5 แฟนเก่า
บ่ายวันอังคารที่แสนเงียบเหงา พิจิกาไปเรียนส่วนเมษานั้นก็ไปสอนหนังสือปุณณวิชญ์ต้องอยู่บ้านคนเดียวเขาเริ่มชินกับความเงียบในตอนกลางวันแล้วหลังจากที่มาอยู่ที่นี่ได้เกือบสัปดาห์แต่มันเป็นความเงียบสงบที่เขาเองนึกชอบอยู่ในใจพอตกเย็นความเงียบเหงาก็ถูกแทนที่ด้วยด้วยเสียงหัวเราะ และความอบอุ่นเมื่อได้ทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับพี่สาวและหลานสาว ชายหนุ่มกำลังชั่งใจอยู่ว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ตลอดดีหรือไม่ และเขาจะเข้าไปบริษัทแค่สัปดาห์ละ 3 วันก็น่าจะพอแล้ว
ปุณณวิชญ์กำลังนอนอ่านหนังสือที่พึ่งซื้อมาเมื่อวันก่อนอยู่บนเปลไม้ไผ่บริเวณใต้ต้นไม้ข้างๆ บ้านลมพัดเย็นสบายทำให้เขาเริ่มจะไปเฝ้าพระอินท์เต็มที
ครืด....ครืด .... เสียงโทรศัพท์ที่เขาวางไว้บนเก้าอี้ไม้ข้างๆ เปลดังขึ้น ปุณณวิชญ์รีบคว้าขึ้นมาก่อนที่มันจะสั่นจนล่วงลงไปยังเบื้องล่าง
“อะไรนะครับคุณดา” เขาตะคอกเสียงไปตามสายทันทีที่ฟังเรื่องจากต้นสายจบ มันจะเป็นไปได้ยังไงกันที่ทั้งบริษัทจะไม่มีหุ้นส่วนคนไหนอยู่เลยเพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน คุณดารณีเลขาฯ ของเขาโทร.มาแจ้งว่ามีลูกค้าเข้ามาโวยวายที่บริษัทและต้องการพบผู้บริหาร เธอพยายามติดต่อคนอื่นแล้วแต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลยสักคน ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมากจึงรีบขับรถตรงไปยังบริษัททันที
บริษัท วีที คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นบริษัทรับออกแบบและสร้างบ้าน อาคารพาณิชย์ พอพัก รวมถึงรับตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน ปุณณวิชญ์กับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันชื่อตุลาและรุ่นน้องคณะสถาปัตยกรรมอีกสองคนคือวศินกับตรีทิพย์ร่วมกันลงทุนโดยเขาเองมีหุ้นส่วนอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ตุลา 20 เปอร์เซ็นต์ วศินกับตรีทิพย์อีกคนละ 15 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่จะมาเปิดบริษัทเองนั้นชายหนุ่มเข้าทำงานที่บริษัทรับสร้างบ้านและเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาถึง 5 ปีเต็มและระหว่างที่เขาเรียนก็ยังได้มีโอกาสได้ฝึกงานในบริษัทที่รับผิดชอบโครงการใหญ่ๆ อย่างการสร้างห้างสรรพสินค้า บ้านจัดสรรรวมถึงโรงแรมต่างๆ อีกมาก
พอเรียนจบก็มีหลายบริษัทมาทาบทามให้เขาไปทำงาน เขาตกลงเรื่องทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่มากนักเพราะอยากได้ประสาการณ์ด้านอื่นนอกจากงานวิศวกรด้วย โชคดีที่รุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของบริษัทให้โอกาสเขาทำงานในหลากหลายตำแหน่ง นอกจากวิศวกรคุมงาน เขียนแบบ แล้วเขายังได้มีโอกาสดูแลในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการยื่นซองประมูลงานต่างๆ อีกด้วย และเมื่อเขาขอลาออกจากบริษัทเดิม พี่อติรุจน์หรือพี่รุจน์ก็ไม่มีท่าทีโกรธ หรือไม่พอใจแต่อย่างใด อีกทั้งอติรุจน์ยังให้คำแนะนำเขาเกี่ยวกับการเปิดบริษัท การจดทะเบียน และอีกหลายๆอย่างๆ ในช่วงแรกบริษัทยังไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่
