บทที่ 5 ลงมือ
“ปัง ปัง ปัง ปั้ง...”
“อ๊าย...”
ร่างบางเซถลาตามร่างสูงซึ่งพยายามฉุดให้วิ่งตาม เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้แต่พอเท้าก้าวพ้นชายคาร้านอาหารเท่านั้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันที รถกระบะสีดำพุ่งออกมาจากด้านใน กระจกด้านข้างคนขับลดลง ปลายกระบอกปืนเล็งมายังหนุ่มสาวที่เพิ่งออกมาจากร้าน
ความหิวของปิ่นแก้วไม่เหลือในความรู้สึก ท้องปั่นป่วนร้องขออาหารจากเจ้าของหยุดนิ่ง มือของหล่อนเย็นเฉียบ นี่เป็นครั้งแรกกับการหลบกระสุนปืนแบบพุ่งเข้าใส่อย่างตั้งใจของคนยิง
พีรวัสดึงร่างบางเข้ามากอดเมื่อตัวเขาหลบเข้าท้ายรถกระบะซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด เสียงล้อรถถอยเบียดพื้นลูกรังหินและเสียงเบรก เสียงปืนดังติดต่อกัน หน้าที่และการป้องกันตัวของนายตำรวจเริ่มขึ้น
“ปัง ปัง ปัง ปัง”
เสียงรถแล่นเข้ามาสองคัน เสียงรถที่ถอยมาแล่นออกไป เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ร่างในอ้อมกอดนิ่งไปพร้อมกับความเงียบ
“สารวัตร สารวัตร ปลอดภัยแล้วครับ”
วีรชนมองหาผู้บังคับบัญชาของเขาไม่พบจึงส่งเสียงให้ได้ยิน พีรวัสเห็นลูกน้องกับชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขายืนอยู่ข้างรถกระบะสีขาว รถอีกคันแล่นตามรถกระบะสีดำออกไป
“อยู่นี่ ไม่ต้องเรียกสารวัตร ชื่อมี”
พีรวัสหงุดหงิดลูกน้อง ผู้คนในร้านอาหารแตกตื่นวิ่งออกมาดูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อรถ 2 คันแล่นตามกันออกไป คันแรกรถผู้ร้าย คันที่สองรถตำรวจเหมือนในละครจึงเป็นจุดสนใจของคนอยากรู้อยากเห็น เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาเป็นสารวัตรประจำเมืองนี้
วีรชนมาช้าไปนาทีเดียว หากเร็วกว่านี้พวกมันไม่ทันลงมือและถ้ามาช้าเกินกว่านี้อีก 2 นาที สารวัตรพีรวัสจะยังดุเขาเสียงเครียดอย่างนี้อยู่อีกหรือเปล่าและเพื่อนรักของเขาจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาตอบไม่ได้จริง ๆ
“โอ.เค.สารวัตร เอ๊ย.พี่วัส โดนรึเปล่า ไอ้ปิ่น ลืมตาได้แล้วแก ขี้หดเลยมั้ย”
เขาทักเพื่อนซึ่งหลับตาปี๋อยู่ในอ้อมกอดของสารวัตรหนุ่มแต่เพื่อนสาวไม่เงยหน้ามาตอบและไม่ขยับตัวแต่อย่างใด พีรวัสดันตัวหล่อนออกห่างแล้วก็ต้องใจหาย
“เฮ้ย.ไอ้ปิ่น ไอ้ปิ่น”
วีรชนเห็นใบหน้าซีดขาวของปิ่นแก้ว คอหล่อนอ่อนพับไปด้านหลัง พีรวัสดึงตัวหล่อนกลับเข้ามาพิงไหล่เขาเช่นเดิม วีรชนช่วยประคองหล่อนลุกยืน
“พี่วัส พาไปบ้านพักพี่ก่อน ให้น้ากรองรู้ไม่ได้ คราวหน้าพี่ไม่ได้พาไอ้ปิ่นออกมาง่าย ๆ แน่ เผลอ ๆ ไอ้ปิ่นถูกสั่งให้ลาออกจากงานที่มันรักด้วย”
“ทำไม” พีรวัสขมวดคิ้วถาม
“ใครจะอยากให้ลูกสาวคนเดียวเสี่ยงกับลูกปืนละครับ ไม่น่าถาม” วีรชนตอบกวน ๆ
“ไอ้นี่...โอ๊ะ...”
