บทที่ 2 ลูกบอลของปารลี
ปารลีนั่งบนเก้าอี้ใกล้ตัวเพราะคิดว่าการยืนอยู่กับที่โดยอุ้มลูกน้อยไว้บนบ่าด้วยนั้นคงเป็นงานหนักเกินไป เมื่อนั่งเรียบร้อยก็จัดท่านอนให้คนบนตักหลับสบายต่อไป
“พี่เพิ่งมีข่าวดีจ้ะ กำลังมีน้อง พี่แต่งงานกลางปีที่แล้ว ลุ้นตั้งหลายเดือนกว่าจะได้มา” สาวรุ่นพี่วางมือลงบนท้องที่ยังแบนราบอย่างปลื้มใจปารลีได้ยินก็พลอยยินดีตาม
“สามีพี่ทำงานในตึกเดียวกัน ชื่อพี่ชาญชัย เขาเพิ่งออกไปหาเพื่อนเมื่อกี้ ถ้าหนูจันทร์เห็นคงพอคุ้นหน้า”
อดีตรุ่นน้องในที่ทำงานมองประกายความสุขที่ฉายชัดออกจากดวงตาของคนพูด พลางนึกถึงคนที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งเธอก็ไม่มั่นใจอย่างที่เพื่อนรุ่นพี่พูดเลยสักนิด ว่าจะจำหน้ากันได้
“เอ้อ! น้องของหนูจันทร์น่ารักมากจ้ะ กี่ขวบแล้วจ๊ะ ชื่ออะไรน่ะ”
วีรยาถามไถ่ด้วยความเอ็นดูอย่างแท้จริง ไม่มีแม้เจตนาจะซอกแซกหาความจริงตามที่สงสัยเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ลูกบอลค่ะ ขวบกับห้าเดือนแล้ว” ปารลีตอบยิ้มแย้ม แววตาแลดูอบอุ่นอ่อนโยน จนคนถามต้องพลอยยิ้มตาม
“แล้ววันนี้มาคนเดียวหรือ”
“ค่ะ มารถแท็กซี่กัน”
“ดีเลยนะที่เจอ ท้องแรกนี่พี่กังวลสารพัด กลัวแพ้ กลัวโน่นกลัวนี่ พี่ขอเบอร์หนูจันทร์หน่อยสิ จะได้โทร.ไปคุย เบอร์เก่ายกเลิกแล้วใช่ไหม พี่เคยโทร.ไปแต่ติดต่อไม่ได้เลย”
“ช่วงนี้จันทร์ไม่มีเบอร์โทร.หรอกค่ะ”
คุณแม่ลูกหนึ่งตอบพร้อมตบขาลูกชายเบาๆ เมื่อเห็นทำท่าว่าจะตื่น อาจเพราะหล่อนมานั่งคุยกันบริเวณใกล้ทางออกของตึกโรงพยาบาล ไอแดดส่องเข้ามา ทำให้ร้อนอบอ้าว ลูกน้อยจึงรู้สึกไม่สบายตัว
“อ๋อ! เข้าใจแล้ว อยู่บ้านเลี้ยงลูกหรือเปล่า แล้วเบอร์อื่นล่ะ”
“ขอโทษด้วยค่ะพี่วี ไม่มีเหมือนกัน จันทร์ไม่ได้ติดต่อใคร อยู่แต่กับลูก”
คำตอบของปารลีเกือบทำให้คนฟังสงสารถ้าไม่เห็นแววตาแห่งความสุขที่เปล่งชัดออกมา คุยไม่นานเจ้าหล่อนก็รับโทรศัพท์จากสามีที่ตามหาตัวกันไม่เจอ
“หนูจันทร์พักที่ไหนจ๊ะ ถ้าพี่ว่างจะได้แวะไปหา”
วีรยากลั้นใจถาม ด้วยอยากรู้ความเป็นไปของคนตรงหน้าที่ขาดการติดต่อกันนาน แม้แววตาประกายสุขยังฉายให้เห็นบ้างในบางครั้ง แต่ตัวตนที่หายไปก็คือความสดใส มีชีวิตชีวา ตลอดเวลาที่นั่งคุยกัน เธอคอยมองหาแต่ก็ไร้สิ้นไม่เหลือให้เห็นกัน จนวีรยาเป็นฝ่ายอึดอัด เมื่อเห็นปารลีก้มหน้าเม้มริมฝีปาก ดูลำบากใจที่จะตอบ คนถามเลยรีบตัดบทบอกลา ก่อนทั้งสองจะแยกกันเดินคนละทาง
หญิงสาวยกร่างกลมป้อมที่ยังคงหลับสนิทขึ้นอุ้ม สะพายกระเป๋าใบขนาดย่อมซึ่งมีเพียงข้าวของของเจ้าตัวเล็ก ก้าวเดินออกไปนิดเดียวก็เป็นจังหวะที่รถแท็กซี่วิ่งเข้ามา จึงไม่ต้องเสียเวลาเดินเลาะเลียบไปถึงถนนใหญ่ด้านหน้า
