บทย่อ
"ดมิสา" หอบลูกหนีชายที่ทำร้ายตัวเองมาโดยตลอด เธออยู่ด้วยตัวเองมาเกือบเจ็ดปีกระทั่งเขาโผล่มาอีกครั้ง "ภูวิศ" คุณลุงที่ลูกสาวอย่าง "มนสิชาหรือน้องชิชา" ชมนักหนาว่าแสนเท่ ความจริงแล้วคือพ่อที่แท้จริง ชายหนุ่มต้องการทวงคืนตำแหน่งพ่อและสามี แต่อย่างหลังน่าจะยากสักหน่อยในเมื่อคุณแม่กางกรงเล็บทั้งแยกเขี้ยวใส่พร้อมทำร้ายทุกเมื่อ มีกลเม็ดเคล็ดลับเด็ดอะไรคงต้องงัดมาใช้เสียแล้ว
บทนำ
บทนำ
รั้วไม้ขนาดเตี้ยถูกเถาของดอกอัญชันเลื้อยจนเต็มไปด้วยดอกสีม่วง พื้นหญ้าสนามหน้าบ้านตัดเรียบเสมอกันมีใบไม้แห้งร่วงเกลื่อนกลาด ม้าหินอ่อนที่อยู่ใต้ร่มเงามีเศษใบไม้ที่หล่นลงมาจากบนต้นก่อนจะปลิวกระจัดกระจายเมื่อโดนแรงลม
บ้านหนึ่งชั้นสไตล์ญี่ปุ่นที่ทาสีขาวดูสะอาดตาถูกยกระดับขึ้นสูงจากพื้นดินเล็กน้อย พื้นบ้านเป็นไม้ปาร์เก้ยาวมาจนถึงเฉลียง มีชานบ้านขนาดกว้างไว้สำหรับทำกิจกรรม ภายนอกดูเรียบง่ายตามความชอบของเจ้าบ้าน ประตูไม้สีทึบมีระบบรักษาความปลอดภัยในการกดรหัสก่อนเข้าบ้าน
ตามขอบชานบ้านจะมีดอกไม้และต้นไม้สำหรับปลูกเพื่อความสวยงาม ทั้งหนวดฤๅษีที่ห้อยลงมาจากขอบหลังคาซึ่งตัดแต่งให้เป็นระเบียบ
เข้ามาภายในเป็นห้องนั่งเล่นขนาดกว้างที่มีจอโทรทัศน์กว่าสี่สิบนิ้วตั้งไว้ โซฟาห่างจากหน้าจอยักษ์ประมาณสามเมตรเพื่อเป็นการถนอมสายตาไม่ให้เสียจากการจ้องจอสี ถัดจากนั้นเล็กน้อยจะมีโต๊ะญี่ปุ่นขนาดกลางวางไว้พร้อมเบาะใหญ่สำหรับนั่งทำการบ้านหรือเขียนงาน
ด้านหลังคือห้องครัวซึ่งใช้ได้ทั้งแบบครัวไทยและครัวต่างฝรั่ง มีเคาน์เตอร์บาร์กั้นเอาไว้พร้อมทั้งยังเต็มไปด้วยขวดโหลคุกกี้รสชาติดี
“ชิชาแต่งตัวเสร็จหรือยัง” หญิงสาวที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรมชื่อดังตะโกนเสียงดังถามเด็กน้อยที่ยังแต่งตัวอยู่ห้องนอนซึ่งไม่ค่อยห่างจากครัวเท่าไหร่นัก
มือบางจับตะหลิวกับกระทะแล้วตักออมเล็ทลงจานพร้อมจัดสีสันสดใส นำไปวางยังโต๊ะรับประทานอาหารก่อนจะเดินมาหยิบขนมปังปิ้งและแยมสตรอเบอร์รี่ ไม่ลืมหยิบนมจืดกับน้ำเปล่ามาวางไว้บนโต๊ะค่อยเดินไปล้างมือให้สะอาด
“แม่ขา หนูมัดผมไม่ได้” ประตูถูกเปิดออกจากคนข้างนอกทำให้เด็กน้อยที่กำลังง่วนกับการมัดผมอยู่หน้ากระจกหันมาบอกหน้ามุ่ย
“เดี๋ยวแม่ถักเปียให้ ออกไปกินข้าวเร็ว” กวักมือเรียกพร้อมทั้งเดินไปหยิบกระเป๋ามาให้ เหลียวเห็นนาฬิกาจึงทักลูกสาว
“หนูลืมใส่นาฬิกาอีกแล้วนะลูก” ลูกสาวยิ้มแหยพร้อมเดินไปหยิบมาใส่ทันทีก่อนจะวิ่งปร๋อไม่รอคุณแม่ทำเอาคนมองตามต้องส่ายหัว เมื่อมองรอบห้องเห็นว่าเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูลงเสียงเบา
