บทที่ 8 เจ้าสาวชุดสีขาว
พีรวัสงงกับกิริยานิ่ง ไม่พูด ไม่ตอบโต้ของปิ่นแก้ว หล่อนกำลังคิดอะไรหรือหล่อนกลัวเรื่องที่เขากับวีรชนคุยกัน หล่อนกลัวจนช็อกไปอีกแล้วหรือ
รถแล่นออกจากบ้านพักสารวัตร ปิ่นแก้วนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ วีรชนนั่งเบาะหลัง พีรวัสเหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ บ่อยครั้ง ใบหน้าของหญิงสาวเรียบเหมือนกำลังใช้ความคิดไม่ใช่อาการของคนช็อก วีรชนระวังตลอดเส้นทางไปบ้านปิ่นแก้ว ไม่มีรถแล่นตามรถของพวกเขา มีเพียงรถแล่นบนถนนปกติ
พีรวัสเป็นห่วงความรู้สึกของปิ่นแก้วมากกว่าตัวเอง ทำไมเขาต้องห่วงหล่อนด้วย เขาไม่ชอบหล่อนไม่ใช่หรือ หล่อนเป็นหญิงห้าวเป็นทอมไม่ใช่หรือ อย่าสนใจหล่อนมากไปกว่าแหล่งข่าวส่งข้อมูลดิบให้เขาเท่านั้น
ความเร็วของรถชะลอลงเมื่อถึงทางแยกเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน แสงไฟหน้ารถส่องตรงไปยังป่าข้างทางก่อนจะเลี้ยว เงาวูบหลบลงกับพงหญ้า พีรวัสเห็นชัด เขาหักพวงมาลัยรถเลี้ยวอย่างรวดเร็วและเท้าเหยียบบนคันเร่งเต็มฝีเท้า วีรชนดึงปืนออกมาจากเอว ปิ่นแก้วขยับตัวและพริบตานั้นอะไรบางอย่างก็พุ่งออกมาจากข้างทาง
“พี่วัส...ระวัง...”
“เอี๊ยดดดด...เอี๊ยดดดดด...ครืดดดด...เปรี้ยะ...”
รถสามล้อปั่นหายเข้าไปในความมืด ทุกสรรพสิ่งเงียบงันไม่มีแม้เสียงจักจั่นเรไร รถแล่นสวนไม่มาสักคัน ก้อนหินก้อนใหญ่ขวางล้อรถไว้ ดวงไฟหน้ารถด้านขวากระแทกกับต้นไม้แหลกละเอียด
พีรวัสมีสติทุกวินาทีขณะเบนหน้ารถหนีบางอย่างข้ามไปอีกฝั่งถนนและพยายามให้รถพ้นจากต้นไม้ใหญ่ถึงแม้จะพยายามมากสักเพียงใด ข้างรถก็เบียดกับต้นไม้และหยุดนิ่ง มือเขาคว้าต้นแขนปิ่นแก้วกำแน่น หล่อนเป็นอะไรหรือเปล่า
แต่บางอย่างซึ่งเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุเล็ก ๆ ครั้งนี้เคลื่อนตัวไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น ม่านตาของเขาจดจำภาพนั้นชัดเจน
“พี่วัส พี่วัสเป็นอะไรรึเปล่าพี่”
ศีรษะวีรชนกระแทกกับหลังเบาะนั่งของปิ่นแก้ว เขารู้ว่ารถจะกระแทกจึงระวังตัวเองตามสัญชาตญาณเตือนภัย ส่วนปิ่นแก้วยังคงนั่งนิ่ง หล่อนเห็นภาพเบื้องหน้าก่อนรถจะพุ่งใส่ต้นไม้ หล่อนไม่ระวังตัว ไม่ป้องกันใด ๆ สายตาจับอยู่ที่รถสามล้อปั่นแล่นตัดหน้ารถกะทันหัน หล่อนเคยเห็นรถสามล้อปั่นในเมืองนี้หลายคัน เคยนั่งมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงปั่นสักครั้ง ผู้หญิงสวมชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่อง ปั่นสามล้อตัดหน้ารถกระบะ
“ไม่เป็นไร”
“แกล่ะไอ้ปิ่น”
คำถามของวีรชนไม่ได้ผ่านเข้ามาในโสตประสาทของปิ่นแก้ว ตาของหล่อนจ้องฝ่าความมืดซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลย ภาพเจ้าสาวปั่นสามล้อกลืนหายไปกับสีดำ สีขาวค่อย ๆ ลอยห่างออกไป ห่างออกไปและกลายเป็นสีดำสนิท
“ปิ่นแก้ว เป็นอะไร”
พีรวัสเขย่าแขนหญิงสาวเมื่อหล่อนไม่ตอบคำถามวีรชน หล่อนช็อกอีกแล้ว เขาพาหล่อนมาพบแต่เรื่องร้าย ๆ ทำไมต้องเกิดขึ้นในวันนี้ ปิ่นแก้วได้ยินเสียงเพื่อน ได้ยินเสียงสารวัตรหนุ่มรับรู้ถึงแรงเขย่า
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันขอโทษ” เขาเอนตัวเข้าไปกอดหล่อน เสียงกระซิบดังอยู่ข้างหูหล่อน อาการมึนหูอื้อเมื่อครู่ค่อย ๆ คลายออกและอาการงุนงงเข้ามาแทนที่เพราะอ้อมแขนของพีรวัส
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยได้แล้ว คุณล่ะเป็นไรหรือเปล่า แกล่ะไอ้วี”
“ฉันนึกว่าจะไม่ถามฉันซะอีก เออ เจ็บหัวนิดหน่อย แกตกใจจนช็อกอีกรึเปล่าวะปิ่น”
วีรชนเป็นห่วงเพื่อนไม่ต่างจากพีรวัส หากจะต่างกันตรงความห่วงใยมาจากใจไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมาจากใจด้วยความรักเพื่อนแต่อีกคนมาจากใจด้วยความรักหญิงสาว วีรชนเริ่มเชื่อแล้วว่าพีรวัสชอบเพื่อนของเขา ชอบอย่างชายหนุ่มชอบหญิงสาวอยากอยู่กับหญิงสาวในฐานะสามีภรรยาไม่ใช่เพื่อนรักหรือเพื่อนสนิทแค่นั้น
“เปล่า ฉันแค่เห็น...”
