บทย่อ
ความแค้นฝังรากลึกแม้กาลเวลาจะผ่านไปนาน 32 ปี การแก้แค้นนั้นก็ยังรอการชำระ
บทที่ 1 ขึ้น 8 ค่ำ
ชุดเจ้าสาวสีขาวราวกับปุยนุ่น ล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า สีขาวเด่นหนึ่งเดียวในคืนนี้ คืนแห่งความชื่นสุข คืนแห่งความสมหวังในความรัก คืนแห่งความปลื้มปีติของเจ้าสาวและเจ้าบ่าว
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คนหลายร้อย ในห้องโถงสุดหรูอลังการของโรงแรมระดับห้าดาวในเมืองใหญ่แห่งนี้ ท้องฟ้ากลับไร้ดวงดาวส่งมาแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว เมฆบดบังดวงจันทร์ครึ่งดวง รัศมีของแสงจึงมัวหมองหม่นไปในพริบตา
อากาศอบอ้าวคล้ายฝนกำลังเตรียมการถล่มเมืองให้ราบคาบ สามล้อถีบหมุนวงล้อเร็วขึ้นเมื่อลมเริ่มพัดกระโชกแรงกว่าเดิม พยายามเร่งความเร็วของการหมุน เพื่อหนีให้พ้นก้อนเมฆทะมึน
คืนนี้เป็นคืนที่มีดวงจันทร์ครึ่งดวง หากนับวันอย่างคนโบราณโดยไม่ต้องดูปฏิทินบอกวันข้างขึ้นข้างแรม ชาวบ้านก็จะรู้ว่า คืนนี้ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ ดวงจันทร์หรือพระจันทร์ครึ่งดวง อีก 7 วัน ดวงจันทร์จะเต็มดวง เมื่อดวงจันทร์เต็มดวง ผู้พบเห็นพลอยรู้สึกเย็นสบายไปกับแสงสว่างของดวงจันทร์ ยิ้มกับดวงจันทร์ดวงกลม ลอยเด่นบนท้องฟ้านั่นด้วย
สีหราชไม่อยากให้ถึงคืนนี้ อยากให้ผ่านเลยไปเป็นวันขึ้น 9 ค่ำ เขาจะหนีพ้นคืน 8 ค่ำได้หรือในเมื่อยิ่งพยายามหนีสิ่งนั้นกลับวิ่งตามติด ชี้ให้เขาเห็น ให้เขาทุกข์ทรมานกับคืนนี้ พระพุทธคุณช่วยเขาได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกาะติดตัวเขา ไม่ปล่อยให้เขามีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่บ้าง ทำไม ทำไม ทำไม
เขาตั้งคำถามทุกครั้ง เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นและเขาคือสื่อนำทางไปพบกับสิ่งนั้น เขาไม่อยากเห็นและรับรู้อีกแล้ว
วงล้อ 3 วง หมุนเร็วเพียงใดก็ไม่พ้นเม็ดฝนหล่นใส่คนขี่สามล้อ หลังคารถตรงผู้โดยสารนั่ง กระพือดังพรึบพรับ สีหราชกำลังหมดแรง ฝนหนาเม็ดสัมผัสแขน ใบหน้า เจ็บราวถูกเข็ม นับร้อยเล่มพันเล่มจิ้ม อีกนิดเดียวจะถึงบ้านพัก เขาโน้มตัวไม่ให้ต้านลมและเร่งเท้าเร็วขึ้นอีกครั้ง เหลืออีก 4 ช่วงเสาไฟฟ้าเท่านั้นจะถึงบ้านของเขาแล้ว คืนนี้คงไม่เห็นดวงจันทร์ครึ่งซีกแต่ฉับพลันทันใด ลมที่กำลังพัดรุนแรง เม็ดฝนกำลังหลั่งราวกับพายุเข้าก็หยุดลงชนิดขาดเม็ดอย่างไม่มีโปรยละอองหลงเหลือและเมฆหนาทึบเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ดวงจันทร์ครึ่งดวง สว่างขึ้นในนาทีนั้น
ช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ทั้งของคนมาร่วมงานและเจ้าของงาน บ่าวสาวจูงมือก้าวขึ้นเวที พิธีกรกำลังอ่านประวัติของเจ้าบ่าวคร่าว ๆ และจบลงด้วยเสียงตบมือดังก้องทั้งห้อง
“ทราบประวัติของเจ้าบ่าวไปแล้วนะครับ ทีนี้มารู้จักเจ้าสาวกันบ้างว่าเป็นใคร ทำไมจึงมารู้จักกับเจ้าบ่าวและทำอย่างไรจึงมัดหัวใจเจ้าบ่าวไว้ได้สำเร็จครับ เจ้าสาวชื่อนางสาว..”
