บท
ตั้งค่า

๕ แอบชอบแต่เขาไม่รู้ (๒)

“คุณย่าบอกพ่อว่าลูกไปกับธีม แล้วพี่เขาก็ส่งข้อความมารายงานตลอดพ่อเลยเบาใจ” ชื่อของเขาโผล่มาในบทสนทนา ทำเอาเริ่มรู้สึกร้อนที่หน้าจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง แสร้งทำท่าทีขึงขังผิดจากเมื่อครู่

“พ่อไว้ใจให้หนูไปกับคนแปลกหน้าได้ไง”

“แล้วลูกไว้ใจไปกับเขาได้ไงล่ะ” นั่นสิ...ทำไมเธอถึงไว้ใจไปกับเขาล่ะ

เพราะชายหนุ่มไม่เหมือนคนอื่น เว้นระยะห่างจากเธอชัดเจนและไม่หวังผลใด แถมยังดูเกลียดกันซะด้วยซ้ำ แต่นั่นมันยิ่งดึงดูดให้หล่อนอยากเข้าใกล้เขา

“ก็..เขาขับรถผ่าน เลยขอติดไปด้วยเฉยๆ” คนที่มองอยู่ไกลๆ อย่างหมื่นฟ้ารับรู้ถึงความผิดปกติของน้องสาว หล่อนเป็นคนระวังตัวและไม่ค่อยไปค้างอ้างแรมกับคนแปลกหน้า ที่จริงก็ตงิดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ไม่อยากฟันธงให้เจ็บใจซะเปล่า

เธอเพิ่งเจอธีมาครั้งแรก จะตกหลุมรักได้อย่างไร

เป็นไปไม่ได้หรอก...

คุณไรวินทร์จูงมือลูกสาวมานั่งที่ห้องรับแขก ท่านคิดว่าถึงเวลาที่ต้องพูดเรื่องสำคัญกันแล้ว ถึงจะอยากให้ลูกสาวพักและได้เวลาคิดทบทวน แต่พี่สาวของตนก็เร่งขอคำตอบจนไม่อาจประวิงเวลาได้ ร่างบางเดินตามบิดาแล้วนั่งลงข้างท่าน รับรู้ถึงมวลกดดันจากรอบข้าง

“เอาล่ะ เรามาคุยกันอย่างจริงจังดีกว่า” ถึงยังไม่พร้อมจะรับฟังแต่ก็ต้องฟัง เมื่อคืนเธองอแงกับธีมาจนอารมณ์เย็นลง และคิดเป็นเหตุผลมากขึ้นกว่าเดิม

หมื่นฟ้าเดินตามมานั่งโซฟาเดี่ยว กุมมือไว้ที่ตักแน่นพยายามไม่แสดงออกทางแววตาว่าไม่ต้องการให้เธอไป แค่เลือกไปอยู่ต่างจังหวัดก็เจ็บปวดมากพอแล้ว

แต่จะทำได้อย่างไรได้เล่า เมื่อเป็นการตัดสินใจของผู้ใหญ่ หรือถ้าทำได้ก็อยากบินไปเรียนที่ต่างประเทศเป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน

“พ่ออยากให้ลูกไปเรียนที่ต่างประเทศ คุณป้าเสนอจะออกทุนให้ทุกอย่าง ถ้าลูกกลัวว่าไปแล้วจะไม่มีความเป็นส่วนตัวป้าเขาก็เช่าห้องไว้ให้โดยเฉพาะเลยนะ เอกสารเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยก็มีครบ ลูกอยากเข้าเยลหรือโคลัมเบียก็ได้” ชื่อมหาวิทยาลัยในฝันถูกกล่าว เธอเบิกตากว้างแล้วเผยอปากค้าง

เป็นไปได้ยากมากที่เธอจะสามารถเข้าได้ ไรลินยาคงต้องใช้เวลาเกือบปีในการอ่านหนังสือเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

