๓ ใจไม่เคยลืม (๑)
๓
ใจไม่เคยลืม
หยาดน้ำใสไหลออกจากดวงตากลมโตเปื้อนแก้มชายหนุ่ม ทำให้เขาได้สติจากความโกรธค่อยผละออกมาเพื่อจ้องใบหน้าหวานที่กำลังมองด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง หัวใจที่เคยด้านชากระตุกก่อนปวดหนึบจนแทบหายใจไม่ออก
ไม่ชอบแววตานั้นเลยสักนิด มันกำลังกล่าวโทษเขาอยู่ และทำให้ผู้ชายคนนี้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป
“สะใจคุณแล้วใช่ไหม พอใจหรือยัง” ถามอย่างอ่อนแรง มือเล็กตกลงข้างลำตัวก่อนจะยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า
“ถ้าพอใจแล้วก็เชิญออกจากห้องด้วย ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ” ถึงจะอยากอยู่มากแค่ไหน แต่เจอคำไล่ที่ไม่ได้ออกมาเพียงคำพูดทว่ากลับแสดงออกด้วยแววตาว่าไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วย จึงจำใจหันหลังเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลงกลอน ไม่ลืมใส่กุญแจล็อคจากข้างนอกเพื่อขังหล่อน
ถอนหายใจพลางมองประตูบานใหญ่ ค่อยยกมือขึ้นยันเอาไว้อย่างใช้ความคิด คราวแรกก็ว่าจะสั่งสอนเดชธรรมและให้บทเรียนดมิสาไปพร้อมกัน แต่ความรู้สึกของเขามันอยู่เหนือการควบคุมเสียแล้ว
นี่แค่ผ่านมาวันเดียวเอง แล้วต่อไปจะบังคับจิตใจตัวเองไม่ให้ตกหลุมรักเธออย่างไรไหว
“ฮึก” ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพลางยกมือขึ้นปิดดวงตาทั้งสองข้าง น้ำสีใสไหลเปื้อนใบหน้าทั้งที่พยายามกลั้นเอาไว้ เสียใจจนไม่อาจทานทนได้
ไม่เจอกันมาห้าปีแต่สิ่งที่ภูวิศทำกับหล่อนตั้งแต่พบครั้งแรกคือจับมาเป็นตัวประกัน ทั้งทำร้ายจิตใจจนอยากจะหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่เฝ้ารอบบ้านมีเป็นสิบเขาคงไม่เห็นหน้าเธอแล้ว
ภาพความสัมพันธ์ครั้งเก่าตอนที่ยังรักกันฉายซ้ำขึ้นมาในหัว พบกันครั้งแรกเมื่อหล่อนเข้าปีหนึ่งที่คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ส่วนเขาเป็นรุ่นพี่ปีสี่คณะบริหารธุรกิจ เพื่อนสนิทของภูวิศเป็นพี่ชายเพื่อนสนิทหล่อน ทำให้ได้รู้จักกัน
อีกฝ่ายเข้าหาเพียรจีบอยู่เกือบสี่เดือนก่อนจะเริ่มคบกันอีกห้าเดือน ระยะเวลากว่าเก้าเดือนที่รู้จักกันมันไม่น้อยเลยสักนิด และตอนที่เธอรักเขาสุดดวงใจยอมมอบให้แม้กระทั่งร่างกายก็พบว่าถูกทรยศอย่างร้ายกาจ
ร่างสูงควงหญิงอื่น ทั้งยังบอกเลิกด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวไม่รู้สึกรู้สาอะไร ต่างจากหล่อนซึ่งแทบจะร้องไห้เสียใจที่ถูกทิ้ง
เขาก็แค่หลอกฟันไม่ได้จริงจังตั้งแต่แรก น่าขันสิ้นดีที่เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว...
ร่างบางขังตัวเองอยู่ในห้องนอนไม่ออกมาข้างนอก ในขณะที่เจ้าของบ้านก็เอาแต่เทน้ำสีอำพันลงแก้วแล้วยกขึ้นกรอกราวมันเป็นน้ำทิพย์ ดวงตากล่าวโทษที่หล่อนจ้องมายังติดตรึงในความทรงจำจนยากลบมันออก
เชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องถูกมองด้วยสายตาอย่างนั้น คนที่ผิดคือพี่ชายของเธอต่างหาก เขาก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน
เพล้ง!