ลูกสาวตัวน้อยอยู่ในชุดนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพราะเกิดช่วงต้นปีทำให้เข้าก่อนเกณฑ์กลายเป็นน้องเล็กสุดในห้องเรียน แต่ก็ใจใหญ่เสียเหลือเกินไม่มีกลัวใคร ทั้งยังทำตัวเป็นฮีโร่คอยปกป้องเพื่อนที่โดนทำร้ายอีก
“ทำไมวันนี้เสร็จช้า” หล่อนวางกระเป๋าไว้ยังเก้าอี้ที่ว่างก่อนเดินมาถักผมให้ลูกน้อย ทำแบบนี้จนชินเสียแล้ว
“หนูหาถุงเท้าไม่เจอค่ะ พอเจอมันก็สลับคู่กัน” ตักไข่เข้าปากพลางเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย คนเป็นแม่ยิ้มในหน้าเอ็นดูเด็กหญิงที่กำลังรับประทานอาหารเช้าคำใหญ่ ทั้งยังเลอะปากจนต้องหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดให้
“วันนี้เรียนอะไรบ้างคะ” ระหว่างถักผมก็ถามลูกไปด้วย ทบทวนความจำที่เจ้าตัวชมนักว่าจำทุกอย่างได้หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ภาษาไทย คณิต ภาษาอังกฤษ สังคม แล้วก็ศิลปะค่ะ” พยักหน้าตามเมื่อเด็กน้อยพูดจบ เห็นว่าออมเล็ทหมดแล้วและมือเล็กกำลังคว้าขนมปังปิ้งมาทาแยมแล้วนำเข้าปากทันที
ไม่แปลกใจเลยที่ลูกสาวจะเป็นคนเจ้าเนื้อ ในเมื่อกินเก่งขนาดนี้ ห้ามปรามอย่างไรก็คงไม่ทัน แต่ก็ถือว่าลดจากเมื่อก่อนลงมากแล้วเพราะการคุมน้ำหนักที่คนเป็นแม่คอยบอกและสอนว่าควรกินอะไร ไม่ควรกินอะไรบ้าง
“แล้วที่โรงเรียนมีหนุ่มๆ มาชอบหนูไหม” เปลี่ยนมาเปียผมอีกข้างแล้วพุ่งคำถามสำคัญที่เหมือนคุยเป็นเรื่องปกติ พยายามไม่ทำให้เด็กน้อยรู้สึกว่าถูกคุมคามหรือจู้จี้มากเกินไป
“ไม่มีค่ะ หนูไม่ชอบใคร หนูยังไม่อยากมีแฟน” เบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอายุเท่านี้รู้จักคำว่าแฟน
“ลูกรู้เหรอว่าแฟนคืออะไร” พยักหน้าทันที
“รู้ค่ะ แฟนคือคนรักกัน โบว์ก็เป็นแฟนกับแท็ป สองคนนั้นรักกันค่ะ”
“แล้วทำไมหนูไม่อยากมีแฟนล่ะ” เด็กตัวเล็กแสร้งถอนหายใจขณะที่กินขนมปัง ทำราวกับมันเป็นเรื่องหนักใจนักหนา
“หนูไม่อยากทะเลาะกับใคร ตันหยงชอบแอมแปร์ นินิวก็ชอบแอมแปร์ ตันหยงกับนินิวเลยไม่ชอบกัน หนูไม่อยากเป็นแบบนั้นค่ะ” แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กสมัยนี้จะคบกันหรือรู้เรื่องความรักตั้งแต่ป.1 คงต้องปรามลูกบ้างเสียแล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าเด็กน้อยแก่แดด
“หนูไม่ควรไปพูดแบบนี้ให้ใครฟังนะคะ”
“ทำไมคะ” หันมาถามตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจ
“เราไม่ควรพูดถึงเรื่องไม่ดีของคนอื่น ยิ่งการนินทาว่าร้ายยิ่งไม่สมควร หนูยังไม่รู้เลยว่าเขาไม่ชอบกันจริงหรือเปล่า หรือถ้าเขาไม่ชอบกันจริงเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ไม่ก้าวก่าย เข้าใจที่แม่พูดใช่ไหม” ตอบรับคำเสียงแผ่วแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่มจนหมด หยิบผ้ามาเช็ดปากแล้วค่อยสะพายกระเป๋าขึ้นหลัง
ผมที่เคยชี้ฟูถูกถักเปียสวยงามทั้งยังผูกโบว์สีสดใส ร่างบางจับจูงมือลูกออกไปหน้าบ้านเพื่อรอรถรับส่งของทางโรงเรียน เธอนั่งย่อลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“ตั้งใจเรียนนะคะ” เอ่ยขึ้นพร้อมลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มทั้งสองข้างที่ทาแป้งจนหอม
“ค่ะ แม่ก็ตั้งใจทำงานนะคะ” หัวเราะเสียงใสเมื่อลูกสาวอวยพรกลับ พอดีกับรถตู้ขับมาจึงลุกขึ้นยืนแล้วส่งเด็กหญิงให้แก่คุณครู โบกมือลาแล้วมองจนรถลับสายตาค่อยเดินเข้าไปในบ้านเพื่อแต่งหน้าและทำผมของตนเองบ้าง
ดีที่ตอนนี้หล่อนอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า (Front Office Manager) ไม่ต้องเข้ากะ (Shift) เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็เข้างานแปดโมงจึงต้องรีบทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยค่อยเดินไปหน้าปากซอยขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ถึงที่ทำงานภายใน 15 นาที
ถึงเวลาเลิกเรียนเสียงเด็กน้อยเจี๊ยวจ๊าวจนคนที่ไม่ค่อยชอบเด็กแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาเดินเข้ามาภายในห้องที่หลานชายกำลังศึกษายังโรงเรียนรัฐบาล เหตุเนื่องมาจากใกล้บ้านและเห็นว่าเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียงพอสมควร
แต่ดูจากการที่หลานมีรอยช้ำกลับมาบ้านแทบทุกวัน กลายเป็นเด็กพูดน้อยก็ทำให้ตัดสินใจเรื่องนี้ใหม่ โดยจะส่งไปเรียนยังโรงเรียนเอกชน ถึงจะห่างบ้านสักหน่อยแต่ก็คุ้มหากสุขภาพจิตเด็กดีขึ้น
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ” คุณครูเดินเข้ามาหาพร้อมสอบถามด้วยเสียงอ่อนหวานพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม สายตาคมกวาดมองไปรอบห้องไม่เห็นหลานตนเองจึงได้ถามคนดูแล
“ผมมาหาวินเซนต์ครับ” หลานชายของเขาเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย มารดาของเด็กน้อยเป็นน้องสาวต่างแม่ของเขาเอง ส่วนสามีเป็นคนอเมริกันที่ทำงานอยู่สถานทูต ได้ย้ายมาประจำการยังประเทศไทยจึงต้องปรับตัวกันค่อนข้างมาก
“อ๋อ น้องวินอยู่ที่สนามเด็กเล่นค่ะ เดี๋ยวพาไป..”
