไม่ได้จริงๆ เหรอคะ” คนถูกถามยังมองหน้าชายหนุ่มแล้วคิ้วขมวด
“อย่าบอกนะว่านี่ปุณณวิชญ์” แม่ค้าถาม
“ใช่เราปุณณวิชญ์ เธอก็ดวงใจลูกป้าจันทร์ใช่ไหม”
เมื่อต่างคนต่างจำกันได้แล้วก็คุยกันเพื่อระลึกความหลัง ปุณณวิชญ์กับดวงใจนั้นเคยเรียนด้วยตั้งแต่สมัยประถมก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไปตอนเรียนมัธยม เมื่อคุยกันได้สักพักชายหนุ่มก็ขอตัวไปเดินชมตลาดน้ำต่อและทิ้งท้ายว่าวันหลังเขาจะหาเวลาไปคุยด้วยที่บ้าน ระหว่างทางที่เดินนั้นพิจิกาก็ทักทายพ่อค้าแม่ค้าไปตลอดทางเพราะคุ้ยเคยกันเป็นอย่างดี
ตลาดน้ำอัมพวาเริ่มเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาได้หลายปีแล้ว เพราะการเดินทางสะดวกสบาย ยิ่งถ้ามีเวลาน้อยและมาจากรุงเทพฯ ก็ขับรถเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง ตลาดจะคึกคักมากในช่วงเย็นวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนในวันธรรมดาก็จะมีแต่ร้านที่เปิดเป็นห้องแถวเปิดบ้างเป็นบางร้านเท่านั้นเพราะพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ก็มักจะมีงานประจำทำกันทั้งนั้น
พอเดินไปสักพักก็ถึงท่าเรือที่มีเรือไว้บริการนักท่องเที่ยวทั้งไหว้พระและเรือสำหรับนั่งชมหิ่งห้อย ซึ่งมีทั้งแบบเหมาลำและนั่งไปกับคนอื่น ปุณณวิชญ์และพิจิกาเดินมาถึงหัวสะพานก็พากันข้ามไปอีกฝั่ง ในมือของทั้งสองคนเต็มไปด้วยทั้งของคาวของหวาน
“หนูดีครับ น้าว่าเรากลับบ้านกันเถอะ” ปุณณวิชญ์พูดพร้อมกับชูมือที่เต็มไปด้วยถุงพลาสติกใส่ของ
“อะไรกันคะน้าวิชญ์ อย่าบอกนะคะว่าเดินแค่นี้เหนื่อยแล้ว” พิจิกาอดที่จะเอ่ยเย้าน้าชายไม่ได้
“ไม่ได้เหนื่อยครับ แต่นี่มัน 2 ทุ่มแล้ว” ปุณณวิชญ์ชี้มือไปที่นาฬิกาข้อมือ
“ยังไม่ดึกเลยนะคะน้าวิชญ์” พิจิกาแก้ตัว เพราะเวลานี้ตลาดกำลังคึกคักเป็นอย่างมาก นักท่องเที่ยวเดินเลือกซื้อของกันอย่างสนุกสนาน ปกติแล้วเธอก็มักจะมาเดินเที่ยวที่ตลาดเป็นประจำอยู่แล้วเพียงแต่วันนี้เธอรู้สึกสนุกกว่าทุกครั้งเพราะมีคนมาเดินด้วยซึ่งแต่ก่อนเธอก็จะเดินคนเดียวเสียมากกว่า
“น้ากลัวแม่เรานั่นแหละจะห่วงเพราะเราหายออกมาจากบ้านกันตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้วนะ”
“อุ๊ย! หนูดีลืมไปสนิทเลยค่ะน้าวิชญ์ แม่คงกำลังรอเราทานข้าวแน่ๆ เลย” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเลยเวลาอาหารเย็นมาเกือบชั่วโมงแล้วพิจิกาก็รีบวิ่งนำหน้าปุณณวิชญ์ไปอย่างรวดเร็ว