ขว้างแก้วไปบนพื้นจนมันแตกกระจาย ผู้ติดตามที่มองอยู่ถึงกับสะดุ้ง จะเข้าไปเก็บกวาดแต่พอมองใบหน้าของเจ้านายจึงเลือกจะยืนอยู่ที่เดิม ภูวิศ ตอนนี้น่ากลัวเกินไป การปล่อยให้อยู่คนเดียวน่าจะดีที่สุด
เขาหันไปมองนาฬิกาซึ่งแขวนอยู่ผนังบ้านก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว จำได้ว่าตอนลงมาข้างล่างหลังทะเลาะกับดมิสาคือช่วงเช้า นี่เขานั่งอยู่ที่เดิมตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ ส่วนหญิงสาวก็ถูกขังในห้องโดยมีคนเฝ้าหน้าประตูเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้อีก
หนุ่มนักบริหารหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินขึ้นบันได จับกลอนประตูแล้วหมุนแต่มันถูกล็อคจากข้างใน เขาหันไปมองคนที่ยืนหน้านิ่งพร้อมบอกเป็นนัยว่าต้องการอะไร อีกฝ่ายหยิบกุญแจสำรองให้ทันที
เขาไขอย่างรวดเร็วไม่นานประตูที่เคยล็อคก็เปิดออกง่ายดาย มองไปบนเตียงกว้างเห็นหญิงสาวนอนหลับอยู่จึงค่อยปิดลงเสียงเบา ก้าวไปหาพลางนั่งลงข้างเตียง ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวหล่อนตื่น
มองใบหน้าหวานซึ่งเปื้อนคราบน้ำตาก็ยกมือขึ้นไปเช็ดให้อย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่หาได้ยากจากคนตัวสูงถูกมอบให้กับดมิสา ผู้เป็นรักแรกของเขา...
“คุณ ออกไป” ดวงตากลมโตลืมขึ้น ก่อนจะลุกนั่งพร้อมไล่ให้เจ้าของบ้านออกจากห้องนี้ไปทันที ไม่อยากเห็นคนที่ทำร้ายกันตั้งแต่วันแรกที่เจอ ทั้งยังกลัวใจตนเองจะเผลอไผลกับความรักที่ไม่เคยลืม
ตัดบัวอย่าเหลือใย แต่ไม่รู้ทำไมใยนั้นมันช่างเหนียวเหลือเกิน ตัดเท่าไหร่ก็ไม่ขาดสักที
“ไม่หิวหรือไง” ไม่มีอาหารตกถึงท้องตั้งแต่เช้าคงหิวไม่น้อย
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดจมูกพลางถอยร่นหนีห่างจากเขามากกว่าเดิม ได้กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งไปทั่วกายสูง รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหายไปไหนมา
“ออกไปห่างๆ ได้ไหม มันเหม็น” เกือบทำตามคำสั่งนั้นโดยอัตโนมัติเพราะรู้ว่าหล่อนไม่ชอบกลิ่นพวกนี้ ทั้งแพ้ควันบุหรี่อีกทำให้ตอนคบกันเขาเลิกเหล้าและบุหรี่อย่างจริงจัง ไม่แตะต้องมันเลยสักครั้งจนเลิกราถึงกลับมาหาอบายมุขเหล่านั้นอีก
“ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งของเธอด้วย เธอต่างหากที่ต้องทำตามคำสั่งของฉัน” ว่าจบก็คว้าแขนเรียวให้ลุกขึ้นแล้วลากออกจากห้องโดยมีเสียงเล็กโวยวาย
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ คุณไม่มีสิทธิ์มาลากฉันไปไหนตามใจชอบ แค่คุณจับฉันมาขังเอาไว้แบบนี้ก็ผิดกฎหมายแล้ว ถ้าฉันแจ้งความคุณไม่รอดแน่” เอากฎหมายมาอ้างทั้งที่ความจริงหล่อนไม่ได้ศึกษาจริงจัง ร่างสูงทนไม่ไหวผลักเธอไปชิดผนังก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนต้องรีบหันหน้าหนี
หล่อนเกลียดกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดกายเขาจริงๆ
“ถ้าเธอพูดมากอีก ฉันจะไม่ให้เธอกินข้าว แต่จะจับเธอกินแทน” แก้มนวลแดงจากคำพูดนั้นแล้วพยักหน้าทั้งที่เม้มปากแน่น
เห็นว่าหล่อนเงียบเสียงแล้วจึงพาเดินมายังห้องอาหาร บ้านทั้งหลังไม่มีแม่ครัวหรือแม้แต่คนสวนเพราะเขาต้องการให้หญิงสาวทำหน้าที่เหล่านั้น
ดวงตากลมโตกวาดมองอาหารที่คิดว่าทำเสร็จแล้วแต่กลับพบเพียงโต๊ะที่ว่างเปล่า แขนเรียวถูกปล่อยเป็นอิสระหล่อนก็รีบจับพลางยกขึ้นดูเห็นว่ามันแดงเถือกจากแรงของคนตัวสูง หันมองเขาอย่างกล่าวโทษ
“ไหนกับข้าว”
“ฉันไม่ได้บอกว่ามีสักหน่อย” กอดอกพลางถอยห่างหล่อนเล็กน้อย นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่อยากให้คนตัวเล็กได้กลิ่นเครื่องดื่มสีอำพันจากกาย กลัวว่าดมิสาจะรังเกียจ
“เอ๊ะคุณ” ชายหนุ่มพูดกำกวมจนเริ่มมีน้ำโห
“เธอต้องเป็นคนทำ” จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วหันหลังหวังจะเดินขึ้นบนห้องทันที ทว่าร่างสูงเร็วกว่าที่คว้ามือเล็กไว้แล้วดึงให้มาหยุดยืนตรงหน้า
“จะไปไหน” ถามเสียงเข้ม
“ฉันไม่หิว ก็เลยไม่รู้จะทำอาหารไปทำไม” บอกหน้าตายแล้วเสมองไปทางอื่น ไม่ชอบที่ต้องเห็นใบหน้าคมเข้มที่นับวันก็ยิ่งหล่อเหลาขึ้นจนสั่นสะเทือนใจซึ่งเคยสงบนิ่งของหล่อน
ใช่ว่าไม่เคยเจอคนหน้าตาดี หล่อรวยกว่านี้มาจีบก็มีมาแล้ว แต่หัวใจกลับไม่เคยมีอาการหวั่นไหวเหมือนตอนที่อยู่กับภูวิศเลยสักครั้ง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หล่อนหลงอะไรเขานักหนาถึงไม่ลืมสักที
“แต่ฉันหิว” ดมิสาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จะหันหลังเดินขึ้นห้องอย่างเดียว ทว่าไม่ทันไรเสียงท้องก็ร้องสร้างความอับอายให้หล่อนเป็นอย่างยิ่ง ร่างสูงยกยิ้มมีความสุข ทั้งเอ็นดูปนหมั่นไส้ในความปากไม่ตรงกับใจของคนตัวเล็ก
“ไหนบอกไม่หิวไง เมื่อกี้เสียงอะไร” ได้ทีก็ล้อเลียนจนเธอจ้องเข้าเขม็ง โกรธตนเองที่มาท้องร้องเอาตอนนี้ ที่จริงก็หิวตั้งแต่เที่ยงทว่าไม่อยากลงมาให้เสียฟอร์มเลยตัดสินใจนอนหลับจะได้ไม่ต้องทนหิว
“เสียงท้องคุณ” สะบัดมือตนเองให้หลุดแล้วเดินไปยังห้องครัว ถึงไม่อยากทำแต่ถ้าอยู่ให้เขาล้อก็ไม่หน้าหนาขนาดนั้นเหมือนกัน
“อ้อ ท้องฉันอย่างนั้นเหรอ” เขาเดินตามก่อนจะหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์ มองหล่อนเปิดตู้เย็นหยิบผักและเนื้อหมูออกมาวางไว้ หันไปตักข้าวใส่หม้อจัดการหุงทันทีไม่พูดอะไร
ดวงตาคมต้องมองทุกการกระทำของเธอไม่วางตา ไม่ได้เห็นภาพนี้มานานเหลือเกินจนเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ภาพแห่งความสุขที่เคยมีร่วมกัน สุดท้ายแล้วมันก็มลายไปมีแต่ความเจ็บปวดที่อัดแน่นภายในใจ
ภูวิศเลือกจะเดินออกจากห้องไปแปรงฟันล้างหน้า อย่างน้อยก็ไม่ต้องการให้มีกลิ่นแอลกอฮอล์ติดกาย พยายามบอกตนเองว่าที่ทำแบบนี้ไม่เกี่ยวกับดมิสาสักนิด ก็แค่ล้างหน้าเพื่อความสดชื่นเท่านั้นเอง...
