๓ ใจไม่เคยลืม (๒)
ดมิสาเก็บจานไปล้างส่วนเจ้าของบ้านก็เดินขึ้นข้างบนไม่รอ เธอจึงปอกผลไม้ที่เห็นในตู้เย็นกินเพียงลำพัง มองไปรอบบ้านก็ถอนหายใจ เห็นชายหุ่นใหญ่ร่างสูงใส่สูทสีดำเต็มไปหมด เหมือนในละครที่เคยดูไม่มีผิด
กรงขังของเขาสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว และหล่อนอึดอัดเหลือเกินที่จะอยู่ในนี้ ผ่านไปแค่วันเดียวแต่เหมือนอยู่มาแล้วเป็นปี ทำไมมันถึงได้นานขนาดนี้
เมื่อทำธุระเสร็จเหลือบมองนาฬิกาก็ห้าทุ่มครึ่ง ไม่อยากขึ้นไปข้างบน เกลียดใบหน้าคมที่เอาแต่จ้องกันและพ่นวาจาร้ายกาจเสมอ ตัดสินใจเดินไปยังห้องรับแขกแล้วล้มตัวลงนอนที่โซฟายาว ทว่ายังไม่ทันจะหลับก็ถูกคว้าแขนให้ลุกขึ้น
“มานอนอะไรตรงนี้ ชอบให้ผู้ชายมองนักหรือไง” ถอนหายใจพลางบิดข้อมือตนเองหวังพ้นจากการจับกุม
“ฉันไม่ได้ชอบให้ผู้ชายมอง แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณเลยจะนอนตรงนี้” ตอบตามความจริงซึ่งทำให้ภูวิศกัดฟันกรอด เขาอุตส่าห์รออยู่ตั้งนานจนทนไม่ไหวต้องลงมาดูเอง และเห็นว่าร่างบางเลือกนอนโซฟาเป็นเป้าสายตาให้พวกที่ติดตาม
แค่เห็นก็หัวร้อนขึ้นมาทันที
“ขึ้นไปบนบ้าน” ลากคนตัวเล็กให้ขึ้นบันไดทันทีไม่ฟังเสียงโวยวาย
“คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับฉันแบบนี้นะ ไอ้คนบ้าอำนาจ!” ระหว่างทางก็ด่าชายหนุ่มไม่หยุดกระทั่งประตูปิดลงและเขาก็ผลักหล่อนเข้ากำแพงพร้อมลงโทษด้วยจุมพิตแสนร้อนแรง มือเล็กพยายามผลักเขาออกทั้งตีอย่างแรงแต่กลับไม่กระเทือนสักนิด
หล่อนเปลี่ยนมาหยิกที่หน้าท้องเขาจนภูวิศต้องจับมือทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้ประทุษร้ายตนเอง และเมื่อตักตวงความหวานจากริมฝีปากจิ้มลิ้มจนพอใจแล้วค่อยผละออก มองดวงตากลมโตที่จ้องอย่างเอาเรื่อง
ค่อยปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ และเป็นการกระทำที่คิดผิดมากเมื่อหล่อนตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าคมเต็มแรงจนมันหันไปอีกทาง
“ทุเรศ คิดจะใช้แต่กำลังบังคับผู้หญิง คุณมันหน้าตัวเมียไม่ต่างอะไรจากโจรข่มขืนหรอก” ว่าจบก็เดินเข้าห้องน้ำทันทีไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำการหักหาญน้ำใจตนเองอีก และไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน
“โธ่เว้ย” ลับหลังร่างบางมือหนาก็ชกเข้าที่กำแพงจนแดงเถือก เจ็บใจตนเองที่ไม่สามารถร้ายได้เต็มร้อย ยังรู้สึกผิดเมื่อเห็นน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่นั้น
เขาแพ้น้ำตาของเธอ...
