โซ่สวาททาสดวงใจ

175.0K · จบแล้ว
นลพรรณ
69
บท
4.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

‘พ่อของนายเป็นใคร รู้ไหมเขาแย่งแม่ของนายไปจากฉัน’ ---------- เขา...ผู้หญิงที่พัวพันกับเกมทุจริต เขายอมให้เธอพ้นผิดเพราะอะไรย่อมรู้แก่ใจ เธอ...สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีประโยชน์ใดที่จะรื้อฟื้น แค่มีคนที่เป็นที่สุดของหัวใจ ในวันนี้และวันต่อไป ---------- ‘พ่อของนายเป็นใคร รู้ไหมเขาแย่งแม่ของนายไปจากฉัน’ พัทธนนท์พูดกับรูปถ่ายของคนตัวเล็กป้อมที่ส่งยิ้มหน้าเป็นมาให้ ดูๆ ไป นายก็น่ารักเหมือนกัน ‘ฉันจะตามดูพวกนายจนมั่นใจว่าพ่อของนายจะดูแลผู้หญิงของฉันได้ ถึงตอนนั้นฉันจะยอมปล่อยพวกนายไป’ เสียงทุ้มนุ่มสั่งผ่านรูปถ่ายของคนตัวเล็ก มันถูกกลั่นออกมาจากความเจ็บร้าว เขาพร้อมแล้วที่จะยอมรับแล้วกลับไปเดินในเส้นทางของตัวเอง -------------------- เพื่อกวาดล้างคนทุจริต ให้ธุรกิจก้าวต่อไป พัทธนนท์ จึงต้องแข็งแกร่งและไร้มนุษยธรรมเพื่อเป็นผู้ชนะในเดิมพันนี้ ปารลี คือหมากแสนสวยที่พลัดหลงเข้ามาในเกมต่ำช้า ที่สุดเขาคือผู้ชนะ ในขณะที่เธอคือผู้บอบช้ำซมซาน หลังพายุร้ายผ่านไป พัทธนนท์กลับเหลือแต่ความทรงจำอันลืมไม่ลง ขณะที่ปารลีต้องจมลึกอยู่กับความเลวร้าย เธอหลอกตัวเองว่าเขาคือความฝันไม่ได้ เมื่อชีวิตน้อยก่อกำเนิดขึ้นมา ปารลีเฝ้าฟูมฟักเจ้าดวงใจของเธอ แล้วจู่ๆ ปีศาจร้ายในคราบเทพบุตรก็จะมาช่วงชิง เมื่อโซ่หัวใจกำลังถูกยื้อแย่ง แม่สมันจึงกลายร่างเป็นนางสิงห์ แล้วคนที่ไม่ยอมสะกดคำว่าแพ้อย่างพัทธนนท์จะยอมถอยฉากไปง่ายๆ หรือ...ไม่มีวัน ------------------------------- ‘ผมมีความสุขที่แม่ของลูกยอมแต่งงานด้วย’ คำตอบนั้นทำให้แม่ของลูกชายวัยขวบเศษถึงกับอายหน้าแดงก่ำ ‘ผมรักคุณจัง’ ‘คะ’ ปารลีเงยหน้ามองอย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน ‘ผมรักคุณ ตอนนี้ผมรู้สึกว่ารักคุณจัง’ เขาย้ำพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ปารลีรีบเดินหลบด้วยความเขินอาย หญิงสาวย่างเท้าเข้าไปในห้องของลูกบอล ร่างสูงของพัทธนนท์ก็ก้าวตามติดๆ ‘ลูกบอลครับ เข้าไปในห้องด้านในกัน พ่อมีบางอย่างจะให้ดู’ ใบหน้าเล็กกลมเงยขึ้นมอง แล้วลุกขึ้นอย่างว่าง่าย โดยในมือยังถือของเล่นพลาสติกไว้แน่น นิยายชุด สามพี่น้องอัครรัตน์ ประกอบด้วย 1. เล่ห์ร้ายซาตาน 2. รักร้ายพ่ายกลรัก 3.โซ่สวาททาสดวงใจ

