2.บุรุษในรูปวาด
2
บุรุษในรูปวาด
จางอี้หลงวางตำราในมือลง ก่อนหันไปมองรัชทายาท ฝ่ายนั้นเมื่อครู่ยังนั่งฟังเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้งีบหลับไปเสียแล้ว ส่วนข้างๆ เขามีสตรีโฉมงามจากหอนางโลมอันดับหนึ่งในเมืองหลวง
“เจี้ยนหยาง หากยังถ่วงเวลาข้าเช่นนี้ ข้าไม่เกรงใจท่านแล้วนะ”
หยวนเจี้ยนหยาง ผู้เป็นรัชทายาทค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนหัวเราะอย่างคนเจ้าสำราญ “เห็นเจ้าตอนนี้ ข้ารู้สึกรื่นเริงเป็นบ้า ฮูหยินน้อยของเจ้ามาถึงเมืองหลวง หวังอยากพบหน้าสามีของนางในอนาคต แต่อี้หลงผู้นี้กับนั่งอ่านตำรา เขียนกลอน และวาดภาพ อ่อ...รวมถึงดื่มสุรากับข้าอย่างไม่สนใจนาง”
“ทั้งหมดล้วนเป็นท่าน ถ่วงเวลาข้าไว้”
“ฮ่าๆ ๆ แต่ความจริงคือเจ้าไม่อยากพบหน้านางมากกว่า” หยวนเจี้ยนหยางว่าอย่างรู้ใจเพื่อนรัก
“ก็แค่แม่นางน้อยผู้หนึ่ง”
“แต่...แม่นางน้องผู้นั้นคือเยี่ยเยี่ย บุปผาสวรรค์จากกวางอัน นางคือเทพธิดาล่มเมืองเชียวนะ”
“ข้าหวังอยากได้ภรรยาสักคน ไม่ได้ต้องการโฉมงามที่จะทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ” จางอี้หลงเอ่ยอย่างจริงจัง ด้วยเขารู้ว่าโม่เยี่ยเยี่ยเป็นคนเช่นไร และนางย่อมนำหายนะมาอยู่ใกล้ๆ ตัวนาง และคนรอบข้างได้เสมอ
“ฮ่าๆ ๆ สายเสียแล้วอี้หลง เจ้ารู้หรือไม่ ตั้งแต่ข้าบอกเสด็จพ่อว่า เจ้าจะหาเงินเข้าท้องพระคลังได้อย่างไร เสด็จพ่อก็รีบให้ขันทีสั่งเกี้ยวมงคล และชุดเจ้าบ่าวให้เจ้าท่านที แต่การแต่งบุรุษเข้าสกุล จะให้เป็นสมรสพระราชทาน ก็เกรงว่าไม่เหมาะสม อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงองค์ชายผู้หนึ่งสมควรไว้หน้าบ้าง ส่วนผู้หญิงของเจ้าวันนี้เป็นฮูหยิน ภายภาคหน้านางย่อมเป็นพระชายาแน่นอน” หยวนเจี้ยนหยางเอ่ยจบ ก็หันไปจูบนางคณิกาเลอโฉม ที่มีผมสีทองอ่อนๆ ดวงตานางเป็นสีเขียวอมฟ้า งามในแบบหญิงต่างชาติที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ส่วนอีกสองนางมีผิวขาวจัด ดวงตาเรียวเล็กดูแล้วจิ้มลิ้มน่าลิ้มรสความสาว
“ฮึ ข้ายังมีหน้าตาให้ต้องรักษาอีกหรือ”จางอี้หลงนึกสมเพชตน เขายังมีศักดิ์ศรีใดให้เชิดหน้าชูตาได้ เมื่อเป็นบุรุษที่ต้องแต่งเข้าสกุลของสตรี!