คำพูดยียวนกวนโทสะของร้อยตำรวจตรีวีรชนเป็นเหตุให้พีรวัสยกแขนขึ้นทำทีจะชกหน้าเขาแต่พอยกแขนเลือดสีแดงสดหยดลงพื้น ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่หัวใจ วีรชนนิ่งไป รอยยิ้มยั่วโมโหจางหายไปในทันที
“พี่วัส...” หมวดหนุ่มเรียกหัวหน้าเสียงตกใจ
“ไม่เป็นไร” พีรวัสตอบเสียงเบา
“ไม่เป็นไรบ้าอะไรล่ะ พี่โอ๊ก พี่โอ๊ก ช่วยหน่อยพี่”
อัศนีรู้ว่าต้องทำอะไรบ้างกับคำร้องขอให้ช่วยของนายตำรวจรุ่นน้อง รถแล่นเข้ามาจอดบังสายตาของคนในร้านอาหาร ครู่เดียวรถก็แล่นออกไปตามด้วยรถสปอร์ตของพีรวัส สายตาของคนอยากรู้เรื่องมองตามท้ายรถทั้งสองคัน เสียงซุบซิบดังครู่เดียวก็เงียบไป
“หมอภัค อยู่ไหนครับ ช่วยพี่วัสด้วย”
วีรชนไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น เขาโทรศัพท์เข้ามือถือภัคจีรา แพทย์หญิงประจำโรงพยาบาลเมืองโกญจนาท หญิงสาวหลงรักสารวัตรพีรวัสเพียงแค่พบหน้าและรู้จักเขาเดือนเดียวก็ทุ่มเทหัวใจให้เขาแต่เขาทำตัวเช่นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นแม้รับรู้ว่าเขาไม่ปล่อยหัวใจให้กับหล่อน ความชอบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้นการขอความช่วยเหลือของวีรชนจึงไม่ใช่การขอแต่เป็นความเต็มใจช่วยของหมอภัคจีรา หล่อนรับตัวคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินและทำแผลให้เขาด้วยตัวเอง
“หมอภัค ผมไม่เป็นไร ช่วยดูคุณปิ่นให้ด้วยครับ”
คำพูดนั้นแสดงถึงความห่วงใยต่อคุณปิ่นโดยคนพูดไม่ทันระวังความรู้สึกผ่านออกมาทางน้ำเสียง วีรชนกับอัศนีไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ในขณะนี้อาจเป็นเพราะผู้ชายด้วยกันย่อมมองตากันรู้ลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจก็ได้ สองหนุ่มต่างวัยจึงนิ่งเพียงอย่างเดียว
“เธอไม่ได้ถูกยิงนี่คะ คุณต้องทำแผลด่วนค่ะ เดี๋ยวภัคจะให้น้องช่วยปฐมพยาบาลคุณปิ่นแก้วเองค่ะ”
น้ำเสียงไม่พอใจหญิงสาวหลับใหลบนเตียงคนไข้ในห้องฉุกเฉินเพียงประโยคแรก ๆ เท่านั้น ความเป็นหมออาชีพทำให้โทนเสียงท้ายอ่อนลง
“ค่อยยังชั่วหน่อยนึกว่าคุณหมอคนสวยจะเห็นพี่วัสเป็นคนเจ็บแค่คนเดียวซะอีก ไอ้ปิ่นเอ๋ยรอแป๊บนะเพื่อนหรือไม่แกก็รีบ ๆ ตื่นได้แล้ว ปลอดภัยแล้วไอ้เพื่อนบ้าแค่เสียงปืนแค่นี้ทำเป็นตกใจเป็นลมไปซะนี่ ใช่มั้ยครับหมอ เพื่อนผมมันใจเสาะใช่มั้ย” วีรชนแกล้งยั่วโมโหหมอสาว
“ฉันไม่มีความเห็น ถอยไป เกะกะทาง”
ทุกคำพูดของวีรชนขัดใจภัคจีราอย่างไร้สาเหตุใด ๆ ทั้งสิ้น สายตาของเขา คำพูดบางคำเหน็บแนมหล่อนให้โมโหทุกครั้ง เขาเกลียดหล่อนเพราะอะไร
การไล่ล่าสิ้นสุดลงเมื่อรถกระบะสีดำแล่นเลี้ยวลับหายไปกับกลุ่มฝุ่นสีน้ำตาลปนขาวนวล รถกระบะสีขาวจอดข้างถนน นาวินเพ่งสายตามองตามท้ายรถค่อย ๆ กลืนหายไปกับฝุ่นหนา
“ไม่ต้องเสี่ยงตาม มันอาจเป็นแผนรอจัดการเรา กลับบ้าน รอฟังข่าวจากพี่โอ๊ก”
นาวินหรือร้อยตำรวจโทนาวิน สายสืบไร้ที่มาทำงานร่วมกับทีมของอัศนีหรือร้อยตำรวจเอกอัศนีผู้ไม่ยอมใคร ลูกน้องสองสามคนเป็นตำรวจชั้นดีที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อมาตุภูมิ ระดับฝีมือของพวกเขาคัดแต่หัวกะทิมาเท่านั้นเพราะงานนี้ งานช้าง พวกเขาต้องล้มช้างให้ได้แม้ว่าช้างจะดุสักเพียงใดก็ตาม พวกเขาพร้อมแลกด้วยชีวิต