นิยายรักโรแมนติกนิยายปัจจุบันประธานแต่งงานสายฟ้าแลบนางเอกเก่งหนีแต่งงานพระเอกเก่งพาลูกกหนีฟินๆเลือดร้อน

บทนำ

ฝนเริ่มตกโปรยปราย ปารลีรีบเดินลัดเลาะไปตามชายคาตึกหมายจะไปรับลูกบอลซึ่งฝากเลี้ยงที่บ้านของป้าบัวโดยไว ด้วยไม่อยากให้ป้าบัวต้องรอนาน ก่อนหน้านี้หล่อนตระเวนหาที่รับเลี้ยงเด็กอยู่หลายวัน สุดท้ายมาลงตัวที่นี่ เพราะหญิงชรารักและเอ็นดูลูกชายวัยขวบครึ่งของหล่อนเป็นอย่างดี อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากห้องเช่าของหล่อนนัก แถมยังเป็นทางผ่านเดินกลับบ้านหลังเลิกงานที่ร้านทุกวัน

“เข้ามาก่อนสิหนูจันทร์ ฝนทำท่าจะตกหนัก เจ้าลูกบอลเพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้นี้เอง เป็นชั่วโมงกว่าจะตื่น”

ป้าบัวเงยหน้าขึ้นจากกองผ้าที่นำมานั่งปะชุนด้วยมือแล้วเอ่ยเชื้อเชิญทว่าเพียงหญิงสาวย่างเท้าก้าวเข้ามาในบ้านเช่าเล็กแคบ ฝนก็เริ่มตกหนาตามากขึ้น

“แย่จังเลยป้า วันนี้ลืมติดร่มมาด้วยสิ”

บ่นพลางวางกระเป๋าถือลงข้างประตูด้านใน แล้วคุกเข่าลงใกล้ร่างกลมป้อมที่นอนหลับคุดคู้บนฟูกนิ่มที่วางบนพื้นบ้าน หล่อนวางมือบนศีรษะเล็ก ลูบเส้นผมบางที่ปลิวสยายไปตามแรงจากพัดลมที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในห้องเล็ก

“หน้าฝนก็เป็นอย่างนี้ละ แล้วทำไมวันนี้ถึงกลับเร็ว เพิ่งจะบ่ายสองเอง ลุงเขาเพิ่งโทร.มาบอกว่าจะไปส่งผู้โดยสารอีกที่ กว่าจะมาถึงก็คงร่วมชั่วโมง” หญิงชราพูดถึงสามีที่มีอาชีพขับรถแท็กซี่ โดยวันนี้ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมหลานที่เพิ่งคลอดแถวฝั่งธน

“เมื่อวันเสาร์จันทร์ไปเข้ากะแทนน้องที่ร้าน วันนี้เขาเลยมาทำชดเชยให้ค่ะ”

ร้านที่ปารลีพูดถึงเป็นร้านขายเครื่องประดับอยู่ในห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากที่นี่นัก หล่อนทำเป็นอาชีพหลัก นอกจากนั้นยังรับงานเสริมด้วยการทำบัญชีให้กับสำนักงานเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าปากซอย

ปารลีรู้สึกว่าชีวิตกำลังลงตัวกับการอาศัยอยู่แถวนี้ ก่อนหน้าเธอเคยอาศัยอยู่ในหอพัก เป็นแหล่งรวมของคนทำงานและนักศึกษา เมื่อมีเด็กทารกมาอยู่ด้วยก็หลีกเลี่ยงเสียงร้องโยเยไม่ได้ จึงกลายเป็นการรบกวนห้องข้างเคียง จนเจ้าของหอพักผู้ใจดีที่เคยผ่อนผันค่าเช่าให้ต้องคอยเตือนอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อไม่มีทางเลี่ยง ปารลีจึงตัดสินใจนำเช็คเงินสดสองแสนบาทที่ได้จากคนใจร้ายมาใช้ จากเดิมที่ตั้งใจจะนำไปคืนเจ้าของเมื่อหล่อนพร้อมและเข้มแข็งกว่านี้ แต่พอรู้ว่าตัวเองสู้ต่อไม่ไหว จึงยอมละทุกอย่างที่เคยคิดว่าควรทำ หวังเพียงให้ลูกน้อยมีความสมบูรณ์ที่สุด โดยนำเงินบางส่วนมาจ่ายคืนค่าเช่าตกค้างทั้งหมด แล้วย้ายออกเมื่อหาที่อยู่ใหม่ได้

