๒ ทำร้ายจิตใจ (๑)
๒
ทำร้ายจิตใจ
“แล้วถ้าฉันไม่ยอมปล่อยเธอไปล่ะ” ถามกลับด้วยสีหน้าที่เหนือกว่า หล่อนเบิกตากว้างแล้วเงียบไปพักใหญ่ เช่นเดียวกันภูวิศที่รอคำตอบจากริมฝีปากบางที่บวมเป่งจากการถูกจู่โจม
บรรยากาศภายในห้องลดลงจนเย็นยะเยือก สายตาคมที่จ้องมองมาไม่เหมือนคนเก่าที่เคยรู้จัก อาจเพราะผ่านโลกมามากทำให้เขากลายเป็นอีกคน ราวซาตานร้ายซึ่งถูกปลุกให้ตื่นเพื่อทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
และเธอคือหนึ่งในนั้น
“ฉันจะหนี” กว่าจะเปล่งคำตอบออกมาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร และมันเรียกเสียงหัวเราะจากเขาดังก้องห้อง
“ฮ่าๆ เธอคิดว่าตัวเองจะหนีได้อย่างนั้นเหรอ แล้วพรุ่งนี้มาดูกันว่าเธอจะหนีไปได้จริงหรือเปล่า” สิ้นคำนั้นชายหนุ่มก็โน้มลงมาปิดริมฝีปากเล็กพลางทาบทับไม่ให้หนีไปไหนได้ ซึ่งหล่อนก็ไม่สามารถออกไปได้ตั้งแต่แรกแล้ว
สัมผัสของเขาทำให้หวนนึกถึงอดีต เมื่อก่อนชายหนุ่มไม่ได้จูบเธอด้วยซ้ำ ข้ามขั้นไปเป็นร่วมรักกันเลยจนหญิงสาวเองก็นึกโทษตัวเองที่ง่ายกับเขาขนาดนี้ เพียงเพราะหลงไปกับบรรยากาศและการหว่านล้อมจากคนมากประสบการณ์
สุดท้ายก็ต้องมาเสียใจยามเขาเดินจากไปพร้อมผู้หญิงคนอื่น
เสื้อยืดสีขาวถูกถอดออกอย่างง่ายดายพร้อมทั้งชั้นในที่เพียงเอื้อมไปสะกิดมันก็ถูกปลดจากกายขาวผ่อง มือหนาตรึงแขนเล็กทั้งสองข้างเอาไว้เหนือศีรษะก่อนก้มลงไปดูดกลืนดอกบัวคู่งามอย่างหลงใหล เขาจำร่างกายนี้ได้ทุกสัดส่วนไม่เคยลืม
ความหวานและกลิ่นกายยามได้สูดดมมันยังตราตรึงในหัวใจไม่เคยลืม หล่อนพยายามดิ้นหนีแต่กลับเหมือนเปิดทางให้เขาได้แนบชิดมากขึ้น ริมฝีปากหนาก้มไปหยอกล้อปทุมถันสีหวานในขณะที่อีกข้างก็ถูกสะกิดจนมันชูชันสู้มือ
ความต้องการส่วนลึกกำลังทำให้หล่อนเริ่มอ่อนแอ แรงจะขัดขืนไม่มีกลับแอ่นกายหาเขาราวต้องการให้ชายหนุ่มเชยชมมากกว่านี้ เม้มปากแน่นไม่ส่งเสียงร้องที่น่าอับอายให้อีกฝ่ายได้รู้
“เธอต้องการมันเหมือนกัน ฉันรู้ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเลย” ค่อยเคลื่อนไปจุมพิตปากจิ้มลิ้มปล่อยมือจากแขนหล่อนแล้วลงมาลูบไล้ตามร่างกายเพื่อปลุกปั้นอารมณ์วาบหวาม
ดมิสาไม่คุ้นชินกับการร่วมรักทางกาย หล่อนโอนอ่อนได้ง่ายยิ่งถ้าเป็นจากคนที่ครอบครองหัวใจทั้งดวง ความคุ้นเคยทางร่างกายทำให้เผลอยกแขนไปคล้องคอชายหนุ่มเข้าจนได้ จากที่จะนอนนิ่งเป็นท่อนไม้กลายเป็นยินยอมพร้อมใจเสียอย่างนั้น