หล่อนเริ่มจากการนำเนื้อหมูไปล้าง เอามาหั่นเป็นชิ้นบางใส่จานเตรียมไว้ หยิบผักที่จะทำอาหารมาล้างแล้วหั่นใส่จาน ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาคมที่ออกมาจากห้องน้ำแล้วยืนกอดอกมองร่างบางโดยไม่เคลื่อนไปไหน หากทำได้คงยกกล้องมาเก็บภาพเอาไว้แล้ว
ใช้เวลาไม่นานอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ มีไข่เจียวหมูสับ ผัดพริกหมูผักบุ้งและต้มจับฉ่าย ยิ้มภาคภูมิใจกับอาหารที่ตนเองทำแล้วยกไปวางไว้บนโต๊ะซึ่งมีร่างสูงคอยท่าก่อนแล้ว หล่อนไม่แม้แต่จะชายตามองเขาสักนิด ทำราวไม่มีตัวตน
“เอาข้าวมาให้ฉันด้วย” สั่งเสียงเข้มทว่าหล่อนก็เดินกลับไปคดข้าวใส่จานถือออกมาเพียงใบเดียวเท่านั้น
“นี่ ไม่ได้ยินหรือไงฉันบอกว่าเอามาให้ฉันด้วย” วางจานข้าวไว้ที่นั่งของตนเองพลางหันไปมองร่างสูงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนเขาสงสัย
“มองอะไร”
“ก็มองว่าคุณพิการหรือเปล่าถึงไปตักข้าวเองไม่ได้” ว่าจบก็นั่งลงทันทีไม่สนใจอาการโกรธของชายหนุ่มสักนิด หล่อนเริ่มรับประทานอาหารในขณะที่ภูวิศเดินไปคดข้าวใส่จาน ใบหน้าหวานแอบอมยิ้มสะใจที่เห็นอีกฝ่ายโดนขัดใจเสียบ้าง
เมื่อกลับมาประจำที่ต่างคนก็รับประทานอาหารไม่พูดไม่จา เธอเหลือบมองเขาบางครั้งดูว่าชายหนุ่มมีอาการเมาหรือไม่ ทว่าก็ปกติดีทุกอย่างจนคิดได้ว่าเขาคอแข็งจะตาย เมื่อก่อนดื่มได้ทั้งวันไม่มีอาการมึนสักนิด
ส่ายหน้าเล็กน้อยไล่ความทรงจำในอดีตออกไป ไม่อยากนึกให้เจ็บช้ำใจ ร่างสูงเองก็กินอาหารรสมือหล่อนด้วยความรู้สึกคิดถึง ช่วงที่เลิกกันใหม่ๆ เขาเสียศูนย์เหมือนกันเพราะรักมาก ถึงอยากกลับไปคืนดีแต่เธอก็มีชายอื่นเคียงข้างเสียแล้ว
หลบออกมารักษาแผลใจตนเองเกือบสองปีจนได้คนรักอย่างวรางคนางมาทำให้คลายเศร้า สุดท้ายเธอก็ทิ้งเขาไปอยู่อีกโลก ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกแล้ว
ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมันก็เพราะเดชธรรม
มันคนเดียว!