เมื่อรถแล่นออกไป ลูกบอลยังหลับสนิท คงสบายเพราะเครื่องปรับอากาศในรถเย็นฉ่ำ หล่อนดึงผ้าผืนย่อมมาคลุมขาเล็กป้อมที่โผล่พ้นกางเกง มองใบหน้าเล็กที่ยังมีรอยเปื้อนน้ำตา น้อยครั้งที่ลูกบอลจะร้องไห้ แต่จะว่าไปแม้ผู้ใหญ่ก็ยังกลัวเมื่อต้องเจอเข็มฉีดยา
หญิงสาวลูบผมเส้นเล็กชื้นเหงื่อให้ละออกจากวงหน้ากลม หล่อนภูมิใจเสมอยามใครถามหรือขอให้เล่าเรื่องราวของลูก เพราะลูกเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดในชีวิต เป็นความรักเดียวที่แสนอบอุ่นในยามนี้
ช่วงบ่ายวันจันทร์ ปารลีง่วนอยู่กับการบริการลูกค้าสองหนุ่มสาวที่มาเลือกซื้อเครื่องประดับ หากก็หยิบสินค้ามาวางให้ลูกค้าพินิจหลายชิ้นแต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที เพราะติดปัญหาว่าชิ้นที่อยากได้ราคาสูงกว่าที่ตั้งใจไว้ ส่วนที่ราคาพอซื้อไหวก็ดันไม่ถูกใจ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาของคนซื้อของปารลีคิดว่าตัวเองก็เป็นบ่อยเหมือนกัน
“รำคาญหรือเปล่าคะ เลือกนานแล้ว” ลูกค้าสาวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ จนปารลีต้องกลั้นยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ เลือกจนกว่าจะถูกใจเลยค่ะ”
พนักงานสาวสวยตอบอ่อนโยน ลูกค้าหนุ่มจึงหันมาขอบคุณ พร้อมบอกสาเหตุที่เลือกกันนานเพราะเป็นของชิ้นแรกที่อยากซื้อให้หญิงคนรักที่มาด้วยกัน ปารลีเลยเข้าใจและทำหน้าที่ของตนต่อ จนเมื่อเลือกได้แล้ว ลูกค้าทั้งสองก็ออกจากร้านโดยไม่ลืมกล่าวขอบคุณสำหรับการบริการที่แสนประทับใจ ปารลีคิดว่าการทำงานอย่างใส่ใจ เอาใจใส่ลูกค้าหรือคู่ค้าธุรกิจ จะสามารถมัดใจอีกฝ่ายได้ดี
“พี่จันทร์ ลูกค้าได้ของแล้วเหรอ” หนิงเดินมาถามเมื่อเห็นลูกค้าคู่ที่เดินเข้ามาในร้านตั้งแต่ตอนเที่ยงเพิ่งออกไป
“จ้ะ เขามาซื้อของขวัญให้กัน” ปารลีเอ่ยยิ้มๆ แต่ทำให้คนมองถึงกับตาค้าง
พี่จันทร์ยิ้มทีไร หัวใจละลายทุกที
“เป็นอะไรหนิง” ปารลีถามกลั้วหัวเราะกับท่าทีเปิ่นของพนักงานสาวน้อย
“ถ้าพี่จันทร์ยิ้มบ่อยกว่านี้นะ ยอดขายร้านเราพุ่งแน่นอน”
หนิงกระเซ้าทันทีที่รู้สึกตัว เมย์หัวเราะอย่างเห็นตาม เพราะเมื่อปารลียิ้มแล้วดูน่ารัก สดใสกว่าทำหน้าเรียบเฉย ปกติก็ยอมรับว่าสวยอยู่แล้ว แต่รอยยิ้มทำให้พี่สาวคนสวยกลายเป็นคนละคน ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา
“พี่จะพยายามยิ้มทั้งวันนะ เพื่อเพิ่มยอดขายของร้านเรา” ปารลีหัวเราะแล้วตอบรับไป
“พี่จันทร์ วันนี้พี่แจนไม่เข้าแล้วเหรอ” เมย์เปลี่ยนเรื่องถามเมื่อนึกได้ว่าผู้จัดการร้านสาวใหญ่เจ้าระเบียบที่พวกเธอเกรงใจนั้นหายไปตั้งแต่เที่ยง
