๔ อารมณ์ที่ผันแปร (๒)
แต่ชาวต่างชาติก็ไม่แพ้กัน ประโคมเพชรจนแสบตา ทำให้หล่อนต้องหาข้ออ้างอยู่บ้านอ่านหนังสือ มากกว่าจะไปไหนกับคนเป็นป้า
“กว่าฉันจะอ่านหนังสือสอบเข้ามหา’ลัยเดียวกับพ่อแล้วก็พี่ได้ มันไม่ง่ายเลยนะ เตรียมตัวตั้งแต่มอสี่กับเกรดเฉลี่ยไม่ให้ต่ำกว่าสามจุดเก้า ฉันน่ะ..พยายามมากจริงๆ นะ แต่ทำไมพ่อต้องให้ฉันไปเรียนที่อื่นด้วย ฉันไม่อยากไป ฉันอยากอยู่ไทย”
น้ำตาคลอขณะที่คิดถึงความยากลำบากในช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา อ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง สละเวลาเที่ยวเล่นเพื่อจะได้ทำให้ครอบครัวภูมิใจ แต่ก็ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อไปต่างประเทศตามที่บิดาต้องการอย่างนั้นเหรอ
ซุกหน้าลงที่พลางปล่อยน้ำตาให้ไหล พวกเขานั่งอยู่อย่างนั้นหลายนาทีโดยที่ธีมาไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่เธอเล่า
จนหญิงสาวต้องเช็ดน้ำตาแล้วหันมามองหน้าเขา อยากรู้ว่าชายหนุ่มทำหน้าอย่างไร จะสงสารหรือสมน้ำหน้าเธอกันแน่ แต่กลับพบดวงหน้าคมที่เรียบเฉย ทว่าแววตากลับสั่นไหว
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” ปกติคนที่นั่งน่าจะพูดปลอบให้ใจเย็นลงหน่อย แต่ธีมาเลือกจะเงียบจนกลายเป็นเธอที่หายงอแงเอง
“เธอแค่อยากได้คนรับฟังไม่ใช่เหรอ อีกอย่างฉันปลอบใครไม่เป็น” นั่นสินะ...ถ้าเขามานั่งปลอบเธอคงแปลกพิลึก
หญิงสาวพยักหน้าตามคำพูดของอีกฝ่าย เธอนั่งมองคลื่นที่กำลังกลืนกินหาดทราย เพิ่มระดับความสูงมาเรื่อยๆ
สับสนกับสิ่งที่ต้องเจอ ไม่รู้ว่าตนเองควรเลือกทางไหนถึงจะถูกต้อง ไรลินยาไม่เคยเรียกอะไรจากบิดาเลยตั้งแต่มารดาเสียไป เป็นลูกสาวที่น่ารักมาเสมอ เพราะกลัวว่าถ้าวันหนึ่งท่านมีลูกใหม่เธออาจจะตกกระป๋อง
แต่ดีที่คุณไรวินทร์ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาแทนที่ภรรยาเก่า เขายังรักเธอเสมอเหมือนวันที่เจอกันครั้งแรก ถึงแม้หล่อนจะจากไปในที่แสนไกลนานแล้วก็ตาม
“แล้วคุณคิดว่าฉันควรไปไหม” ถามความเห็นคนอาบน้ำร้อนมาก่อน เธอยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไร
“ฉันไม่รู้ เรื่องนี้เธอต้องเป็นคนตัดสินใจเอง” แล้วความเงียบก็ปกคลุมระหว่างพวกเขา ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นมาปล่อยให้เสียงคลื่นและเสียงเพลงทำหน้าที่ของมัน
กระทั่งธีมานึกถึงอดีตของตัวเอง เขากำลังพาความคิดล่องลอยย้อนกลับไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน มันเคยตามหลอกหลอนอยู่ช่วงหนึ่งแล้วถูกฝังเอาไว้ในความทรงจำลึกๆ
“ฉันไปเมกาครั้งแรกตอนสิบขวบ ฉันฟังคนอื่นพูดไม่ออก จะพูดกับเขาก็ไม่รู้เรื่อง ต้องอยู่คนเดียวปีกว่าโดยไม่มีเพื่อน ไม่ได้พูดกับใครนอกจากเวลาต้องออกไปพูดหน้าชั้นเรียน ฉันโดนล้อโดนแกล้งแทบทุกวันแต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้นเป็นแค่เด็กเอเชียตาตี่ตัวเล็ก”
อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องของตัวเอง กลายเป็นว่าเธอหันมามองเขาแล้วตั้งใจฟัง เหมือนเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่กำลังเล่านิทาน ดวงตากลมมองใบหน้าหล่อที่ตนหลงใหล ใช้ข้ออ้างว่ากำลังฟังเขาเล่าเรื่องในอดีตต่างหากถึงได้มองหน้า