“ขอบคุณครับ” คุณครูคนสวยยังพูดไม่ทันจบเขาก็ตัดบทแล้วเดินออกไปทันที ปล่อยคนที่พยายามเข้าหาอ้าปากค้าง จะเดินตามก็ไม่ทันในเมื่ออีกฝ่ายลับสายตาไปแล้ว
เฮ้อ...อุตส่าห์เจอคนหล่อที่นานทีปีหนจะหลุดมาสักคนแท้ๆ เสียดายจังเลย
ร่างสูงเดินมายังสนามเด็กเล่นแล้วมองหาหลานชายตัวเอง เห็นว่านั่งอยู่บนพื้นทรายและมีเด็กอีกสามคนยืนค้ำหัว ความโกรธแล่นริ้วขึ้นจะเข้าไปหาแต่ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งมาผลักเด็กผู้ชายพวกนั้นเสียก่อน
“หยุดรังแกคนอื่นได้แล้ว ไอ้พวกนิสัยไม่ดี” บอกเสียงดังพร้อมจ้องตาเขียวปั๊ด
“เธอมายุ่งอะไรด้วย ยายอ้วน”
“อ้วนแล้วไปหนักหัวพวกนายหรือไง” พูดจบก็ตบหัวเรียงคนอย่างไม่นึกเกรงกลัวว่าจะโดนทำร้าย และไม่นานทั้งสามคนก็ร้องไห้เสียงดังแล้ววิ่งออกไปจากสนามเด็กเล่น
ใบหน้าคมหลุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าคนที่มาช่วยหลานตนเองเดินไปพยุงวินเซนต์ขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นให้อีกด้วย ร่างสูงเลือกจะยืนที่เดิมแล้วดูว่าเด็กน้อยจะทำอย่างไร
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้อง คิดว่ามดกัดก็ได้” บอกทั้งใบหน้ายิ้มแย้ม จนเด็กชายพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอบคุง” ยังพูดภาษาไทยได้ไม่ชัด แต่ก็พอฟังได้เพราะแม่สอนบ้าง ที่ท่านอยากให้เรียนโรงเรียนรัฐบาลก็ต้องการให้ลูกพูดและอ่านภาษาไทยได้ ถึงจะโดนคัดค้านจากสามีและพี่ชายก็ตาม
“เดี๋ยวเราพาไปกินไอติม ไม่ร้องนะ” เดินโอบเพื่อนแล้วพาออกจากสนามเด็กเล่น หวังเดินไปซื้อไอศกรีมที่ร้านค้าแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีคนตัวสูงมายืนบัง
“อังเคิล” จากที่หน้างอก็ยิ้มร่าเริงวิ่งเข้าไปกอดคุณลุงทันที เขาย่อกายลงโอบกอดหลานชายเช่นกัน ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่เริ่มแห้งให้ออกจากใบหน้าขาว
“ลุงมารับกลับบ้าน” กำลังจะพยักหน้าแต่ก็นึกถึงเพื่อนเลยหันกลับไปมอง คิดหนักว่าควรจะทำอย่างไรดีจนกระทั่งคนมาใหม่ต้องยอมเอ่ยขึ้นเพื่อคลายความกังวลที่มีในแววตาหลานชาย เด็กหญิงยังยืนนิ่งไม่ไปไหน จ้องมองใบหน้าคมที่หล่อเหลาจนไม่สามารถกระพริบตาได้
ทำไมหล่อจัง
“เดี๋ยวลุงจะพาไปกินไอติม หนูไปด้วยกันนะ” ทั้งที่ไม่ค่อยชอบเด็กแต่กลับรู้สึกถูกชะตาสาวน้อยคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น วินเซนต์ยิ้มทันทีพร้อมเดินไปหาเพื่อนใหม่ก่อนเอ่ยชวนเสียงแผ่วเพราะยังไม่มั่นใจในภาษาไทยของตนเอง
“ไปกันนะ” จับมือพลางเขย่าเล็กน้อย
“เราไปกับวินเซนต์ได้เหรอ” ถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ได้สิ ไปด้วยกันแล้วเดี๋ยวลุงไปส่งบ้าน จะโทรบอกแม่ก่อนไหม” เม้มปากแน่นก่อนจะรับคำพร้อมพยักหน้า
“ได้ค่ะ งั้นหนูขอโทรหาแม่ก่อนนะคะ” เดินไปหยิบโทรศัพท์แบบกดไว้สำหรับโทรหามารดาโดยเฉพาะ พร้อมบอกว่ามีคุณลุงจะไปเลี้ยงไอศกรีม หล่อนกำชับลูกกำลังจะขอคุยกับอีกฝ่ายแต่มีงานด่วนเข้ามาก่อนจึงบอกให้เด็กน้อยโทรหารายงานเป็นระยะ ห้ามขาดการติดต่อเด็ดขาด
คนอายุน้อยรับคำแล้วเดินไปหาคุณลุงสุดหล่อ หยิบกระเป๋าของตนเองมาสะพายหลังพร้อมแจ้งรถโรงเรียนว่าจะกลับพร้อมคุณลุงของวินเซนต์ หลังจากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังสนั่นรถยนต์คันหรูที่มีคนขับคอยฟังบทสนทนาแสนน่ารักของเด็กทั้งสอง
“วินเซนต์อยู่ไทยต้องพูดไทยนะ ห้ามพูดอังกฤษ”
“Why” ไม่ทันขาดคำก็ถามเป็นภาษาอังกฤษจนคนที่เตือนต้องมองตาเขียว เสียดายที่คาร์ซีทมีตัวเดียวเลยให้หลานชายนั่ง ส่วนเด็กผู้หญิงก็คาดเข็มขัดนิรภัยแทน
“เราฟังไม่รู้เรื่อง” เขาหลุดขำออกมาทันที
ไม่คิดว่าหลานชายจะเจอเพื่อนที่ดีขนาดนี้ สงสัยอาจจะไม่ได้ย้ายโรงเรียนเสียแล้วล่ะมั้ง ดูเหมือนวินเซนต์เองก็ชอบเพื่อนใหม่เช่นเดียวกัน เมื่อถึงยังที่หมายก็จับจูงกันเข้าไปข้างใน คุณลุงผู้ยุ่งตลอดเวลาเพิ่งว่างมาดูแลหลานก็เอาใจด้วยการสั่งไอศกรีมถ้วยใหญ่
สองคนตาวาวตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งพูดคุยกันสนุกสนานจนคนมากกว่าวัยที่เคยยิ้มยากก็แย้มริมฝีปากออกมาง่ายดาย จ้องมองเด็กหญิงด้วยความเอ็นดูก่อนเอื้อมไปเช็ดไอศกรีมที่เปื้อนปากออกอย่างอ่อนโยน
คุ้นหน้าเหลือเกิน หน้าเหมือนใครสักคนที่เขาพยามลืมมาตลอด...