“พี่แจนไปช่วยคุณศุภวัฒน์เอาสินค้าไปให้ลูกค้าเลือกจ้ะ เห็นว่าเป็นงานหมั้นของลูกค้ารายใหญ่ แล้วเลือกใช้เครื่องประดับของฟาดาจิวเวลรี่” หล่อนบอกไปตามที่รู้
ศุภวัฒน์เป็นเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ฟาดา จิวเวลรี่ โดยมีตลาดรองรับที่ยุโรปเป็นหลัก สินค้าของแบรนด์นี้ได้ชื่อว่ามีการออกแบบที่โดดเด่น เป็นศิลปะเฉพาะตัวซึ่งมีทั้งความประณีตและละเอียดอ่อน โดยขณะนี้กำลังตีตลาดระดับกลาง ได้เปิดเป็นโชว์รูมประชาสัมพันธ์สินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ราคาเครื่องประดับแต่ละชิ้นมีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงเลขเจ็ดหลัก
“ถ้าคุณศุภวัฒน์ไปเอง แสดงว่าเป็นลูกค้าใหญ่พอตัว” เมย์แสดงความเห็น
“ลูกสาวคุณหญิงรวิวรรณหรือเปล่าคะพี่จันทร์ ที่ชื่อคุณนิตย์ระวี หนูเห็นพี่แจนพูดตั้งแต่เมื่อวาน มีข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วย เดี๋ยวเอามาให้ดู”
หนิงพูดจบก็วิ่งไปทางหลังร้านโดยที่ปารลีเรียกไม่ทัน เพราะเห็นว่ายังมีลูกค้าอยู่ในร้านอีกสองคน โดยพนักงานที่เข้ามาทำช่วงบ่ายคอยดูแลอยู่
สักพักหนิงก็พยักหน้าเรียกให้มาดูที่เคาน์เตอร์ด้านใน เมย์จึงรีบจูงมือเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ตามไปด้วยกัน
“นี่ไงคะพี่ ผู้ชายหล่อน่ากินจัง ผู้หญิงก็สวยสมกันดี ไฮโซทั้งคู่ ที่สำคัญคงรวยพอกัน อิจฉานะ” หนิงว่าพลางชี้ให้ดู ปารลีอ่านคอลัมน์ข่าวสังคม ในกรอบเล็กๆ ที่มีรูปภาพบุคคลในข่าวประกอบ
“ได้ฤกษ์หมั้นกันเสียทีระหว่างคู่รักไฮโซที่ควงกันมาให้ตาร้อนหลายปี ระหว่างนิตย์ระวี มิ่งมงคล บุตรสาวพลเอกอรรถและคุณหญิงรวิวรรณ กับพัทธนนท์ อัครรัตน์ บุตรชายคนโตของอดีตรัฐมนตรีประชัยและคุณพิมพ์อร งานนี้คงยอมทุ่มสุดตัวเพื่อต้อนรับว่าที่สะใภ้ใหญ่” เมย์อ่านเสียงดังแค่พอได้ยินกัน
สองสาววิเคราะห์ข่าวกันอย่างสนุกสนานแกมอิจฉา โดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่มาด้วยกันกำลังใช้สองมือเกาะขอบโต๊ะพยุงกาย เมื่อรู้สึกเหมือนเข่าสองข้างจะรับน้ำหนักไม่ไหว ใบหน้าสวยซีดเผือด หัวใจเต้นแรง มือเย็นสั่นระริก และก่อนที่รุ่นน้องทั้งสองจะสังเกตเห็นอาการผิดปกติ หล่อนก็รีบผละออกไปทันที
ประตูรั้วสีขาวถูกเลื่อนออก เมื่อรถยนต์คันหรูสีดำแล่นมาจอดหน้าบ้านกึ่งตึกหลังใหญ่สีขาวซึ่งตั้งตระหง่านในย่านใจกลางเมือง แวดล้อมด้วยสีเขียวของไม้เล็กที่ปลูกประดับและต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้เพื่อสร้างความร่มรื่น