เช้าวันต่อมาดมิสาตื่นก่อนทว่าไม่อาจออกไปไหนนอกเหนือจากบ้านหลังนี้ได้ มีคนเดินตามไม่ให้คลาดสายตาเพื่อที่หล่อนจะไม่สามารถหนี ถอนหายใจหลายรอบแล้วเหลือบมองหนุ่มร่างใหญ่ในชุดสีดำ ครุ่นคิดเรื่องงานของตนเองว่าจะทำเช่นไรดี
หล่อนไม่ได้ลาเสียด้วย เพิ่งเข้าทำงานจะโดนเขม่นหรือเปล่า มองไปทางโกดังที่พี่ชายอยู่ในนั้นแล้วมีคนเฝ้าหน้าประตูจึงตัดสินใจไม่เดินเข้าใกล้ ถึงจะอยากถามเรื่องที่ภูวิศบอกมากแค่ไหนก็จำต้องตัดใจ หมุนตัวจะกลับเข้าบ้านทว่าชนแผงอกหนาเสียก่อน
“โอ๊ย มาไม่ให้สุ่มให้เสียงอย่างกับผี” อุทานเสียงแผ่วค่อยก้าวถอยหลังขณะเอ่ยประชดไปด้วย มุมปากได้รูปยกยิ้มไม่ได้สะเทือนกับคำกล่าวนั้นสักนิด
“ฉันหิวข้าว” ใบหน้าหวานเงยขึ้นเพื่อสบตาเขา
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ใช่แม่ครัว” พูดจบก็เดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็โดนคว้าแขนเอาไว้ก่อนแล้วดึงมาใกล้ หล่อนถอนหายใจอีกครั้ง มาอยู่ที่นี่โดนดึงโดนลากหลายรอบจนคร้านจะนับ
“แต่ฉันจะให้เธอเป็น และเธอก็ต้องทำข้าวเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็นให้ฉันกินทุกวัน” เลื่อนใบหน้าเข้ามาชิดจนเธอต้องเอนกายหนี ทั้งเขินดวงตาคมและอายที่ตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น ค่อยดันแผงอกหนาให้ห่างกายแล้วปลดมือเขาออก
“รู้แล้ว” ก้าวนำไปก่อนทว่ามือหนาก็คว้ามือเล็กไว้ก่อนจะสอดประสานนิ้ว เธอเงยขึ้นมองหน้าเขาอย่างตกใจ
“ไปด้วยกันสิ” แก้มนวลขึ้นสีแดงก่อนหันหน้าหนีหวังจะเดินเข้าบ้าน ทว่าเสียงวิ่งที่พุ่งตรงเข้ามาทำให้ความสนใจถูกหันเหไป
ภูวิศเห็นว่าคนข้างกายมองอีกทางจึงค่อยผินใบหน้าไปบ้าง เห็นตำรวจหนุ่มซึ่งควรจะถูกขังในโกดังวิ่งมาด้วยความเร็ว ทั้งในมือถือมีดเอาไว้อย่างมั่นคง ดวงตาแข็งกร้าวจ้องไปที่ศัตรูคู่อาฆาต และไม่ทันที่จะระวังตัวมีดนั้นก็ตรงเข้ายังเอวหนา
ทว่าเจ้าของกายหมุนกายหลบเสียก่อนมันจึงเฉี่ยวเท่านั้น แต่ก็เป็นแผลลึกจนเลือดไหลออกเปื้อนเสื้อสร้างความตกใจแก่คนติดตามที่ปล่อยนักโทษหลุดออกมาได้
คนชุดดำพุ่งเข้ามาจับเดชธรรมเอาไว้อย่างคาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายปลดเชือกที่รัดร่างกายได้อย่างไร ทั้งออกจากโกดังโดยไม่มีใครรู้ทั้งที่ด้านหน้าประตูถูกเฝ้าเอาไว้ตลอดเวลา
“ตายเถอะมึง ฮ่าๆๆ กูจะฆ่ามึงให้ตายไอ้เหี้ย” ถึงจะโดนจับแต่เดชธรรมก็ยังหัวเราะราวสะใจนักหนาที่เห็นอีกฝ่ายเจ็บตัว กว่าจะออกมาได้ไม่ง่ายสักนิด เขานั่งถูเชือกกับเหลี่ยมเก้าอี้ทั้งคืนจนมันขาด หลังจากนั้นจึงออกทางหน้าต่างด้วยความเงียบเชียบ
จัดการคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูแล้วแย่งมีดมาจากมันได้ เสียดายที่ไม่มีปืนถ้าอย่างนั้นป่านนี้ภูวิศคงได้ไปยมโลกแล้ว แต่เห็นมันยังยืนได้โดยมีน้องสาวเขาช่วยประคองก็สร้างความแค้นใจมากกว่าเดิม
“มิมาหาพี่ อย่าไปอยู่ใกล้มัน” เรียกคนที่ตนเองแอบชอบมาเนิ่นนานให้ออกห่างจากศัตรู ทว่าดมิสาไม่สนใจสักนิด หล่อนกำลังกังวลว่าเขาจะเจ็บมากหรือเปล่า
“ไปโรงพยาบาลเถอะ คุณต้องทำแผล” ประคองชายหนุ่มให้เดินเข้าบ้าน มือหนาก็กดแผลเอาไว้ไม่ให้เลือดไหลออก ที่จริงเขาไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่อยากกลับไปซัดเดชธรรมให้หมอบเสียด้วยซ้ำ ทว่ายามเห็นคนตัวเล็กแสดงความเป็นห่วงจึงยอมตามเข้ามาภายในบ้าน
ดวงตากลมโตฉายความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดจนแอบอมยิ้ม ต้องขอบคุณคนทำด้วยซ้ำที่ทำให้เห็นว่าเธอยังห่วงใยเขา
“เธอเป็นห่วงฉันเหรอ” นั่งลงที่โซฟาพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม แต่หล่อนไม่ได้สังเกตกลับเงียบไปพลางเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันไม่อยากให้คุณตาย เดี๋ยวพี่ฉันจะกลายเป็นฆาตกร” ภูวิศเค้นหัวเราะพลางพยักหน้า
“ถึงฉันไม่ตายพี่เธอก็เป็นฆาตกรอยู่แล้ว มันเลวจนนรกยังไม่อยากรับเลยล่ะ” ดมิสาไม่โต้ตอบอะไรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในขณะที่เลือดก็ไหลออกจากกายหนา
ผู้ติดตามเดินเข้ามาพร้อมนายแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งหล่อนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาเมื่อไหร่ การทำงานของลูกน้องเป็นไปอย่างรวดเร็วทันสถานการณ์โดยที่เจ้านายแทบไม่ต้องสั่ง เลี่ยงมายืนอยู่ข้างๆ มองดูเขาถูกทำแผลด้วยการเย็บสด แต่ยังดีที่ฉีดยาชาไม่ให้ภูวิศเจ็บ
หันหน้าหนีภาพตรงหน้า ที่จริงจะเดินออกจากห้องก็ได้แต่ความเป็นห่วงทำให้ยืนอยู่ที่เดิม เม้มปากแน่นทั้งยังปิดตาสนิท ภาวนาให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเร็วๆ กระทั่งได้ยินเสียงหมอเอ่ยขึ้นถึงได้ถอนหายใจราวเวลาที่เจ็บปวดสิ้นสุดลง
“เสร็จแล้วครับ สัปดาห์หน้าผมจะมาตัดไหมให้ ส่วนยากินตามที่เขียนหน้าซองเลย ช่วงนี้อย่าให้แผลโดนน้ำแล้วก็หมั่นทำความสะอาดแผลด้วยนะครับ” คุณหมอซึ่งดูหนุ่มทั้งยังหล่อเหลาอีกต่างหากจนภูวิศอยากให้อีกฝ่ายรีบกลับไปโดยเร็ว
เขาพยักหน้ารับรู้แบบส่งๆ ก่อนดึงเสื้อปิดลง เห็นหญิงสาวมองตาแป๋วก็แอบอมยิ้ม ดีใจที่เธอเป็นห่วงถึงจะปากแข็งไม่ยอมรับความจริงก็เถอะ
หล่อนเดินแกมวิ่งตามคุณหมอไปจนร่างสูงซึ่งกำลังจะเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กถึงกับชะงัก กัดฟันกรอดแล้วตามไปหวังขัดขวาง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเอ่ยถึงกับหยุดอยู่ที่เดิม