ธีมาตอนเด็กโดนรังแกนับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำอะไรไม่ได้ พวกนั้นคนเยอะถึงเขาต่อสู้ไปก็มีแต่แพ้ จึงก้มหน้ารับชะตากรรมทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
คิดถึงบ้านที่ไทย คิดถึงคุณย่า คิดถึงเพื่อนที่เรียนด้วยกันแต่ก็ไม่สามารถติดต่อคนเหล่านั้นได้เลย เขาทำเพียงเขียนระบายความรู้สึกในไดอารี่
“ฉันร้องไห้ทุกวัน ขอแม่กลับไทยตลอดแต่ท่านก็ปฏิเสธแล้วบอกให้ฉันทนอยู่ไปเดี๋ยวก็ชินเอง ฉันไม่เข้าใจอะไรสักอย่างพาลเกลียดแม่ ใช้คำพูดร้ายกาจกับท่านเหมือนต้องการระบายอารมณ์ที่เจอจากโรงเรียน จนวันที่ฉันเห็นแม่แอบไปร้องไห้คนเดียวในครัว..” แค่คิดถึงก้อนสะอื้นก็จุกอกจนพูดไม่ออก ยังจำได้ไม่ลืมที่มารดาต้องปิดปากร้องไห้แล้วทรุดตัวลงในห้องครัวไม่อยากให้เขาได้ยิน
ท่านเองก็คงลำบากไม่น้อยที่ต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เริ่มต้นใหม่ทั้งหมดเพียงลำพังกับลูกชายหนึ่งคน แถมเขายังเย็นชาและระเบิดอารมณ์ใส่ตลอด
ธีมารู้สึกผิดจนถึงวันนี้ แม้ท่านจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม...
“คุณนี่ก็ชั่วเหมือนกันนะ” พึมพำกับตัวเองแต่เพราะอยู่ใกล้กันเขาเลยได้ยินชัดเจน เจอตาคมมองขวางก็รีบปิดปากแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย
“แหะๆ ขอโทษทีพอดีมันพลั้งปากไปหน่อย” รีบเงียบเพื่อรอฟังเขาพูดอีก ธีมาถอนหายใจแล้วนิ่งไปสักพักเพราะอารมณ์ถูกตัดจากคนนั่งข้างกาย
“ฉันก็เลยฮึดสู้แล้วเอาชนะความกลัวของตัว ใช้เวลาปรับตัวสองปีเต็มๆ ถึงกล้าพูดคุยกับคนอื่น ฉันขยับจากเด็กหลังห้องมาเรียนหน้าห้อง ไม่สนใจใครเอาแต่ก้มหน้าเรียนรู้ตัวอีกทีก็จบมหา’ลัยแล้ว” ชีวิตของเขาเรียบง่ายจนจืดชืดไร้ชีวิตชีวา เพื่อนเคยชวนไปปาร์ตี้ก็ไม่ไปเพราะอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ไม่อย่างนั้นก็ช่วยแม่ทำงานร้านอาหาร
คำว่าสนุกมันได้ตายไปจากเขาตั้งแต่ออกจากเมืองไทย
“คิดว่าชีวิตฉันต้องดีกว่าเดิม อย่างน้อยก็ต้องทัดเทียมหรือมากกว่าคนที่ไล่ฉันกับแม่ไปต่างประเทศ” กำมือแน่นเมื่อโตขึ้นพอจะรับรู้เรื่องทุกอย่าง การที่เขากลับมาเมืองไทยตามคำขอร้องของคุณย่า ไม่ใช่เพียงกอบกู้บริษัท
แต่เพื่อทำให้คนที่นั่งชูคออยู่บนหอคอยได้รับกรรมที่เคยก่อเอาไว้ ตอนนั้นเขายังเด็กอาจจะไม่รู้อะไรมาก สู้กลับก็ไม่ได้
พอมาตอนนี้ตนไม่ใช่เด็กชายธีมาคนเดิมแล้ว แต่เป็นถึงรองประธานบริษัทและผู้ถือหุ้นสูงสุด การจะกำจัดใครไม่ใช่เรื่องยาก
ทว่าอาจจะต้องใช้เวลานิดหนึ่งเพื่อให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทางเสียก่อน
“เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะ” เห็นดวงตาคมวาววับก็เอ่ยตามความคิด ซึ่งร่างสูงไม่ได้ต่อความหรือพูดอธิบายอะไรอีก
“ได้ระบายออกแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือยัง” ดูเวลาเห็นว่าเกือบห้าทุ่มแล้ว และมันก็ดึกจนเขารู้สึกง่วง ไหนพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อกลับเมืองหลวงอีก
พอได้พูดในสิ่งที่เก็บมานานออกไป...ก็โล่งดีเหมือนกันนะ
“ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ดีขึ้นก็กลับ”