ในวันที่เข้ามาที่นี่ แม้ข้างนอกจะดูเหมือนชุมชนแออัด แต่ข้างในนั้น บรรยากาศกลับไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ที่นี่ไม่ใช่ชุมชนใหญ่ คนจึงไม่เยอะ ถามจากป้าบัวหญิงชราร่างท้วมคนแรกที่เจอ จึงรู้ว่าเท่าที่อยู่มานานกว่าสิบปีก็ไม่เคยเจอพวกวัยรุ่นมั่วยา หรือโจรขโมย ที่นี่จะอยู่กันแบบครอบครัว มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน มันอาจเป็นผลดีกับใครหลายๆ คน แต่คงไม่ใช่กับหล่อนแน่ เพราะตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาก็มีคนพยายามถามถึงที่มาที่ไปของลูกชายวัยน่ารักของเธอ

ปารลีเข้าใจว่าทุกคนมีสิทธิ์คิดและสงสัย เมื่อเห็นหญิงสาวหอบทารกน้อยวัยสองเดือนเข้ามาอยู่กันตามลำพังโดยไร้เงาของสามี แต่เธอยังไม่พร้อมจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น และอาจเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ทำให้เธอสนิทใจกับป้าบัวมากกว่าใคร เพราะหญิงชราไม่เคยซักไซ้ถึงลูกบอลให้ต้องอึดอัดใจเลย

ปารลีนั่งมองข้างนอก สายฝนเริ่มบางลงและคงหยุดตกในไม่ช้า หน้าบ้านมีน้ำขังเป็นแอ่งเล็กๆ อากาศเย็นลงหลังจากที่ร้อนอบอ้าวมาหลายวัน เหม่อมองข้างนอกเพียงครู่ก็หันไปทางเบาะเด็กเมื่อหางตาเห็นลูกน้อยขยับตัว มือป้อมกำแน่น พอเห็นหล่อนก็ยิ้มจนเห็นฟันหน้าซี่เล็กๆ

“แม่ แม่”

สิ้นเสียงเรียกนั้นปารลีก็อ้าแขนรับลูกชายคนเก่งที่ลุกขึ้นเดินเตาะแตะมาหาลูกบอลเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ช่วงตื่นนอนใหม่ๆ ก็ไม่โยเย จะร้องไห้เพียงแค่ไม่เห็นใคร แต่จะยิ้มดีใจถ้ามีเธออยู่ใกล้ๆ

“จะกลับแล้วหรือ”

“จ้ะป้า กลัวฝนจะตกหนักอีกรอบ”

คุณแม่ลูกหนึ่งเอ่ยเท่านั้น หญิงชราก็ลุกไปหยิบร่มคันโตตรงหลังตู้มาวางใกล้ๆ

“เอาร่มไปใช้ พรุ่งนี้ค่อยเอามาคืน ข้างนอกยังมีละอองฝน เดี๋ยวเจ้าลูกบอลจะเป็นหวัดเอา”

ป้าบัวบอกอย่างมีเมตตา ก่อนดึงร่างเล็กป้อมเข้าไปกอดและหอม ขณะที่เด็กชายซึ่งเป็นขวัญใจของป้าบัวก็ลาด้วยการยกสองมือป้อมประกบกันตามที่ปารลีสอนให้ทำ แล้วหอมแก้มคืนหญิงชราเหมือนทุกครั้ง เสร็จจากการร่ำลา หญิงสาวก็อุ้มร่างป้อมขึ้นพาดบ่า แม้ตัวลูกบอลจะเริ่มหนักจนแทบยกไม่ไหว แต่เธอไม่อาจจูงมือพาเดินกลับบ้านเหมือนเช่นบางวัน เพราะถ้าทำเช่นนั้น แทนที่จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน อาจต้องมานั่งเล่นน้ำฝนตามแอ่งข้างทางแทน