ส่งเพื่อนของหลานเสร็จก็ขับรถออกมาทันที นึกชื่นชมบ้านหลังน้อยที่เพียงมองก็รู้สึกถึงความอบอุ่น อยากเข้าไปดูในบ้านแต่คงเป็นการเสียมารยาทจึงส่งเด็กน้อยข้างนอก เห็นว่ามารดายังไม่กลับเพราะยุ่งกับงาน ใจจริงอยากอยู่รอเป็นเพื่อนแต่เพราะต้องรีบไปงานเลี้ยงต่อทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมชุด มันค่อนข้างกะทันหันถึงได้ปล่อยเด็กหญิงไว้คนเดียว
“อังเคิล ชิชาลืมของ” ชี้ไปยังตุ๊กตาซึ่งคุณลุงซื้อให้ สงสัยคงรีบจนไม่ได้เอาลงไปด้วย ชายหนุ่มเลยตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปยังบ้านกลังเดิมที่เพิ่งจากมา
กำลังจะเข้าจอดเทียบรั้วแต่ร่างบางที่เปิดประตูเข้าไปภายในบ้านทำให้เขาต้องชะงัก แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจนต้องเพ่งมองอีกครั้ง ถึงมันจะเป็นเวลาอันสั้นและเห็นเพียงด้านหลังของหล่อนก่อนที่จะเดินแกมวิ่งเข้าบ้าน
ทว่าเขาก็จำได้ขึ้นใจทันที ไม่ผิดแน่ เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เธอคนนั้นวิ่งผ่านหน้าไปราวกับว่ามันคือความฝัน แทบจะยกมือขึ้นมาตบศีรษะตนเองเพื่อเรียกสติ
เจ็ดปีมาแล้วสินะที่ไม่ได้พบกัน...
หัวใจเขาแทบทะลุออกมาจากอก ไม่คิดว่าจะเจอคนที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลา พยายามลืมหรือหาคนใหม่มาแทนที่ก็ไม่อาจลบหล่อนออกจากใจได้เลย หล่อนประทับติดตรึงจับจองพื้นที่เอาไว้จนหมดหัวใจ ไม่อาจแบ่งให้ใครได้
ก่อนจะนึกถึงความหลังเขาเริ่มคิดได้ว่าบ้านหลังนั้นมีมนสิชาอยู่กับแม่ นั่นหมายความว่าหล่อนคือมารดาของน้องชิชาใช่ไหม คิดดังนั้นพลันใบหน้าคมก็เริ่มเครียด
แล้วพ่อล่ะ.. คนเป็นพ่ออยู่ที่ไหน
เด็กน้อยไม่เคยเอ่ยถึงพ่อตลอดการเดินทางของวันนี้ พร่ำถึงแต่มารดาว่าแสนดีอย่างไร ทำเอาภูวิศชักจะอยากเห็นหน้าแม่ของหนูน้อยคนนี้ และพอได้เห็นถึงจะเป็นเพียงแผ่นหลังก็เกิดความสงสัยขึ้นทันทีอย่างไม่อาจห้ามได้
หรือจะเป็นเขา ที่มีสถานะคือพ่อของเด็กหญิงคนนั้น