“เห็นอะไรวะ คนร้ายรึเปล่า มันไปทางไหน พี่วัสระวังตัวด้วย” วีรชนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตัวรถ เท่าที่มองเห็นมีแต่ความมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
“เห็นอะไร”
พีรวัสไม่กลัวคนดักทำร้าย พวกนั้นไม่กล้าลงมือซ้ำสอง เขาเชื่ออย่างนั้น ปิ่นแก้วไม่เห็นคนร้ายอย่างแน่นอน กิริยานิ่งงันของหล่อน ตอนแรกเขาเข้าใจว่าหล่อนตกใจช็อกไปกับเหตุการณ์นี้แต่ไม่ใช่ หล่อนไม่ได้ช็อก
“สามล้อถีบ คุณเห็นมั้ย แกเห็นมั้ยไอ้วี”
“ไม่เห็น ทำไม สามล้อถีบทำไม” วีรชนถามเพื่อนเสียงรัว ปิ่นแก้วกำลังจะบอกอะไร หล่อนเห็นสามล้อถีบหรือบางคนเรียกสามล้อปั่น เห็นแล้วทำไมต้องช็อก
“ผู้หญิง ถีบสามล้อ ใส่ชุดเจ้าสาวสีขาว”
ไม่มีคำถามจากพีรวัสและวีรชน คำตอบจากปากปิ่นแก้วไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เจ้าสาวที่ไหนจะมาปั่นสามล้อกลางคืนอย่างนี้
“ตาฝาดหรือเปล่าปิ่น เจ้าสาวปั่นสามล้อ ตลกแล้ว”
วีรชนเอ่ยทำลายความเงียบงันในรถ พีรวัสเคลื่อนรถถอยหลัง มันถอยขึ้นบนถนนโดยไม่ติดขัด เขาส่งปิ่นแก้วถึงบ้านเร็วเท่าไหร่เป็นสิ่งดีสำหรับตัวหล่อนมากเท่านั้น อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเขา ภาพเจ้าสาวชุดสีขาวอย่างนั้นหรือ เขาเคยเห็นในความฝันและฝันหลายครั้งหลายหน เจ้าสาวยิ้มให้เขา ลูบศีรษะเขา เข้ามากอดเขาแต่ทุกครั้งเขาไม่ยอมให้กอด เขาวิ่งหนีจนรู้สึกตัวตื่น เขาไม่อยากได้ยินใครพูดถึงเจ้าสาวและไม่อยากเห็นเจ้าสาวสวมชุดสีขาว
สามล้อถีบจอดหน้าบ้านท้ายซอย คนขี่ลงจากรถเดินเข้าบ้าน เขากลับบ้านดึกกว่าทุกวัน ภารกิจครั้งล่าสุดสำเร็จลงด้วยความรู้สึกผิดฝังอยู่ในใจ เขาทรุดตัวบนเก้าอี้ไม้
“ฉันขอร้อง พอเสียทีเถอะ อย่าอาฆาตแค้นใครอีกเลย คนไม่รู้เรื่องด้วย จบชีวิตอย่างน่าสงสาร เจ้าสาวคนนี้ไม่เกี่ยวข้องด้วย เอาชีวิตเธอทำไม”
“ใครบอกไม่เกี่ยวข้อง หลานของมัน ชดใช้แทนมันไงล่ะ...” เสียงตอบดังอยู่ไม่ห่างคนขอร้อง
“เธอคิดแก้แค้นไม่จบไม่สิ้น เธอจะไปเกิดได้ยังไง หยุดแค้นเสียที แหวนก็ได้คืนแล้วไม่ใช่หรือ ฉันหามาให้แล้ว ทำไมไม่หยุด”
“หุบปาก ข้าไม่มีวันยอม แหวนนั่นไม่ใช่ของข้า ข้าไม่รับ”
“ถ้าไม่หยุด ก็อย่าให้ฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ฉันไม่อยากทำแล้ว”
“แกไม่มีทางเลือกเพราะแกข้าถึงต้องเป็นอย่างนี้”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะฉัน ไม่ใช่ ไม่ใช่ได้ยินมั้ย ไม่ใช่”
คำโต้ตอบดังอยู่ภายในบ้าน ด้านนอกเงียบวังเวง นกหากินกลางคืนบินโฉบผ่านหน้าบ้าน สีหราชนั่งคุดคู้อยู่ข้างโต๊ะติดหน้าต่าง ลมพัดเฉื่อยฉิว ความเย็นยะเยือกปะทะผิวกาย ก่อนจะกลับเข้าบ้าน เขาแวะซื้อข้าวกล่องได้ยินคนขายคุยกัน