3. คุณชายน้ำแข็ง เหตุใดถึงสวมเขาให้ข้า!
3
คุณชายน้ำแข็ง เหตุใดถึงสวมเขาให้ข้า!
หนึ่งเดือนผ่านไป
เมืองกวางอัน
โม่เยี่ยเยี่ยตั้งสติทำความเข้าใจสถานการณ์อันย่ำแย่ที่เกิดขึ้น ทั้งที่พยายามวางแผนล้มเลิกการแต่งงานครั้งนี้ แต่ดูเหมือนกำลังของนางไม่มากพอ นอกจากเจ้าบ้านโม่ ผู้เป็นบิดาจะเห็นดีเห็นงามกับงานมงคลของนางกับจางอี้หลง พี่ชายทั้งสองก็ทั้งผลักทั้งดันให้นางแต่งกับบัณฑิตน้ำแข็งผู้นั้น
พี่ชายคนโตของนางปีนี้อายุสามสิบต้นๆ เขามีชื่อว่ากวนเซี่ยว นิสัยสุขุม พูดน้อย ใบหน้าอาจไม่หล่อเหลา แต่เป็นคนฉลาดหัวไว ส่วนสะใภ้ใหญ่คู่ชีวิตเขา หน้าตาสละสวย มีมารยาทดังเช่นคุณหนูจากสกุลใหญ่ นางใส่ใจทุกอย่างไปเสียหมด ในอดีตบิดานางทำงานในหอตำราเก็บหนังสือและภาพวาด หลิวกัวจึงอ่านออกเขียนได้ เล่นดนตรีทั้งพิณ ผีผา รวมถึงถนัดวาดเขียน ทั้งมีฝีมือประพันธ์กลอน แม้แต่การจัดดอกไม้นางยังทำได้ดี ดังนั้นนางจึงพยายามสั่งสอนให้โม่เยี่ยเยี่ยมีคุณสมบัติดังเช่นนี้ตน ทว่าไฉนคุณหนูสามจะนิยมเรื่องไร้สาระเหล่านั้น โม่เยี่ยเยี่ยชอบการค้า นางสนใจเรื่องเงินกับของสะสมหายาก
“เยี่ยเอ๋อ พี่เห็นเจ้ากำลังจะได้ออกเรือนก็ดีใจจนน้ำตาไหล อย่างที่โบราณกล่าวไว้สะใภ้คนโต เปรียบเสมือนมารดา ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่เล็ก วันนี้เห็นเจ้าได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีชายที่ดีคอยดูแล ก็ทำให้เป็นสุขนัก”
โม่เยี่ยเยี่ย มองสตรีรูปบางบอบบางเบื้องหน้า หลิวกัว คือสะใภ้ใหญ่ของตระกูลโม่ แน่ล่ะมารดาของโม่เยี่ยเยี่ยเสียชีวิตตั้งแต่นางอายุได้เก้าขวบเนื่องจากมีนางเมื่ออายุมาก ดังนั้นพอหลิวกัวแต่งเข้าตระกูลโม่ นางจึงวางตัวราวกับเป็นมารดาคนที่สองของโม่เยี่ยเยี่ย
“อย่างที่เสี่ยวกัวกล่าว นับแต่นี้เจ้าจะเป็นฝั่งเป็นฝา พี่ใหญ่อดใจหายไม่ได้ เฮ้อ ต่อไปเจ้าต้องทำตัวให้ดี อย่าเกเร หรือสร้างความวุ่นวายให้สามีเป็นทุกข์นะน้องเล็ก” โม่กวนเซี่ยวกล่าวขึ้นบ้าง
คนที่ไม่อยากเป็นเจ้าสาว ถลึงตาใส่พี่ชายสลับพี่สลับสะใภ้ ก่อนแหวเสียงแหลมจัด “ข้าเพียงแต่งบุรุษเข้าบ้าน และไม่ได้ย้ายไปไหน พี่ใหญ่ และพี่สะใภ้ลืมไปแล้วหรือ อีกอย่างเรื่องนี้แค่แต่งงานหลอกๆ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ข้าคงยังเป็นคุณหนูสามของสกุลโม่ ส่วนชายคนนั้นข้าจะไล่เขากลับเมืองหลวง พร้อมโยนเงินสักก้อนเพื่อไปเติมท้องพระคลังที่กำลังว่าง!”
“ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนั้น”
โม่กวนเซี่ยวมองน้องสาว โม่เยี่ยเยี่ยฉลาดหลักแหลมเกินสตรีทั่วไป แต่หากให้รู้เรื่องทางการเมืองย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเอง ยามนี้ฮ่องเต้ต่างส่งเชื้อพระวงศ์มาเกี่ยวดองกับคหบดีตามเมืองต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อเติมทรัพย์สินของพระคลังให้เต็มดังเดิม หลังจากที่ถูกใช้จ่ายไปในสงครามกับแคว้นอี้
ในครั้งนั้นแม้แคว้นฉางซีจะชนะสงครามแต่เงินทองก็ร่อยหรอ หากจะบีบบังคับกับเหล่าขุนนางก็มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ เพราะล้วนยากไรกันถ้วนหน้า ทว่าแคว้นฉางซีมีเมืองสำคัญหลายเมือง ซึ่งล้วนอุดมสมบูรณ์ทั้งแร่ธาตุ หลายที่เป็นเมืองเพาะปลูก ดังนั้นจึงมีคหบดีร่ำรวยอย่างมหาศาลอยู่มิน้อย หนึ่งในนั้นคือโม่กัง ผู้มีธุรกิจหลายอย่าง เรียกได้ว่าเจ้าบ้านโม่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของแคว้นฉางซีเลยทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงให้รัชทายาท ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทกับจางอี้หลงออกหน้าและส่งบุรุษผู้นี้มาเป็นเขยสกุลโม่ ซึ่งนัยก็คือให้จางอี้หลง เป็นชายที่จะมาเจรจาให้โม่กังดูแลเรื่องทุนสำหรับกองทัพ คอยช่วยเหลือทางด้านเมล็ดพันธุ์การเกษตร ข้าวสาร ไปจนถึงเครื่องนุ่งห่มของคนในราชสำนัก เพื่อเป็นการไถ่โทษที่บิดาของเขา และพี่น้องใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังไปจนหมดในการทำสงครามกับแคว้นอี้
และเรื่องทั้งหมดนี้โม่เยี่ยเยี่ยได้ยินจากปากบิดา ในขณะที่เขาสั่งงานให้พ่อบ้านคนสนิทเตรียมรับแผนของฮ่องเต้
“หึ แต่งผู้ชายเข้าบ้าน เขายังมีเกียรติอันใดให้ข้าต้องเคารพ บุรุษเช่นนี้ไม่ควรเป็นทั้งสามีข้า และบุตรของลูกๆ ข้าที่จะลืมตามาดูโลกในภายหน้า”
“เยี่ยเอ๋อ กล่าวเช่นนี้ไม่ดี เจ้าควรสงบอารมณ์บ้างอย่าได้ลืมว่า การสมรสนี้ รัชทายาทเจี้ยนหยางเป็นผู้หนุนหลัง เพื่อให้คุณชายอี้หลงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเรา อีกอย่างในภายภาคหน้า รัชทายาทเจี้ยนหยางย่อมต้องนั่งบัลลังก์แคว้นฉางซี และคุณชายอี้หลง หากจะว่ากันไปแล้ว เขาก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงท่านอ๋องผู้หนึ่ง เป็นอ๋องก็ย่อมมีเส้นสายในวังหลวง”
สิ่งที่หลิวกัวกล่าวนับว่าถูกต้อง บิดาของจางอี้หลงเป็นพี่ชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และถึงเขาเกิดจากนางสนมที่ดูแลหอพระ แต่เมื่อเติบใหญ่ได้เป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร ทว่าหลังจากวางแผนพลาดใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังกับศึกเก้าทัพของแคว้นอี้ จึงทำให้ถูกเนรเทศไปในพื้นที่ทุรกันดาร จะเหลือก็แต่จางอี้หลงผู้ที่เป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้กับไทเฮา และเขายังเป็นสหายคนสนิทขององค์รัชทายาทเจี้ยนหยาง
“อนาคตน้องเยี่ยเอ๋อ สดใสถึงเพียงนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ก็พลอยยินดีไปด้วย”
หลิวกัวเอ่ยและแสดงท่าทางดีใจจนน้ำตานองหน้า แต่คนที่ได้ฟังไม่ใช่เด็กเล็ก ถึงจะดูไม่ออกว่านางกำลังแสแสร้ง
“เอาไว้ให้ข้าส่งอี้หลงกลับเมืองหลวงเรียบร้อยเมื่อไหร่ ท่านพี่ทั้งสองค่อยดีใจก็คงไม่สาย”
โม่เยี่ยเยี่ยเอ่ยจบจึงหมุนตัว แล้วเดินหายไปจากคนทั้งคู่ ทิ้งให้โม่กวนเซี่ยวกับหลิวกัวได้แต่ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มที่คุณหนูสามดื้อรั้น เอาแต่ความคิดของตนเป็นที่ตั้ง
ก่อนเข้าหอกับจางอี้หลง คนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวร้อนใจจนไม่อาจเพิกเฉยต่อความรู้สึกดังกล่าว โม่เยี่ยเยี่ยไม่คาดคิดว่า บุรุษชั่วจะเดินทางมาพร้อมหญิงในดวงใจของเขา จางอี้หลงช่างหยามหน้านางนัก และคำว่าชั่วช้าคงน้อยเกินไปที่จะใช้กับเขา
“เป็นเช่นนั้นจริงรึ” โม่เยี่ยเยี่ยถามด้วยใจขุ่นเคือง ทั้งที่จางอี้หลงจะเข้าหอกับนางอีกห้าวันข้างหน้า แต่การเดินทางมาจากเมืองหลวงครั้งนี้ เขากลับพาไป๋จื๋อชิง ธิดาของเจ้ากรมประมงติดสอยห้อยตามมาด้วย และนางผู้นั้นช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
“บ่าวเห็นด้วยสองตา คุณหนูจื๋อชิง งดงามน่าทะนุถนอมราวกับปุ๋ยเมฆ นางสวมชุดขาว เยื้องย่างทีก็ประหนึ่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์”
“ฮึ แสร้งทำตัวเป็นคนดีเยี่ยงนั้น แต่ไฉนจิตใจถึงได้คาวโลกีย์ บัดซบทั้งคู่!”
หงอิงมองคุณหนูของตน ทั้งที่นางบอกว่าไม่ใส่ใจจางอี้หลง ทว่าเหตุใด พอเขามีสตรีตามก้นมาจากเมืองหลวงด้วยถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้น แทนที่นางจะดีใจไม่ใช่หรือ ที่จะได้ใช้ข้ออ้างนี้สลัดเขาหลุดจากการเป็นเจ้าบ่าว และตัวนางเองก็ไม่ต้องเข้าหอกับบุรุษที่ไม่มีใจให้ ตำแหน่งฮูหยินที่นางไม่ต้องการก็ไม่ต้องเอามาผูกใส่คอไว้
“แล้วคุณหนูสามจะไปที่เรือนรับรองของท่านเจ้าเมืองจริงๆ หรือเจ้าคะ บ่าวว่ามันไม่ใคร่จะเหมาะสม เพราะที่นั่น เป็นเขตของสกุลเหอ”