ฝนที่เทกระหน่ำในช่วงบ่ายค่อยๆ ซาลงแล้วหยุดตกในช่วงเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการทำอาหารมื้อเย็นให้ลูกน้อย ขณะกำลังเคี่ยวข้าวต้มกับแครอต ก็อดคิดไม่ได้ว่าโชคดีที่ลูกบอลไม่มีปัญหาเรื่องกินยากเหมือนเด็กเล็กบางคน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของพ่อแม่เลยทีเดียว เพราะสิ่งที่ตามมาคือเด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน อาจส่งผลถึงพัฒนาการ หรือขนาดร่างกายที่ไม่ได้เกณฑ์

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองลูกน้อยซึ่งกำลังใช้มือดันรถพลาสติกสีเขียวให้ไถไปตามพื้นห้อง แล้วหัวเราะเบาๆ ใครว่าลูกบอลไม่มีปัญหาการกิน จริงๆ แล้วลูกบอลน่ะมี แต่เป็นเรื่องการกินเยอะเกินไป ถ้าไม่อิ่มก็ไม่ยอมหยุด เรื่องขัดใจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะฝ่ายนั้นจะกลายร่างจากเด็กกินง่ายนอนง่าย ไม่งอแง มาแผลงฤทธิ์ กว่าจะยอมสงบก็ทำเอาหล่อนต้องเหนื่อยหอบเลยทีเดียว

เมื่อเคี่ยวจนได้ที่ ปารลีก็เอาไปป้อนให้กับเจ้าตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับของเล่นชิ้นโปรด พร้อมหันมาหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อผลักไปแล้วรถไถลต่อได้เอง เคี้ยวหมดคำก็วิ่งเตาะแตะมารับคำใหม่

หล่อนพูดไปเรื่อยๆ อย่างชวนคุย มีหลายคนบอกว่าลูกบอลพูดได้น้อย หรือพูดได้ช้ากว่าเด็กหลายคน แต่พัฒนาการด้านร่างกาย การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างดี หล่อนเองสังเกตเห็นว่าลูกจะยอมพูดออกมาเป็นคำๆ เมื่อเกิดความสงสัย ซึ่งป้าบัวบอกว่าไม่ต้องกังวล เป็นธรรมดาของเด็กผู้ชายที่เรียกว่าปากหนัก ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงคงพูดได้จ๋อยๆ ทั้งวัน เด็กผู้ชายอาจเล่นซนอย่างเดียว

พอกลางคืนฝนกลับมาตกหนักอีกครั้ง มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ อย่างน่ากลัว หล่อนต้องคอยกอดปลอบเมื่อร่างเล็กป้อมสะดุ้งเป็นพักๆ แม้ไม่มีเสียงร้อง แต่ความกลัวนั้นแสดงอย่างเด่นชัดทางสีหน้าและแววตาที่มองมายังหล่อน

ปารลีลูบหลังปลอบประโลมเมื่อลูกบอลมีอาการสั่น ยื่นหน้าไปจุ๊บปลายจมูกเล็กที่มีเค้าว่าโตขึ้นคงโด่งเป็นสันตรง ก่อนจะมองดวงตาดำสนิทที่ป้าบัวบอกว่าดุตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก สองอย่างบนวงหน้าเล็กกลมสะท้อนไปถึงใครคนหนึ่งที่เห็นจากที่ไกลๆ มาเกือบปี จนมีเหตุการณ์ทำให้ต้องเข้าไปปรากฏตัวตนในชีวิตเขา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สร้างความเจ็บปวดยาวนานในเวลาต่อมา

ลูกบอลดื้อ เอาแต่ใจตามอารมณ์เด็ก แต่บางอย่างที่แสดงออกมาสะท้อนภาพของคนตัวโตยามที่เคยเกรี้ยวกราดกับหล่อน ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็น มองเจ้าตัวเล็กแล้วน้อยใจว่าจะถอดแบบมาตอกย้ำให้หล่อนได้เป็นทุกข์จากความทรงจำเลวร้ายครั้งนั้นไปอีกนานสักแค่ไหน