“ฉันยังไม่อยากกลับนี่นา” ปฏิเสธเสียงแข็งเมื่อเห็นเขาลุกยืน หล่อนกระชับเสื้อสูทเอาไว้ไม่ยอมคืนอีกฝ่าย กลิ่นหอมจากเสื้อหนายังโชยมาให้สูดดม พลันใจดวงน้อยก็เต้นแรงมากกว่าเดิม ถึงไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับแล้วล่ะ
ว่าเธอกำลังตกหลุมรักธีมาเข้าให้แล้ว
“เธอคิดว่าตอนนี้มันกี่โมง พรุ่งนี้ฉันมีงานแต่เช้าด้วย รีบลุกขึ้นมาจะได้พาไปโรงแรมที่จองไว้” เดินไปยังรถยนต์ไม่สนใจคนที่กำลังลุกขึ้นเมื่อได้ยินว่าเขาไม่ได้จะพากลับบ้าน แต่พาไปที่พักต่างหาก
“คุณจองโรงแรมไว้แล้วเหรอ ... โอเค ไปนอนโรงแรมกัน” วิ่งมาหาเขาเพื่อให้เดินข้างกัน ชายหนุ่มชะงักกับคำพูดของหล่อน
“เธอนี่ชอบพูดจากำกวมนะ” คนฟังถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อนคงคิดไปไกล
“กำกวมตรงไหน คุณคิดอะไรทะลึ่งกับฉันเหรอ” แสร้งยกมือกอดตัวเองจนเขาต้องส่ายหน้าระอา แล้วขึ้นมานั่งบนรถตำแหน่งคนขับ
เธอมองตามแล้วก็แอบยิ้มมีความสุข แค่ต้องการแหย่เขาเล่นเท่านั้นเอง ค่อยขึ้นไปนั่งข้างคนขับแล้วออกจากริมหาดเพื่อไปยังสถานที่พักยามค่ำคืน
แต่ระหว่างทางเขาก็แวะซื้อเสื้อผ้าให้เธอก่อน โดยหญิงสาวบอกจะนั่งรอบนรถเพราะตอนนี้เปียกไปหมดไม่อยากขยับกายมากนัก เบาะของเขาเปียกน้ำไปหมด แต่ร่างสูงก็ไม่ได้สนใจเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้คนเอาไปทำความสะอาดก็ได้
“เอาไป” เลือกซื้อเสื้อผ้าเสร็จก็วางบนตักของเธอ ก่อนเคลื่อนรถไปที่โรงแรมหรูห้าดาวซึ่งเขาได้ทำการสั่งเลขาให้จองไว้สองห้อง
แค่เปิดถุงออกมาก็เจอชุดนอนหนึ่งตัวและเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นยางยืดอีกหนึ่งตัว แต่ที่เซอร์ไพรส์มากกว่านั้นคือสิ่งของจำเป็นสำหรับหญิงสาวมากกว่า หล่อนหยิบเสื้อชั้นในออกมาดูให้ชัดว่าตนไม่ได้ตาฝาด
“อุ้ย มีชุดชั้นในด้วยเหรอ สีขาวซะด้วยคุณชอบโทนสีอ่อนสินะ” ธีมาหน้าแดงก่ำ ไม่คิดว่าหล่อนจะพูดต่อหน้าเขา ผู้หญิงส่วนมากมักเขินอายเวลาผู้ชายซื้อของแบบนี้ให้ไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมไรลินยาถึงมีปฏิกิริยาแตกต่างออกไปล่ะ เขาเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบอะไร มือกำพวงมาลัยแล้วเหยียบคันเร่งเพื่อให้ถึงโรงแรมที่หมายเร็วที่สุด
“ขนาดพอดีเลย คุณรู้ไซส์นมฉันได้ไง” ถึงกับสำลักน้ำลายตอนหล่อนนำเสื้อชั้นในมาทาบกับหน้าอกของตัวเอง แถมยังถามเขาหน้าซื่อตาใสอีกต่างหาก
เธอไม่อาย แต่เขาเริ่มอายแทนแล้ว
“ไม่ต้องพูดมากได้ไหม นั่งเงียบๆ ทีเถอะขอร้องล่ะ” แทบจะหมดความอดทนกับเธอแล้ว จนไรลินยาต้องเก็บเสื้อชั้นในลงถุงไม่ให้เขาอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ผู้ชายอะไรไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย แค่หยอกเล่นนิดหน่อยก็ไม่ได้
“แค่นี้ไม่เห็นต้องอาย มันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงกับผู้ชาย ทำอย่างกับคุณเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ไม่เคยปลดเสื้อในใครอย่างนั้นแหละ” ล้อเลียนเขาถึงเรื่องใต้สะดือ แต่กลายเป็นว่าร่างหนาเลือกตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทางก่อนจะจอดรถนิ่งสนิท