เสียงพิธีกรขาดหายไปพร้อมกับไฟทุกดวงในห้องจัดเลี้ยงดับวูบ เสียงฮือดังแทนเสียงพิธีกร ใครบางคนตะโกนให้ออกจากห้องไปตามเจ้าหน้าที่ของโรงแรม บนเวทีไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ด้านล่างเดินไปมาวุ่นวาย
“ไฟดับได้ยังไง งานเสียหายหมด ใครรับผิดชอบงานนี้”
จบคำพูดนั้นไฟสว่างเหมือนกดเปิดสวิตช์ เสียงเฮดังขึ้น เสียงพูดคุยตามมา พิธีกรบนเวทีไม่ได้ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เคยยืน ไม่มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่บนเวทีอีกเช่นกัน
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวหายไปไหนแล้วล่ะ กลัวละสิ ขึ้นเวทีได้แล้ว พิธีกร ขึ้นเวทีได้แล้วครับ”
เสียงเพื่อนเจ้าบ่าวคนใดคนหนึ่งดังจากโต๊ะใกล้เวทีแต่บนเวทียังคงว่างเปล่า สายตาหลายร้อยคู่พุ่งไปยังเวที ความคิดแบ่งแยก หลายคนคิดว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวกลัว วิ่งลงจากเวทีหลบอยู่หลังเวทีและอีกหลายคนลุ้นว่าคู่บ่าวสาวหายไปไหน
เด็กเสิร์ฟหนุ่มอยู่ใกล้เวทีมากกว่าคนอื่น ๆ เพ่งมองรองเท้าสีดำโผล่พ้นม่านสีทอง ฉากหลังเวทีแสนสวย ใครไปนอนอยู่ตรงนั้น เจ้าบ่าวหรือพิธีกร ลักษณะรองเท้าไม่ใช่ของเจ้าสาวอย่างแน่นอน...
“เมื่อไหร่จะหยุดเสียที เมื่อไหร่ เมื่อไหร่ ฮือ หึ หึ ฮือ..เมื่อไหร่ ฮื่อ ๆ ๆ”
สามล้อถีบจอดสงบนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังเล็กท้ายซอย เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดดังออกมาจากตัวบ้าน นานหลายเดือนเสียงร้องไห้แว่ว ๆ นี้ที่ปิ่นแก้วไม่ได้ยิน คืนนี้ดังอีกแล้ว
หญิงสาวขยับตัวลุกนั่งบนเตียง ตั้งใจฟังเสียงร้องไห้ของใครสักคน เสียงนั้นเงียบไปแล้ว อาจเป็นตัวละครในจอทีวี เมื่อฉากโศกเศร้าเสียใจผ่านไป เสียงร้องไห้ก็พลอยเงียบไปด้วย หล่อนหูฝาดไป ไม่มีใครคร่ำครวญ เจ็บปวด นอกจากตัวละคร
“ตื่นให้มันเช้า ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ต้องให้ปลุกทุกที ใครจะอยากได้ไปเป็นเมียวะเนี่ย”
“โอ๋.แม่ก็ พูดซะหมดดีเลย หนูยังมีดีพอจะมีผัวได้นะแม่” หญิงสาวตอบโต้คำของคนมาปลุก
“ดู ๆ มันพูด ไม่อายปากบ้างรึไงหา..เป็นสาวเป็นแส้นะแกน่ะไอ้ปิ่น โน่น ไอ้เจ้าชายซาตานมารออยู่โน่น เร็ว ๆ ด้วย สงสัยหมอนี่ละมั้งรับมือแกได้น่ะ”
“โหแม่ เรียกซะน่ากลัวเชียว เดี๋ยวหมอนั่นได้ยิน กลายร่างเป็นซาตานขึ้นมาละก็ ต่างคนต่างหนีนะแม่”
“ไอ้นี่ พูดอะไร...”
กรองทองเสียวสันหลังขึ้นมาเฉย ๆ เมื่อคืนหล่อนได้ยินเสียงร้องไห้อีกแล้ว หลังจากไม่ได้ยินมานานหลายเดือนจนลืมไปแล้วว่ามีเสียงน่ากลัวนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของหล่อน บางครั้ง อยากให้หูตัวเองแว่วไปเองแต่ประพัฒน์ สามีของหล่อนได้ยินเช่นเดียวกัน เขาไม่กล้าเล่าให้หล่อนฟัง ไม่บอกว่าได้ยิน หล่อนเป็นฝ่ายเล่าให้เขาฟัง เขาจึงยอมรับว่าเสียงที่ได้ยินกลางดึกไม่ใช่หูแว่วแต่มีคนร้องไห้จริง ๆ