“คุณสามารถเช็ดตัวให้คนเจ็บได้ครับจะได้ไม่โดนแผล ถ้าแผลแห้งค่อยให้เขาอาบน้ำ” ใบหน้าคมซึ่งเคยเรียบนิ่งเผยรอยยิ้มออกมาช้าๆ ยืนอยู่ที่เดิมมองใบหน้าหวานส่งยิ้มให้คุณหมอก็เริ่มร้อนรนในหัวใจ ก้าวเข้าไปคว้ามือเล็กเอาไว้
“ขอบคุณมากนะครับหมอ” โบกมือลาแพทย์หนุ่มแล้วเลื่อนมาโอบไหล่เล็กให้ชิดตนเอง ดมิสาพยายามเบี่ยงตัวออกจนไปโดนแผลเขาเข้าให้
“โอ๊ย” ร้องเสียงหลงพลางทำหน้าเจ็บปวดจนหล่อนเข้าไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“คุณ! เจ็บมากไหม ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แผลปริหรือเปล่า” รีบก้มดูแผลของเขาทันทีแต่ชายหนุ่มก็คว้าร่างบางมากอดเอาไว้จนจมอกเสียก่อน รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายโกหกแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกกักขังเอาไว้ในอ้อมกอดแสนอบอุ่น
“โทษฐานที่เธอทำฉันเจ็บ ต้องถูกกอดจนหายใจไม่ออก” มันเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
เพราะตอนนี้เขาปลื้มใจที่อีกฝ่ายเป็นห่วงจนอยากยิ้มออกมาเต็มปาก ทว่าไม่อาจให้หล่อนรู้ได้จึงกดใบหน้าหวานลงที่แผงอกของตัวเอง จนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
ซึ่งมันดังเป็นจังหวะเดียวกัน...
เขาอยากย้อนเวลากลับไปได้ อยากสานสัมพันธ์กับหล่อนให้นานกว่านี้ หรือไม่ก็คงตามราวีผู้ชายคนนั้นที่บังอาจมาแย่งสุดที่รักไปจากตนเอง
แต่เพราะยอมแพ้ง่ายไป ทั้งไม่อยากเป็นคนโง่ในสายตาดมิสาที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้เจ็บแค่ไหนก็ยังภักดีต่อเธอผู้เดียว
อาหารเช้าถูกเสิร์ฟช้ากว่าปกติ เธอเลือกจะทำข้าวต้มปลาเพราะใช้เวลาในการทำไม่นานกลัวคนเจ็บจะหิว ร่างสูงนั่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว มองกับข้าวตรงหน้าก็แอบอมยิ้มค่อยเงยหน้าขึ้นสบดวงตากลมโตที่เสหลบไปทางอื่น
“จำได้ด้วยเหรอว่าฉันชอบข้าวต้มปลา” ที่ชายหนุ่มชอบก็เพราะดมิสาเคยทำให้กิน แต่หลังจากเลิกกันมันก็กลายเป็นอาหารต้องห้ามทันที
“ฉันเห็นปลาในตู้เย็นเลยทำ รีบกินได้แล้วจะได้กินยา” กลับไปยังครัวแล้วตักในส่วนของตนเอง ออกมายังห้องอาหารเริ่มรับประทานในส่วนของตนที่มีน้อยกว่าเขา
ภูวิศอมยิ้มแล้วกินอาหารมื้อนั้นด้วยความสุข ตักเขาปากแล้วละเลียดทีละน้อย ต้องการรับรู้รสชาติให้มากที่สุดสมกับความคิดถึง แอบชำเลืองสายตามองคนข้างกายซึ่งก้มหน้าก้มตากินไม่พูดจาอะไรกระทั่งหล่อนอิ่มถึงได้ดื่มน้ำและหยิบผ้ามาเช็ดปาก
หายจากห้องอาหารไปสักพักก็เข้ามาด้วยถุงยาและแก้วน้ำของร่างสูง จัดยาให้เขาเงียบๆ แล้ววางลงบนแก้วเล็กไม่พูดไม่จา
“แล้วฉันต้องกินยาอะไรบ้าง” เห็นว่าหล่อนกำลังจะเดินหนีอีกถึงได้จับมือเล็กเอาไว้พลางถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แค่เห็นใบหน้าหวานเขาก็รู้สึกพ่ายแพ้เสียแล้วทั้งที่คิดจะสั่งสอนหล่อนให้เข็ด