หญิงวัยกลางคนวางมือจากหนังสือที่เป็นกระดาษมันสีสวยบนโต๊ะกลางในห้องนั่งเล่น แล้วลุกเดินออกมาบริเวณหน้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงรถของลูกชายเข้ามาเทียบจอด เธอยืนมองร่างสูงสง่าภูมิฐานในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงสแล็กสีดำซึ่งเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้ตน ก่อนเดินเข้ามาหา
“คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงออกมายืนรอผม” พัทธนนท์โอบเอวมารดาพาเดินเข้าบ้าน
ตั้งแต่พัชริดาผู้เป็นน้องสาวแต่งงานและย้ายออกไป ที่นี่ก็เริ่มเงียบเหงา บางครั้งสงสารมารดาที่ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว เพราะระยะหลังคุณประชัยผู้เป็นบิดามักจะใช้เวลาอยู่กับทางครอบครัวของน้องสาวที่มีธุรกิจจำพวกรีสอร์ตและที่พัก จึงง่ายที่ท่านจะแวะเวียนไปหาและถือเป็นการพักผ่อนในตัว ก่อนนี้ยังเห็นน้าสาวมาชักชวนมารดาไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ แต่พักหลังมารดาบ่นว่าเบื่อกับการเดินทางหรือแม้แต่จะออกไปนอกบ้าน จึงอยากอยู่บ้านเสียมากกว่า
“เมื่อวานแม่ไปช่วยคุณอาเลือกแหวนหมั้นให้หนูนิตย์ที่บ้านโน้น พัทธ์รู้หรือยัง” เอ่ยพลางทรุดนั่งที่โซฟาในห้องพักผ่อน มองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูติดจะเงียบขรึม
“นิตย์บอกแล้วครับ” เขากล่าวรับสั้นๆ
“แหวนสวยดี เพชรของฟาดาจิวเวลรีก็น้ำงาม แต่ยังไงสู้เนื้อเพชรของเก่าของเราไม่ได้ แต่แม่ไม่อยากขัดใจ เมื่อวานเลือกแบบได้แล้ว ร้านเขาบอกว่าจะเร่งทำให้”
คุณพิมพ์อรถอนหายใจ เป็นเรื่องเดียวที่เธอไม่สบอารมณ์ เมื่อแหวนที่คุณประชัยใช้หมั้นหมายตน ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเพื่อให้พัทธนนท์สวมให้กับสะใภ้ กำลังจะถูกนำไปปรับเปลี่ยนตัวเรือนโดยว่าที่ลูกสะใภ้ โดยมีเสียงสนับสนุนก็คือคุณหญิงรวิวรรณผู้เป็นมารดาของนิตย์ระวีที่ตอนแรกแสดงอาการชอบและพอใจเพชรเนื้อดีน้ำงามเป็นประกาย
เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน สุดท้ายว่าที่แม่สามีจึงต้องให้ว่าที่ลูกสะใภ้เลือกใช้ของใหม่ตามต้องการ ส่วนแหวนวงนี้นิตย์ระวีสัญญาจะเก็บรักษาไว้ให้ต่อไป
พัทธนนท์นั่งฟังมารดาพูดเรื่องแหวนหมั้นสักพักก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อน แต่ก่อนจะพ้นออกจากห้องก็ได้ยินเสียงมารดาดังมาจากทางด้านหลัง
“หยุดทำงานซะบ้างสิพัทธ์ จะหมั้นกันแล้วยังไม่มีเวลาว่างให้หนูนิตย์เลย คุณอาหญิงก็ถามถึง”
คำพูดของมารดาหยุดการก้าวเดินของชายหนุ่ม จนเมื่อฟังจบก็สาวเท้าเดินขึ้นห้องโดยไม่ปริปากสักคำ