“เหลวไหล เจ้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ ถึงแม้...ส่วนนั้นจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่...ข้าจะให้หมอมาเร่งรักษา อย่างไรก็ต้องใช้งานได้ในวันเข้าหอแน่นอน”
จางอี้หลงถอนหายใจออกมาติดๆ กัน ความรื่นเริงใจคือนิสัยที่ติดตัวหยวนเจี้ยนหยาง และมันไม่อาจเปลี่ยนได้ เขารักสนุก ชอบเสียงเพลง นารี กับสุรา กระนั้นคนผู้นี้ก็เก่งด้านบุ๊น
จับดาบ ขี้ม้าได้ไม่แพ้ต่อใครในแผ่นดินนี้
“ข้าไม่มีสิ่งใดเทียบรัชทายาท”
“ไฉนต้องเอาตนมาเทียบข้า อี้หลงตั้งแต่เล็กข้าก็ได้เจ้าเป็นเพื่อนเล่น ซ้ำร้ายยังต้องมารับพิษแทนข้าจนป่วยเช่นนี้ ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดแล้ว”
จางอี้หลงคิดถึงวันวาน เขาโง่เพียงใดหนอถึงได้ กลืนยาพิษนั้นลงคอ สุดท้ายก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด แล้วนอนซบร่วมสองเดือน กระนั้นพิษยังขับไม่หมด กระทั่งร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนคนในตระกูลจาง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้ดีก็ได้เพียงแต่เรียนตำรา มิอาจคุมเหล่าทัพใดๆ อย่างที่นึกฝันในวัยเด็ก
“อันที่จริงข้าไม่ได้คิดรับพิษแทนรัชทายาท เพียงแต่เป็นความเขลาที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน”
หยวนเจี้ยนหยางขี้คร้านจะฟังเรื่องนั้น เขายกมือโบกไปมา แล้วขอภาพจากคนรับใช้ของจางอี้หลงมาดู
“นี่คือเยี่ยเยี่ย ใช่หรือไม่”
“มิผิด เป็นนาง น้องสาวของโม่อินหลี ผู้ที่เถรตรงยอมหักไม่ยอมงอ”
“นางเหมาะกับเจ้านะอี้หลง แต่น่าเสียดายหากแต่งกันแล้ว เจ้าต้องอยู่ที่เรือนของนาง”
“ฮ่าๆ ๆ ข้ากลัวแต่จะไม่ทันจะแต่ง แม่นางน้อยก็คงขอหย่าข้าแล้ว”
“มิมีทาง อย่างไรเจ้าก็ต้องได้เข้าหอกับเยี่ยเยี่ย เชื่อมือข้าเถิดสหายรัก” หยวนเจี้ยนหยางเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนส่งภาพวาดให้จางอี้หลง
“คุณชาย จะให้บ่าวส่งข่าวให้คุณเยี่ยเยี่ยหรือไม่” อาฟงเอ่ยถามคนเป็นนาย
จางอี้หลงสูดลมหายใจลึกเข้าปอด แล้วเอ่ยว่า
“นางยังไม่กลับกวางอันใช่หรือไม่”
“ตอนนี้ เท่าที่บ่าวทราบ คุนหนูเยี่ยเยี่ย ยังอยู่เมืองหลวงอีกสองสามวันขอรับ”
“เช่นนั้น ข้าคงต้องไปทักทายนางเสียหน่อย”
จางอี้หลงเอ่ยแล้วก็ขอตัวจากหยวนเจี้ยนหยาง ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องต้อนรับ สตรีน้อยที่ดั้งด้นมาพบเขา
บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้ม ก้าวเข้าไปในโรงละครของเมืองหลวงทางฝั่งทิศตะวันตก และสตรีน้อยนางนั้นก็เฉิดฉายยิ่งกว่านักแสดงคนใดๆ โม่เยี่ยเยี่ยยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน โดยมีสาวใช้ของนางกำลังแจกจ่ายรางวัลแก่คนในคณะละคร
“ดีๆ พวกเจ้าทำให้ข้าหัวเราะได้ ละครเรื่องนี้ ช่วยเอาไปเล่นที่ท้ายตลาดของเมืองหลวงตรงสะพานทิศใต้ได้หรือไม่ อย่าลืมว่าต้องเรียกให้คนมาดูเยอะๆ มิเช่นนั้น รางวัลที่ได้รับนี้ ข้าจะทวงคืนเป็นสิบเท่า”
โม่เยี่ยเยี่ยเอ่ยแล้วก็หัวเราะอย่างสาแก่ใจ สิ่งที่นางทำคือจ้างให้คณะละครนี้ แสดงงิ้วที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามีนอกใจภรรยาแสนดี จากนั้นฝ่ายชายก็ต้องถูกสวรรค์ลงโทษทำให้แท่งหยกเขาใช้งานไม่ได้ มิหนำซ้ำยังต้องทุกข์ทรมานจากการถ่ายเบาอย่างลำบากด้วย นอกจากนั้นเขายังถูกเหล่านางคณิกา และสามีของสตรีที่ไปลักลอบมีความสัมพันธ์ด้วยตามรังควานจนชีวิตตกต่ำ
สุดท้ายชายคนนี้ก็ยอมคุกเข่าขอให้ภรรยาให้อภัย แม้จะได้รับความบอบช้ำทางจิตใจมาโดยตลอด แต่ภรรยาผู้แสนดี ก็ยกโทษให้ชายเสเพล และเรื่องนี้จบลงอย่างงดงาม โดยที่ชายหนุ่มได้รับบทเรียนอย่างหนัก