แต่ดมิสาสวยเกินไปมองทีไรใจสั่นทุกที ยิ่งตอนนี้ที่ความสาวบานสะพรั่งกว่าเจอกันครั้งแรกก็ชวนให้หลงใหลไม่ยาก จนบางครั้งนึกอยากล้มเลิกแผนการไปเสีย
“ฉันจัดให้หมดแล้ว กินไปเถอะ ไม่มียาเบื่อหรอกถึงอยากใส่ให้คุณกินแค่ไหนฉันก็ยังมีมนุษยธรรม” จับมือเขาออกแล้วหวังจะเดินไปห้องนั่งเล่นทว่าต้องหยุดเท้าเอาไว้ค่อยหมุนกายมาเผชิญหน้าอีกครั้ง
“ฉันต้องการไปทำงาน” การหยุดงานวันถึงสองวันเสียรายได้ทั้งยังทำให้ทางโรงแรมขาดคนอีกด้วย ยังไม่อยากถูกเรียกไปตักเตือนทั้งที่ทำงานได้ไม่นาน แจ้งความประสงค์แก่ร่างสูงที่นั่งนิ่ง วางช้อนลงเมื่อรับประทานอาหารจนหมด
ยกน้ำขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้าราวต้องการปั่นประสาทคนที่รอฟัง ดมิสาขัดใจจนต้องเดินไปยืนตรงหน้าชายหนุ่มที่ลีลาเสียเหลือเกิน
“ได้ยินไหม ฉันอยากไปทำงาน คุณจะจับฉันมาขังไว้เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะ ฉันมีค่าใช้จ่ายเยอะ ไหนจะผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟอีก คุณได้ยินที่ฉันพูดไหม” บอกเสียงเข้มเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอ แต่เขากลับทำเหมือนไม่สนใจเสียอย่างนั้น
“ฉันจ่ายค่าบ้านให้เธอหมดแล้ว ส่วนค่าน้ำค่าไฟก็ให้ลูกน้องไปจัดการให้แล้ว เรื่องโรงแรมที่เธอไปทำงานสบายใจได้ เพราะฉันลาออกให้เรียบร้อย” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเผยอค้างกับคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากเขา
ภูวิศกินยาเข้าไปแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินออกจากห้องอาหารทันทีทำเอาคนที่เพิ่งได้สติรีบวิ่งไปดักหน้าเอาไว้ มองด้วยสายตาหาเรื่องเต็มที่
“คุณไม่มีสิทธิ์ลาออกให้ฉัน” บอกเสียงเข้มทว่าชายหนุ่มกลับไม่มีท่าทีสลดแต่อย่างใด กลับยืดอกเหมือนทำเรื่องน่าภูมิใจ
“พอดีโรงแรมนั้นฉันรู้จักกับผู้บริหาร สั่งการแปบเดียวเธอก็ปลิวออกเหมือนฝุ่นเลยล่ะ เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่าตอนนี้เธอตกงานอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากบ้านปล่อยหล่อนอยู่เพียงลำพัง
มือเล็กกำเข้าหากันแน่นอย่างเจ็บปวดปนเคียดแค้น เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างรวดเร็วทั้งกัดฟันเอาไว้ไม่ให้กรีดร้องระบายอารมณ์ กว่าจะได้งานนี้คิดว่ามันง่ายนักหรือไงต้องฝ่าฝันผู้ที่สมัครกว่าห้าสิบคนจนเป็นหนึ่งในพนักงาน
หากทำครบห้าปีก็สามารถเลื่อนเป็นระดับหัวหน้าได้ไม่ยากสักนิด เงินเดือนก็จะขึ้นอีก เธอวาดฝันเอาไว้ถึงชีวิตสุขสบายทว่ากลับต้องมาพังเพราะผู้ชายคนนั้น
ภูวิศเพียงคนเดียว!