“คะ โค โคลัมเบียเหรอ มันยากมากนะพ่อ” ทำหน้าหงอเมื่อคิดว่าตนต้องสอบเข้ามอดัง

“พ่อบอกว่าถ้าลูกอยากเข้า ไม่ได้บังคับให้เข้าสักหน่อย หรือยูเล็กๆ ก็ได้พ่อไม่ได้ซีเรียสอะไร”

“พ่อไม่ซีเรียส แต่ป้าต้องซีแน่เลย” ถอนหายใจเมื่อคิดถึงคนเป็นป้า รายนั้นต้องเข้ามายุ่งกับเธอทุกเรื่อง ขนาดใส่สีถุงเท้าไม่เข้าชุดยังสั่งให้ไปเปลี่ยนเลย แค่คิดว่าต้องอยู่กับท่านสี่ปีก็ห่อเหี่ยวแล้ว

“ป้าเขาไม่ว่าอะไรหรอก พ่อพูดดักไว้ให้แล้ว” คุณป้าผู้ต้องการความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบน่ะเหรอจะฟัง เธอคิดออกเลยว่าท่านต้องกดดันให้เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวยอร์กแน่ ไม่งั้นก็ต้องอยู่ในไอวีลีก แค่คิดก็ต้องถอนหายใจไม่รู้กี่รอบ

รับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่พอ ยังต้องหาทางรับมือกับป้าของตัวเองอีก

“พ่ออยากให้หนูไปจริงๆ เหรอ พ่อจะไม่เห็นหน้าหนูตั้งสี่ปีเลยนะ” อ้อนตาแป๋ว เธอยังหวังว่าท่านจะเปลี่ยนใจยอมให้อยู่เมืองไทย แต่เหมือนคุณไรวินทร์จะทบทวนทุกอย่างมาดีแล้ว จึงยิ้มมุมปากแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาว

“ใครว่าไม่เห็น เดี๋ยวนี้วิดีโอคอลหากันได้ไม่รู้หรือไง ถ้าพ่อคิดถึงก็แค่โทรหา หรือถ้าช่วงไหนว่างพ่อก็จะบินไปหาลูก” ร่างบางถอนหายใจอย่างเสียดายเมื่อได้ยินท่านเอ่ย คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้สินะ

“หนูต้องตัดสินใจตอนนี้เลยเหรอ” เม้มปากแน่นเมื่อเอ่ยจบ กลัวว่าจะน้ำตาไหลอีกเมื่อคิดว่าตนต้องไปต่างประเทศ โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่าย เพื่อนหลายคนก็ใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยระดับโลก

มีแรงสนับสนุนจากครอบครัวมากมายแล้วหล่อนจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้จริงเหรอ มองมือของตนที่กุมเอาไว้พลางถอนหายใจ

“ใช่ ไม่มีเวลาแล้ว”

ดวงหน้าหวานเศร้าหมอง มองหน้าบิดาแล้วหันไปสบตาพี่ชายที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ เขาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำกลัวจะรั้งไม่ให้หล่อนไป เพราะเขาไม่ต้องการให้ไรลินยาจากตนไปไกลถึงอีกซีกโลก

“หนู...ไปก็ได้ค่ะ” คุณไรวินทร์ยิ้มอย่างพึงพอใจ ผิดจากลูกสาวที่น้ำตาคลออยากร้องไห้ เธอไม่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศสักนิด

“ดีแล้วลูก ดีแล้ว”

การตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ...มันจะดีจริงเหรอ

คุยกับบิดาเกี่ยวกับการเตรียมตัวเกือบสามชั่วโมง เธอต้องไปสอบทักษะทางภาษาอังกฤษและทำวีซ่า คุณป้าต้องการให้ไปเรียนภาษาที่นั่นหนึ่งปีค่อยต่อระดับมหาวิทยาลัย ทั้งยังมีติวเตอร์มาคอยช่วยเหลือให้คำปรึกษา