เขาใช้ช่วงเวลาที่หล่อนกำลังมัวเมาในรักแสนเผ็ดร้อนเปิดปากเล็กแล้วใช้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดอย่างหยอกล้อ หลงลืมว่าจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บไปชั่วขณะ ในเมื่อกลิ่นกายสาวมันช่างเย้ายวนใจ ให้หลงเข้าไปในวังวนเสน่หาที่ยากถอนตัว
“อ่ะ อย่า” ลิ้นหนาเคลื่อนลงไปตามลำคอขาวผ่องแล้ววนรอบทรวงอกคู่งาม เลียจนมันเปียกชื้นค่อยใช้ลิ้นแตะยอดสีหวานทั้งสองทางสลับไปมา คนใต้ร่างหลุดเสียงครางออกมาจนได้พร้อมทั้งพยายามผลักไสให้เขาหนีห่าง แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งเพิ่มแรงอารมณ์มากขึ้น
“อย่าหยุดหรือเปล่า ร่างกายเธอต้องการฉันจะตาย”
“เพราะคุณทำให้เป็นแบบนี้” กล่าวโทษทั้งยังพยายามไม่ส่งเสียงร้องแสดงอารมณ์ร่วม
“แน่ใจเหรอว่าฉันทำให้มันเป็น หรือเป็นเพราะเธอยังไม่ลืมรสรักของเรา ก็อย่างว่านั่นแหละ วัวเคยค้าม้าเคยขี่ จุดไฟแปบเดียวมันก็ติดแล้ว” ค่อยเลื่อนลงไปยังหน้าท้องแบนราบวนรอบสะดือแล้วปลดกางเกงยีนส์ออก รูดลงอย่างช้าๆ โดยที่หล่อนไม่ให้ความร่วมมือสักนิด
“ยกสะโพกขึ้นหน่อยคนสวย” ร่างบางไม่ทำตามและเขาก็ไม่รอช้า ยกเรียวสะโพกมนขึ้นทันทีพร้อมดึงกางเกงออกอย่างง่ายดาย ใช้เวลาไม่นานหล่อนก็เปลือยเปล่าโดยที่ชายหนุ่มยังสวมเสื้อผ้าครบชิ้น
ชั้นในสีหวานถูกโยนลงไปกองบนพื้นพร้อมทั้งกางเกงรัดรูป เขาผละจากร่างกายส่วนด้านบนมาสนใจดอกไม้งามที่กึ่งกายสาว ใช้นิ้วชี้แหย่เข้าออกอย่างรวดเร็วจนน้ำสีใสไหลออกมา ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มพร้อมทั้งกล่าวด้วยความเยาะเย้ย
“อยากมากแล้วใช่ไหม เธอปฏิเสธฉันไม่ได้หรอกว่าไม่ต้องการ ในเมื่อร่างกายของเธอมันบอกชัดเจนขนาดนี้” แค้นใจเหลือเกินที่ตอนนี้ตกเป็นรองเขา หล่อนอยากจะหนีไปจากเหตุการณ์ตรงนี้แต่ส่วนลึกในใจก็เรียกร้องหาร่างสูงจนนึกโกรธตนเอง
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย เธอไม่สามารถควบคุมได้แม้แต่ร่างกายของตัวเอง เจ็บใจจนต้องระบายอารมณ์ด้วยการขูดแผ่นหลังหนาจนเขามีสีหน้าเหยเก ถึงจะมีเสื้อสวมทับไว้แต่เล็บยาวซึ่งจิกลงไปก็ทำให้แสบได้
ยืดกายขึ้นถอดเสื้อของตนเองออกทันทีเผยให้เห็นหุ่นล้ำที่ดูดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก จนหล่อนต้องเสหลบด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่ชินเสียที คราวก่อนก็ปิดไฟจนไม่เห็นอีกฝ่ายระหว่างร่วมรักทว่าตอนนี้กลับเปิดไฟสว่างโร่ทั้งห้อง
อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแต่ทำไม่ได้ ยิ่งเขาลุกขึ้นถอดกางเกงและชั้นในออกจนเห็นความแข็งแกร่งสมชายชาตรีก็หลับตาแน่น ภูวิศมองมาแล้วอมยิ้มเอ็นดูก่อนจะรีบลงไปทาบทับหล่อนอีกครั้ง จับขาเรียวให้แยกกว้างพร้อมเลื่อนมาจับมือเล็กที่พยายามจะผลักเขาออกไว้
“อ่ะ ไม่เอา ออกไป” ดันส่วนแข็งขืนเข้าไปภายในกายสาวทันทีไม่ฟังเสียงค้านอย่างใด อารมณ์ที่ตอนนี้พุ่งสูงจนเกินต้านทานผลักดันให้เขาเดินหน้าโดยลืมคิดไปว่าหล่อนเองก็มีจิตใจ โกรธได้เจ็บเป็นเช่นเดียวกัน
“มีแต่เข้าจนสุด ออกไม่ทันแล้ว” ว่าจบก็กระแทกเข้าไปจนสุดด้าม เริ่มเคลื่อนกายตามจังหวะพร้อมทั้งประสานมือเข้ากับหล่อน มองใบหน้าหวานที่เหยเกทั้งเม้มปากแน่นไม่ส่งเสียงใดออกมา ถึงบางทีจะอดไม่ไหวจนมันเล็ดลอดให้ร่างสูงได้ยิ้มสมใจ
ใบหน้าคมแหงนขึ้นอย่างสุขสม ความคับแน่นของช่องทางสีหวานทำเอาเขาแทบเป็นบ้า น้ำหล่อลื่นทำให้สามารถเข้าออกได้โดยไม่ติดขัด อยากจะทะนุถนอมหล่อนมากกว่านี้แต่ก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่การทำรักเหมือนเมื่อก่อน
ก็แค่เซ็กส์เท่านั้น... ไม่ต้องอ่อนโยนกับเธอมากก็ได้
หลังจากนั้นจึงกระแทกสุดแรงไม่ยั้งสักนิด “บะ เบาหน่อย” จนหล่อนต้องบอกแต่เขาก็ไม่ได้ทำตาม ขยับถี่ขึ้นจนร่างบางเริ่มปรับจังหวะได้ จากอาการเจ็บเปลี่ยนเป็นความต้องการที่มากกว่าเดิม ทว่าไม่อาจเอ่ยบอกให้อับอายได้
และเหมือนชายหนุ่มจะรู้จึงได้เพิ่มความแรงและเร็วมากกว่าเดิมจนหล่อนเผลอหลุดยิ้มออกมา เสียงกระทบกันของเนื้อดังไปทั่วห้อง จากที่คิดจะกลั้นเสียงครางเอาไว้เธอก็ไม่สามารถทำได้เผลอหลุดออกมาจนภูวิศยิ้มกริ่ม
“ใกล้แล้ว อ่ะ อือ” ใบหน้าหวานแหงนขึ้นทั้งบีบมือเขาไว้แน่น สองร่างโจนทะยานไปข้างหน้าตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง ภายในกายร้อนระอุทั้งที่เครื่องปรับอากาศทำงานได้เป็นอย่างดี ห้องที่เก็บเสียงอย่างดีทำให้มั่นใจได้ว่าถึงจะร้องดังแค่ไหนคนข้างนอกก็ไม่ได้ยิน
ชายหนุ่มกระแทกเข้าไปในร่างบางพร้อมปล่อยน้ำสีขุ่นออกมาจนเลอะไปหมด เขาแช่ค้างไว้ท่านั้นแล้วค่อยโน้มกายไปซบทรวงอกสล้าง จุมพิตที่ดอกบัวคู่งามแผ่วเบาแล้วหายใจถี่ไม่ต่างจากหญิงสาวเท่าไหร่
เธอถูกไฟสวาทครอบงำจนหลงลืมว่ามาที่นี่ทำไม ยังให้ความร่วมมือกับเขาราวผู้หญิงหน้าไม่อาย แทบไม่กล้าจะมองภูวิศคิดว่าเขาต้องยิ้มเยาะเย้ยเป็นแน่ สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเองจนได้เพียงเพราะถูกชักจูงจากคนมากประสบการณ์
“คุณจะทำอะไร” คิดว่าเขาจะปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระแต่ริมฝีปากหนากลับไล่จุมพิตตามเนินไหล่ไล่มายังแขนเรียว พร้อมขบเม้มจนมันเป็นสีกุหลาบอีกต่างหาก