เขากับหุ้นส่วนจึงเช่าตึกแถวขนาดหนึ่งคูหาที่ชั้นบนใช้เป็นที่พักของเขา ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นสำนักงาน เขาเริ่มมีลูกค้าเยอะขึ้นทั้งจากที่เห็นผลงานของเขาเมื่อครั้งยังทำงานที่บริษัทของอติรุจน์ และจากที่เขาได้ไปประมูลโครงการเล็กๆ เช่นการต่อเติมหอพัก การปรับปรุงที่อยู่อาศัย บริษัทของเขาไม่เคยเกี่ยงไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ เขาและตุลา รวมถึงรุ่นน้องทั้งสองคนก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ จนเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น
แต่ที่ทำให้บริษัทก้าวหน้ากระโดดไปไกลก็คงจะเป็นช่วงที่บริษัทของอติรุจน์ประมูลโครงการสร้างบ้านจัดสรรขนาด 50 หลังแต่ที่บริษัทมีปัญหาวิศวกรทั้งหมดพากันประท้วงขอส่วนแบ่งจากกำไรที่ได้ โดยหวังว่าอติรุจน์จะยอมทำตามข้อเรียกร้องที่เสนอ แต่กลับผิดคาด เพราะตอนนั้นภรรยาของรุ่นพี่ป่วยหนัก เขาเองไม่มีทายาทที่จะสืบต่อจึงตัดสินใจปิดบริษัทโดยให้ค่าจ้างล่วงหน้ากับพนักงานคนละ 6 เดือน
ส่วนโครงการที่รับประมูลมาแล้วเขาก็เรียกชายหนุ่มไปคุยกับเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรพอ เจ้าของโครงการเห็นผลงานที่ผ่านมาของปุณณวิชญ์และทราบวาชายหนุ่มเคยทำงานมี่บริษัทของอติรุจน์มาก่อนก็ยอมทำสัญญาฉบับใหม่กับบริษัท วีที คอนสตรัคชั่น ของชายหนุ่ม ครั้งนั้นเขาดีใจเป็นอย่างมาก ที่บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสเติบโตในธุรกิจสายนี้ พนักงานเก่าบางคนที่คุ้ยเคยปุณณวิชญ์ดี ก็ขอมาทำงานกับเขาด้วย ชายหนุ่มจึงต้องขยับขยายบริษัทเพื่อรองรับกับปริมาณงานที่มากขึ้น เขาย้ายจากตึกแถว 1 คูหามาเป็นอาคารพาณิชย์ขนาด 3 คูหาหาตกแต่งสไตล์มินิมอล ชั้นล่างเป็นสำนักงาน และส่วนต้อนรับ บริเวณกลางห้องมีโมเดลผลงานที่ผ่านมาของบริษัทตั้งแสดงอยู่ และยังมีห้องครัวเล็กๆ กับเคาน์เตอร์บาร์ไว้ให้พนักงานอีกด้วย บริเวณชั้นสองจัดเป็นห้องประชุมเล็กๆ สำหรับลูกค้า และอีกห้องเป็นห้องทำงานของเขาส่วนด้านนอกนั้นมีโต๊ะทำงานของหุ้นส่วนทั้ง 3 คนรวมถึงโต๊ะของดารณีเลขาฯ ของเขา อีกมุมเป็นส่วนของวิศวกรและสถาปนิกที่รับเพิ่มเข้ามาอีกแผนกนะ 3 คน ที่ตอนนี้ก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ชั้นสามเขาทำเป็นที่พักสำหรับวิศวกรและสถาปนิกที่บางครั้งก็ต้องอยู่ทำงานกันจนดึก ส่วนตัวเองก็มาซื้อคอนโดฯ อยู่ไม่ไกลจากสำนักงานมากนัก
ปุณณวิชญ์ขับรถออดี้ Q5 สีขาว มาจอดยังบริเวณด้านหลังของอาคารแล้วรีบเปิดประตูเข้าไป แต่ก็ไม่มีใครอยู่บริเวณชั้นล่างเลยสักคน คงเพราะเลยเวลาเลิกงานไปได้สักพักแล้ว แต่ตอนเขาเข้ามาก็ยังเห็นรถของหุ้นส่วนทั้ง 3 คนยังจอดอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มเดินยังไปยังห้องทำงานของเขาเพราะคิดว่าตุลาและคนอื่นๆ คงอยู่ในนั้น เมื่อผลักประตูเข้าไปก็ต้องตกใจเพราะตุลา วศิน ตรีทิพย์รวมถึงเลขาฯ ของเขาเองก็นั่งอยู่ในนั้นด้วยท่าทางที่สงบนิ่งอยู่บนโซฟากลางห้อง ชายหนุ่มยังไม่ทันถามว่าเกิดอะไรขึ้นเสียงหนึ่งก็ดังมาทางด้านหลังของเขา
“ถ้าบริษัทไม่มีปัญหา พี่วิชญ์จะรีบเข้ามาไหมคะ” เสียงแหลมเล็กดังมาประตูห้องน้ำ เสียงที่เคยคุ้นหูทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหันไปตามเสียงนั้น
“น้องมุก” เขาตกใจไม่น้อยที่เห็นเธออยู่ตรงนั้น
มุกไหมเป็นคนรักเก่าของเขาที่เคยคบกันเมื่อ 2 ปีก่อน เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากใครเห็นต่างก็อิจฉาที่เขามีแฟนสวย หุ่นดี ช่างเอาใจและเป็นถึงดาวคณะ มุกไหมเป็นลูกสาวคนเดียวจึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ เธอเอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างมาก ชอบให้เขาเอาอกเอาใจ พาไปเที่ยว พาไปซื้อของซึ่งเขาเองก็ไม่เคยเลยที่จะขัดใจเธอสักครั้ง