เงินของท่านบันดาลได้ทุกอย่างจริงๆ แต่เพราะมหาวิทยาลัยชั้นนำที่อยากเข้าไม่สามารถใช้เส้นสายใหญ่โตได้ หล่อนต้องขยันและพากเพียรด้วยตัวเอง

คิดจนปวดหัวจึงตัดสินใจมาบ้านของคุณย่าดารากาน อย่างน้อยอาหารอร่อยและขนมเลิศรสคงช่วยได้บ้าง หล่อนถอนหายใจขณะเดินเข้ามาห้องรับแขกในบ้านเรือนไทยประยุกต์หลังสีขาว เห็นแม่บ้านนั่งจัดดอกไม้และร้อยมาลัย จึงยกมือไหว้แล้วค้อมตัวเพื่อเข้ามาหาคุณย่าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา

“เป็นไงแม่ตัวดี หนีออกจากบ้านทำไม รู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน ถ้าไม่ใช่ธีมย่าคิดไม่ออกเลยว่าเราจะเป็นยังไง อย่าทำแบบนี้อีกนะลูก” คุณย่าลดหนังสือลงแล้วมองหลานสาวสุดที่รัก เธอรีบกอดเอวท่านเอาไว้แล้วซุกศีรษะเข้าที่ไหล่พลางถูไถไปมาอย่างออดอ้อน

“ไม่ทำแล้วค่ะคุณย่า ก็ตอนนั้นลินน้อยใจแล้วก็โมโหที่คุณพ่อจะให้ไปเรียนเมกานิคะ ลินไม่อยากไป คุณย่าช่วยพูดกับคุณพ่อให้หน่อยนะคะ คุณย่าขา” ขอร้องท่านเพื่อช่วยพูดอีกแรง คิดว่าอย่างไรคุณดารากานต้องช่วยเหลือหลานสาวอยู่แล้ว

“พ่อเขาเลือกทางที่ดีที่สุดให้เราตลอดไม่ใช่เหรอ ถ้าเขาคิดว่าดีสำหรับลินแล้ว ย่าจะทำอะไรได้”

แต่เหมือนท่านจะเข้าข้างบิดา หญิงสาวจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจและผละออก ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเที่ยงไม่รู้ถอนหายใจทิ้งไปเท่าไหร่

“คุณย่าไม่คิดถึงลินเหรอ ต้องไปเรียนต่อตั้งสี่ปีเลยนะคะ ตำแหน่งหลานคนโปรดของลินจะหายไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” ทำหน้างอจนเหล่าแม่บ้านอมยิ้มด้วยความเอ็นดูกันเป็นแถบ เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กใครบ้างจะไม่คิดถึงคุณหนูลินแสนซุกซน

“โธ่แม่คุณ ตำแหน่งนี้เราครองที่หนึ่งมาตลอดนั้นแหละจ้ะ” เอ็นดูที่สุดแล้วหลานคนนี้เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ จะขัดใจบ้างก็ตรงไม่ได้คนสืบทอดการร้อยมาลัยและทำอาหาร เพราะอีกฝ่ายค้านเสียงแข็งว่าไม่อยากเรียน บังคับไปก็เท่านั้นเพราะไรลินยาหนีหน้ากว่าสัปดาห์

ร้ายนักเด็กคนนี้

เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในเขตรั้วบ้าน แล้วจอดตรงโรงรถค่อยยกมือไหว้คนสวนที่เข้ามาหาพอดี ไม่คิดว่าหลานชายของคุณดารากานจะมาเวลานี้ ปกติถ้าไม่เป็นช่วงเช้าก็มักมารับประทานอาหารตอนเย็น

ร่างหนาเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้าน เลี้ยวไปยังห้องโถงใหญ่ที่คุณย่าและบรรดาแม่บ้านกำลังนั่งร้อยมาลัย ส่วนคุณป้าแม่ครัวก็กำลังง่วนอยู่หน้าเตาเพื่อทำอาหารเที่ยงแสนอร่อย