“โอ๊ย ฉันเจ็บ!” เผลอยกมือมาตีเขาเสียงดังทั้งยังขึงตาใส่ไม่เกรงกลัว ราวกับว่าเป็นการหยอกล้อเหมือนตอนยังคบหาดูใจ ไร้คำตอบจากคนตัวสูงแต่เขากลับสร้างรอยเอาไว้ทั่วกายขาวผ่องซึ่งหล่อนไม่อาจขัดขืนได้ในเมื่อถูกตรึงเอาไว้
อายจนหน้าแดงก่ำทั้งโกรธที่เขาทำราวกับตนเองเป็นสิ่งของไร้ชีวิต เปลี่ยนไปมากจริงๆ ไม่เหลือร่องรอยของพี่ภูคนเดิมอีกต่อไป
มีเพียงคุณภูวิศผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมเท่านั้น
“รอยสวยแล้ว เดี๋ยวฉันพาเธอไปอาบน้ำเอง” ผละออกแล้วมองร่องรอยนั้นก่อนจะฉีกยิ้มพึงพอใจ คนตัวเล็กรีบหันหนีด้วยความเขินต่อสายตาคมนั้น ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างกายแล้วค่อยตอบเสียงเข้มด้วยความไม่ชอบใจ
“ไม่ต้อง ฉันอาบเองได้” เขาไม่ตอบอะไรแต่กลับลุกขึ้นยืนทั้งที่ไม่ใส่อะไรสักชิ้นจนหล่อนต้องรีบปิดตาลง ไม่อยากเห็นภาพอุจาดตา
“มาเถอะน่า” ไม่รอให้ร่างบางปฏิเสธอีกรอบก็ตัดสินใจอุ้มคนที่หนักไม่ถึงห้าสิบกิโลกรัมขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิง ดวงตากลมโตเบิกกว้างตกใจพลางใช้มือปิดจุดซ่อนเร้นเป็นพัลวัน ผู้ชายอะไรหน้าไม่อายสักนิด จะโวยวายหรือดิ้นมากก็ไม่ได้หากเขาเป็นบ้าแล้วปล่อยเธอลงบนพื้นคงได้ตายอย่างอนาถ
“บอกว่าอาบเองได้” มาถึงห้องน้ำก็ถูกวางลงอ่างน้ำยี่ห้อดัง เขาจัดการเปิดน้ำในขณะที่หล่อนนั่งกอดเข่าเพื่อปิดทรวงอกและส่วนกายสาว แค่ชายหนุ่มเห็นก็อับอายมากพอแล้ว ไหนจะเพิ่งร่วมรักกันมาหมาดๆ อีก เอาหน้าไว้ที่ไหนล่ะแบบนี้
“เธอขัดฉันไม่ได้หรอก ต่อจากนี้ฉันคือเจ้าชีวิตของเธอ” เขาก้าวลงมานั่งตรงหน้าเธอแล้วดึงคนตัวเล็กมานั่งตักพร้อมจ้องเข้าไปในดวงตากลมโต
“ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใครได้หรอก” ย้ำเตือนให้เขาได้รู้ถึงความจริงข้อนี้ ดวงหน้าหวานหม่นหมองลงเมื่อคิดว่าสถานะของพวกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
มันไม่ใช่ความรัก ความรู้สึกนั้นคงเลือนหายไปจากใจของชายหนุ่มจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยแล้วสินะ จะมีเพียงแค่หล่อนที่ยึดติดเกินไป
“แล้วฉันจะทำให้เธอดูว่ามันเป็นไปได้” พูดจบก็คว้าใบหน้าหวานมาจุมพิตทันที ไม่มีอาการเกรี้ยวกราดกลับมอบเพียงความอ่อนหวานให้แก่หล่อน เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าต้องการจะสั่งสอนเดชธรรม ดมิสา หรือลงโทษตนเองกันแน่
ดูเหมือนเขาจะหลงเข้าไปในกรงที่ใช้ขังนกและหาทางออกไม่ได้เสียแล้ว..