“รับรองคุณหนู พวกข้าจะแสดงอย่างดีที่สุด และให้เหล่าขอทาน และแม่นางในหอโคมเขียวป่าวประกาศเรียกคนมาดูให้มากๆ อย่างที่คุณหนูต้องการ”
“ดีๆ ข้าจะรอชมผลงานพวกเจ้า”
โม่เยี่ยเยี่ยเอ่ยจบนางก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบมองอยู่ แต่พอกวาดตาหากลับไม่พบผู้ใด
“หงอิง ข้าคิดว่ารีบกลับเรือนของพี่รองดีกว่า ดูเหมือนมีเรื่องไม่น่าไว้วางใจ เมืองหลวงไม่ใช่ถิ่นของเรา”
สาวใช้พยักหน้ารับ และรีบเรียกคนขับรถม้า พร้อมหน่วยคุ้มกันที่โม่อินหลีจัดหาให้ กระทั่งหนึ่งคุณหนู และหนึ่งสาวใช้เตรียมก้าวขึ้นรถม้า ก็เป็นตอนนั้นที่ดวงตากลมโตมองเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่ง
“มีสิ่งใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
“เป็นเขาใช่หรือไม่”
โม่เยี่ยเยี่ยหมายถึงจางอี้หลง แต่ถามออกไปแล้ว นางก็นึกค้านสายตา ด้วยบุรุษที่นางเห็นในตอนนี้กำลังช่วยคุณยายขาเป๋ กับหลานชายของนางเข็นรถ
“เอ เหตุใดคุณหนูถึงคิดว่าใช่คุณชายอี้หลงเจ้าคะ อีกอย่างรูปที่เราได้มา รวมถึงสิ่งที่คนเคยพบเขา ก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ผิวขาว ท่าทางเย็นชา และดวงตาก็ดูน่ากลัว ทว่าคนผู้นั้นกลับดูอบอุ่น อีกทั้งงามสง่าอยู่มาก”
“เจ้าคิดว่าเราจะถูกคนหลอกลวงหรือไม่”
“ไม่เห็นว่าใครจะมีประสงค์เช่นนั้น ในเมื่อสตรีทั้งแผ่นดิน ล้วนต้องการมีบุตร แต่คุณชายอี้หลง...”
“อย่าได้กล่าวออกมานะ เรื่องนี้ให้บ่าวเช่นเจ้าแพร่งพรายได้หรือ”
หงอิงรีบยกมือปิดปากตน พลางมองโม่เยี่ยเยี่ย และใจนางคาดคิดไปว่า หญิงสาวคงเริ่มเป็นห่วงเป็นใยจางอี้หลงเข้าแล้ว
“อย่างไรก็ตาม จางอี้หลงเป็นว่าที่สามีข้า ดังนั้นข้าโขกสับ และพูดจาให้ร้ายเขาได้คนเดียว ใครหน้าไหนห้ามทำเรื่องไม่ดีต่อเขา”
สาวใช้รีบพยักหน้ารับอย่างเร็ว ก่อนช่วยประคองให้โม่เยี่ยเยี่ยขึ้นรถม้า แต่นางเหมือนอาลัยอาวรณ์ต่อชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชุดน้ำเงินเข้ม
“เจ้าว่าเขาสูงเกินเจ็ดศอกหรือไม่”
หงอิงมองบุรุษผู้นั้นอีกหนและนางก็เห็นว่าโดดเด่นกว่าใคร ทั้งความสูง รวมถึงความองอาจ
“เขานับว่าเป็นชายคนแรกที่บ่าวเห็นว่าสูงกว่าคุณชายรองเจ้าค่ะ”
โม่เยี่ยเยี่ยเห็นด้วยกับสิ่งที่หงอิงกล่าว เมื่อก้าวขึ้นรถม้า นางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น “หากจางอี้หลง สูงถึงไหล่บุรุษชุดสีน้ำเงิน ข้าคงไม่ต้องอายผู้อื่น ยามที่เขาลงจ้าวเกี้ยวเจ้าบ่าว”
เมื่อได้ยินคุณหนูของตนกล่าว หงอิงก็กลั้นขำไม่ไหว
“โถ คุณหนู เหตุใดต้องใส่ใจเขาด้วยเจ้าคะ ในเมื่อเขาก็แค่แต่งในนาม อย่างไรคงไม่ได้เขาหอกันเสียหน่อย”
โม่เยี่ยเยี่ยถลึงตาใส่หงอิง แล้วเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยสุ้มเสียงสูงปรี๊ด “หงอิง! เจ้าจะขัดข้าไปเสียทุกเรื่องเลยใช่ไหม อีกอย่างถึงเขาจะแต่งเข้าสกุลโม่ แต่งานแต่งนี้ ต้องทำให้ถูกต้อง จริงอยู่ข้าไม่อยากเป็นฮูหยินของจางอี้หลง ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากให้คนรูปชั่วมาอยู่ใกล้ๆ ที่สำคัญ...หลังแต่งงาน ข้ากับเขาต้องเห็นกันแทบทุกวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงอยากเห็นชายงามจะได้เจริญหู เจริญตาสักหน่อย”
หงอิงยังไม่หยุดขำ ก่อนตอบคุณหนูของตนว่า “ตามที่บ่าวเห็นรูปของคุณชายอี้หลงแล้ว เขาพอมีความงามอยู่หลายส่วน เรื่องนั้นคุณหนูวางใจได้”
โม่เยี่ยเยี่ยนึกถึงภาพวาดของจางอี้หลงที่จ้างคนวาดขึ้น ในใจก็พยายามไม่เปรียบเทียบกับบุรุษที่ตนแอบมองเมื่อครู่ หากสุดท้ายนางต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ติดๆ กัน