การเข้ามาใหม่ของหลานชายคนโปรดทำให้คุณย่ายิ้มแก้มปริ ขณะที่ไรลินยาก็เม้มปากแน่นพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ แสร้งทำหน้าเหมือนไม่ยินดีกับการมาของเขา ทั้งที่อยากคุยกับชายหนุ่มใจจะขาด

อีกไม่นานก็จะไปต่างประเทศ คงไม่มีโอกาสเห็นหน้าเขาบ่อย ไม่รู้ว่าจะขอช่องทางการติดต่ออย่างไรไม่ให้น่าเกลียด

“สวัสดีครับคุณย่า” ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วนั่งโซฟาเดี่ยวเยื้องกับท่าน และเขาก็ยังเมินหล่อนเช่นเดิมทั้งที่เมื่อวานยังพูดปลอบกันอยู่เลย ไรลินยาหน้าบึ้งเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะทักตนเองสักคำ

ยังคงเห็นหล่อนเป็นวิญญาณเหมือนเดิมสินะ

“วันนี้ว่างมากินข้าวเที่ยงกับย่าใช่ไหม” ปกติหลานชายมักจะมาช่วงเช้า หรือเป็นตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่ก็นานครั้งถึงจะมากินข้าวด้วย เพราะงานที่บริษัทค่อนข้างเยอะ เพิ่งมาใหม่ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรจึงต้องพิสูจน์ตัวเอง

“ว่างครับ” เขามาวันนี้ก็เรื่องงาน จึงปลีกจากเอกสารกองเป็นตั้งเพื่อคุยกับคุณย่า เขาต้องการแรงสนับสนุนจากท่าน และคนของท่านที่อยู่บริษัทเพื่อต่อรองกับบิดาที่อยากได้หุ้นของเขา

พ่อลูกกลายเป็นไม่ลงรอยกัน ถึงท่านจะเป็นประธานแต่หุ้นใหญ่กลับเป็นของรองประธาน เกมการเมืองในบริษัทจึงเริ่มต้นขึ้น

“ดีเลย หลานคนโปรดของย่าทั้งสองมากินข้าวด้วย สงสัยวันนี้ฝนจะตกแรง พายุเข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้” เอ่ยล้อจนร่างบางต้องกอดแขนท่านแล้วทำหน้างอ ไม่วายเหลือบไปมองร่างสูงที่นั่งตัวตรงทำหน้านิ่งเหมือนไม่แยแสโลก

“คุณย่าพูดเหมือนลินมาไม่บ่อย ลินมาบ่อยกว่าคนบางคนอีกค่ะ” ย้ำชัดเจนแต่คุณดารากานกลับทำหน้าสงสัย

“คนบางคนนี่ใครจ๊ะ” ธีมาไม่ชอบใจที่ถูกเธอพูดกระทบ จากที่ไม่มองก็ต้องหันมาจ้องเอาเรื่อง

“ใครก็ไม่รู้ค่ะ ลินก็ไม่อยากเอ่ยถึงเหมือนกัน” แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่สนใจ ลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เล่นเอาคนอายุมากกว่าไม่ชอบใจจนต้องตอกกลับบ้าง

“แต่เมื่อกี้เธอพูดนะ”

“แค่พูดลอยๆ ไม่ได้เจาะจงสักหน่อย” กอดแขนคุณย่าเอาไว้ แล้วต่อปากต่อคำกับเขาไม่หยุด ไม่สนใจเรื่องมารยาทสักนิด

คุณดารากานมองหลานทั้งสองที่ทะเลาะกันเป็นเด็ก ท่านไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ลงรอยของสองหนุ่มสาว

“เจตนาก็เห็นอยู่”

“เห็นอะไร เป็นอับดุลหรือไงทายใจคนอื่นออก”