จนกระทั่งในตอนที่เขาเริ่มทำบริษัทเป็นของตัวเองชายหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาให้เธอ ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตของเขาและเธอแต่ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย มุกไหมเริ่มที่จะตีตัวออกห่างและสุดท้ายก็ขอตัดความสัมพันธ์โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่มีเวลาให้กับเธอและอายุก็มากเกินไปสำหรับเธอ เธอพึ่งจะอายุเพียงแค่ 20 แต่ในขณะนั้นเขาอายุ 30 ปีแล้วห่างกัน 10 ปี ทำให้ทัศนคติไม่ตรงกัน
เขาเองไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่แล้วเขามารู้ทีหลังว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างที่จะเลิกกับเขาเท่าก็นั้น เพราะความจริงแล้วมุกไหมมีคนอื่นที่มีฐานะและชาติตระกูลดีกว่าเขา ไม่ใช่คนที่กำลังสร้างฐานะและลูกชาวสวนอย่างที่เขาเป็น
จากวันนั้นเธอกับเขาก็ไม่เจอกันอีกเลย แม้ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอจะพยายามติดต่อมาขอคืนดีแต่เขาปฏิเสธที่จะออกไปพบกับเธอ เพราะชายหนุ่มไม่มีเยื่อใยกับเธอแล้ว ผู้หญิงคนที่ทิ้งเขาไปเพื่อความสุขสบาย เขาก็ไม่อาจจะรับเข้าในชีวิตของเขายามที่เขาสุขสบายแล้วเช่นกัน
“พี่ว่ามุกใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” เขาเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดของเธอแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเลขาฯ จึงโทร.ไปบอกเขาแบบนั้น แต่กับตุลาเพื่อนของเขาน่ะสิ ทำไมถึงยอมร่วมมือด้วย ปุณณวิชญ์หันไปมองเพื่อนและรุ่นน้องด้วยสายตาคาดโทษ ตุลาพยักพเยิดให้ปุณณวิชญ์มองที่มือของมุกไหม เธอกำลังถือคัตเตอร์ที่มีใบมีดแหลมโผล่ออกมาเพียงแค่เล็กน้อย เขานึกขันในใจ ไม่รู้ว่าพวกนี้กลัวอะไรกะแค่ผู้หญิงตัวเล็กกับคัตเตอร์ในมือ
“พี่รู้ว่ามุกอยากมาคุยกับพี่ พี่ว่าเราออกไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหม ไปร้านริมน้ำที่มุกชอบไปก็ได้” เขาต้องรีบพาเธอออกไปจากตรงนี้เสียก่อนเพราะไม่อยากให้เธอมาโวยวายจนคนอื่นตกใจกันไปมากกว่านี้
“มุกดีใจ ที่พี่วิชญ์จำได้” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกนั้นทำให้อีก 4 คนที่นั่งอยู่ในห้องโล่งใจกันเป็นแถว
“จำได้สิ พี่จำได้ทุกเรื่อง” ‘รวมถึงเรื่องที่มุกทิ้งพี่ไปกับผู้ชายคนอื่น’ ประโยคหลังนี่เขาไม่ได้พูดออกไป
“พี่วิชญ์เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีไหม” ไม่เพียงแค่พูดแต่มุกไหมเอามือมาลูบใบหน้าของเขาอย่างที่เคยทำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงมีกำลังใจขึ้นมาอีกเยอะที่เธอห่วงใยเขาแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว เขาแค่อยากให้เธอออกไปจากที่นี่เท่านั้น
“มุกทานอะไรมาหรือยัง” ปุณณวิชญ์พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดทั้งที่ในใจฝืนทนเต็มที
“ยังเลยค่ะ มุกรอมาทานกับพี่วิชญ์” น้ำเสียงออดอ้อนถ้าคนฟังใจไม่แข็งพอคงจะหลงกับคำหวานนั้น
“แล้วมุกอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
“อะไรก็ได้ค่ะ” นั่นไงประโยคคลาสสิก ‘อะไรก็ได้’ ปุณณวิชญ์พาเธอมายังบริเวณด้านหน้าบริษัทที่มีรถจอดอยู่หลายคัน