“พูดบ่อยนี่อยากลองเหรอ จะลองดูไหมล่ะ” ค่อยหันมามองหล่อนแล้วจับพนักพิงเบาะเอาไว้ โน้มหน้าเข้าไปหาไรลินยาด้วยสายตาเอาจริง ร่างบางเริ่มใจเต้นแรงยามสบตากับเขา จากพูดเป็นต่อยหอยก็เงียบพลางเม้มปากเอาไว้แน่น
มือเล็กกำเข้าหากันขณะที่ห่อไหล่เล็กน้อย อากาศไม่หนาวสักนิดเพราะมีเสื้อสูทคลุมกายเอาไว้ แต่มันกลับให้ความรู้สึกร้อนมากกว่า จนเหมือนมีเหงื่อออกใบหน้า
“มะ ไม่” ตอบเสียงสั่นพลางส่ายศีรษะ เธอพยายามเอนกายหลบตอนที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้
นี่มันบ้าไปแล้ว เขากำลังทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเธอไม่ปกติ มันเร็วจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว
“ทีหลังก็อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นอีก ถ้าไม่ใช่ฉันป่านนี้เธอไม่รอดกลับบ้านหรอก” ผละออกแล้วหันมาจับพวงมาลัย ขับไปยังโรงแรมที่จองห้องเอาไว้อย่างรวดเร็ว ปล่อยร่างบางให้นั่งหน้าแดงอยู่เพียงลำพัง
หล่อนยกมือขึ้นจับตำแหน่งหัวใจ พบว่ามันเต้นระส่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ขนาดเขาแค่เล่นหล่อนยังเผลอไผลไปด้วย
ถ้าธีมาเอาจริงล่ะ...
“ก็ไม่อยากรอดสักหน่อย” พูดเสียงเบากับตัวเอง เพราะลึกในใจแล้วเธอก็อยากลองดูสักครั้งเหมือนกัน อายุพ้นวัยผู้เยาว์ถึงอย่างไรคนข้างกายก็คงไม่ถูกจับ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ทำอะไรเธอน่ะสิ
ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หญิงสาวจมกับความคิดของตัวเอง ที่ออกมาจากบ้านก็เพื่อประวิงเวลาในการทบทวน ถ้าต้องไปเรียนต่างประเทศ 4 ปีมันถือเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานพอสมควร
เธอไม่อยากไป ไม่อยากไปสักนิด
“คุณคิดว่าฉันควรไปเรียนต่อต่างประเทศไหม” ขอความคิดเห็นจากคนที่เคยผ่านเรื่องราวคล้ายกันมาก่อน หญิงสาวไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวคนเดียว
“เธอคิดว่ายังไงล่ะ”
“ฉันไม่อยากไป” ส่ายหน้าแล้วบอกความต้องการของตนเอง เธอไม่อยากจากบ้านไปไกล ต้องอยู่คนเดียวในสถานที่แตกต่าง
ไม่เคยอยากไป ไม่คิดจะไปเลยสักนิด
“ลองชั่งน้ำหนักคิดเผื่ออนาคตก็ได้ อันไหนมันจะสามารถไปได้ไกลกว่ากัน” ตอบตามความคิดทำให้หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก หล่อนนั่งเงียบแล้วมองมือตนเองที่จับกันแน่นอยู่บนหน้าตัก ค่อยเหลือบมองข้างกาย
“แล้วถ้าฉันไป คนทางนี้จะลืมฉันหรือเปล่า”
“ถ้าเขาเห็นเธอเป็นคนสำคัญ เขาจะไม่มีทางลืมเธอเด็ดขาด” เสียงหนักแน่นไม่ทำให้ใจของหล่อนเชื่อสักนิด ไรลินยามองเขาไม่คลาดเคลื่อนแล้วถามในสิ่งที่ตนเองอยากรู้
“แล้วคุณจะลืมฉันไหม” นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่เธอกลัว ถึงจะเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งทว่ากลับผูกพันไปเสียแล้ว กลัวระยะเวลาที่เนิ่นนานจะทำให้ธีมาลืมเลือนตนไปในที่สุด แล้วเป็นเพียงแค่น้องสาวข้างบ้านคนหนึ่ง
ร่างหนาเหลือบมองหล่อนแล้วเงียบไปสักพัก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร เมื่อความรู้สึกที่มีต่อเธอ
“ไม่รู้”
คือเห็นไรลินยาเป็นเพียงหลานสาวคนหนึ่งของคุณย่าเท่านั้นเอง