“อย่างเธอไม่ต้องทายก็เห็นหมดไส้หมดพุง”

“นี่!” เกือบลุกขึ้นไปเอาเรื่องแล้วถ้าไม่ได้คุณย่าจับแขนของหลานสาวไว้เสียก่อน หล่อนมองเขาอย่างโมโหที่โดนตอกกลับทุกคำ แถมยังทำหน้านิ่งอีก เห็นแล้วมันแค้นจนอยากลุกไปหยิกแก้มหนาสักทีจริงๆ

“พอแล้วๆ ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้” ท่านกลายเป็นคนกลางที่ต้องสงบศึกหลานทั้งสอง ไรลินยาชวนทะเลาะท่านพอเข้าใจเพราะเป็นเด็กนิสัยหุนหันพลันแล่น แต่ธีมาที่อายุมากกว่าแถมมองภายนอกยังสุขุม

เหตุใดจึงต่อปากต่อคำกับเด็ก...

หรือบางทีเขาอาจจะคิดถึงตอนที่ตัวเองยังไม่มีภาระหนักอึ้งบนบ่า และเป็นแค่เพียงเด็กชายธีมาช่างอ้อนของคุณย่า

“ลินไม่ได้เริ่มก่อน”

“ใครเริ่มก่อนก็เห็นกันอยู่ชัดๆ”

“เอาล่ะ ย่าหิวแล้วเราไปกินข้าวกันเถอะ” ยังไม่วายทะเลาะกันจนคุณย่าต้องปรามเดี๋ยวไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยงกันพอดี

มานั่งยังห้องรับประทานอาหารทุกอย่างก็พร้อม เธอนั่งข้างซ้ายส่วนเขานั่งฝั่งขวาทำให้ต้องนั่งตรงข้ามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยมีคุณย่านั่งอยู่หัวโต๊ะ

หญิงสาวกินข้าวด้วยความเนือย ทั้งที่ก่อนมาก็อยากอาหาร แต่พอกินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มน้ำตารื้นไม่อยากจากไปไกล จนคุณย่าที่สังเกตเห็นต้องตักหมูทอดของโปรดให้หล่อน แล้วถามเสียงเรียบ

“ก่อนไปอยากได้อะไรหรือเปล่า ให้ย่าเตรียมให้เราไหม”

“ยังคิดไม่ออกเลยค่ะว่าอยากได้อะไร...แต่ที่คิดออกคือไม่อยากไป” เคี้ยวข้าวไม่ยอมกลืนสักที ทำทุกอย่างด้วยความเชื่องช้า

“ตัดสินใจบอกพ่อเขาว่าจะไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“โธ่คุณย่าคะ ก็ลินไม่อยากไปจริงๆ นิคะ ถ้าคุณพ่อไม่บังคับจ้างให้ลินก็ไม่ไปหรอกค่ะ อยู่ที่นี่กับคุณย่า..ดีกว่า” เหลือบมองคนนั่งตรงข้ามแล้วพูดเสียงเบา ยิ่งคิดว่าใกล้ถึงวันที่ต้องไปเรียนต่อก็อยากยืดหนึ่งวันให้มีสามสิบชั่วโมง

อยากอยู่กับธีมาอีกหน่อย...แค่หนึ่งนาทีก็ยังดี

“ตัดสินใจไปแล้วเขาให้เดินหน้า จะถอยไปถอยกลับก็ย่ำอยู่ที่เดิม” เขาพูดกับเธอเสียงเรียบเหมือนไม่ใส่ใจ แต่หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่ใหญ่แล้วค่อยตอบกลับเสียงเบา

“นั่นสินะ”

คงมีแค่เธอเท่านั้นที่คิดถึงเขาฝ่ายเดียว เพราะดูเหมือนธีมาจะไม่ได้คิดถึงหล่อนสักนิด

ลืมไปเสียสนิทว่าเขาเกลียดเธอ..ไม่ได้รักสักนิด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel