๔ อารมณ์ที่ผันแปร (๑)
๔
อารมณ์ที่ผันแปร
จุดหมายยังไม่ทราบว่าเป็นที่ใดเพราะหล่อนเอาแต่เหม่อมองนอกกระจก ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงเบาไม่รู้ว่าต้องพาคนใจลอยไปไหน เขาอยากกลับไปพักผ่อนจะแย่เพราะประชุมมาทั้งวัน ใช้สมองจนล้าเลยอยากล้มตัวลงนอน
ขับรถออกจากหมู่บ้านแล้วตรงไปเรื่อยก่อนจะเลี้ยวกลับมาทางเดิม คิดว่าเธอคงอยากพักผ่อนสักสามสิบนาทีแล้วค่อยกลับบ้าน
“เอ๊ะ นี่ทางเข้าหมู่บ้านนิ” พอเห็นชื่อของหมู่บ้านก็รีบท้วงทันที หล่อนจ้องเขาตาเขม็งจนชายหนุ่มต้องขับผ่านไม่เลี้ยวเข้าไป ไม่อย่างนั้นคาดว่าหล่อนคงได้ฉีกเนื้อตนเป็นชิ้น
ธีมาไม่รู้วิธีรับมือคนอายุน้อยกว่า แถมยังเป็นเด็กคนโปรดของคุณย่าอีกต่างหาก เขาจำเธอไม่ได้เพราะเจอครั้งล่าสุดเด็กหญิงเพิ่งจะอายุไม่ถึงเดือน แน่นอนว่ามันผ่านมานานแล้วจนลืมเลือน
พอเจออีกครั้งเด็กคนนั้นก็เติบใหญ่เป็นสาวที่สะกดสายตาของชายหลายคน...
“ฉันไม่กลับบ้านนะ ฉันไม่อยากกลับ” เริ่มงอแงน้ำตาคลอ หนุ่มหล่อหันไปเห็นก็ถอนหายใจ เขาไม่ชอบน้ำตาของผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่เหมือนกำลังจะแตกสลาย
“แต่ฉันอยากกลับ ถ้าเธอไม่อยากกลับก็ไปหารถคันอื่น” บอกเสียงขรึม แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ยังเลือกจะตามใจหญิงสาวโดยการขับตรงไปข้างหน้า โดยไม่รู้จุดหมายว่าเป็นที่ใด เหมือนหล่อนต้องการออกจากบ้านเพื่อให้หายเครียด
แต่มันเกี่ยวอะไรกับเขากันล่ะ เพิ่งรับประทานอาหารเย็นกับคุณย่าเสร็จก็ต้องโดนลากไปไหนก็ไม่รู้ เลือกอะไรไม่ได้สักอย่าง
เจอเธอทีไรมีแต่เรื่องทุกที
“ไม่! ขึ้นคันอื่นมันไม่ปลอดภัย” ปฏิเสธพลางกอดอกมองทางข้างหน้า เธอจะต้องจับตาดูเขาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเลี้ยวรถกลับ
“แล้วอยู่กับฉันปลอดภัยมากหรือไง” เจอคำถามนี้ก็นิ่งคิดไปสักพัก
นั่นสิ...ทำไมเธอถึงคิดว่าอยู่กับธีมาจะปลอดภัยล่ะ เขาต่างจากผู้ชายคนอื่นที่เห็นหล่อนเป็นเพียงเครื่องสนองความใคร่อย่างไร
“อย่างน้อยคุณก็เกลียดฉัน คงไม่ทำอะไรฉันหรอก” พูดเองก็รู้สึกแปลบในอก หล่อนผินมองนอกหน้าต่างเพื่อปิดบังแววตาสั่นไหว ถึงจะบอกว่าเกลียดเขาแต่ไรลินยารู้ใจตัวเองดีว่าไม่ได้คิดอย่างที่พูด
เพิ่งรู้ว่าตนเองเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายแสดงชัดเจนว่าไม่ชอบเธอ จะให้ทำเหมือนชอบเขามันก็เสียศักดิ์ศรีเกินไป
“เธอเชื่อใจผู้ชายมากเกินไป สัญชาตญาณดิบมันไม่เข้าใครออกใครหรอก” ตอบเสียงนิ่งขณะแตะเบรกเมื่อพบไฟแดง
“แล้วคุณจะเอาฉันไหม” หล่อนมองเขาแล้วถามเสียงเรียบ แต่กลายเป็นธีมาสะดุ้งกับประโยคนั้นจนต้องหันมาจ้องคนอายุน้อยกว่าด้วยแววตาเอาเรื่อง
“นี่! ก่อนพูดอะไรช่วยคิดได้ไหมว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า” เป็นสาวเป็นแส้ไม่นึกว่าหล่อนจะกล้าพูดตรงจนเขาเองกระอักกระอวน บรรยากาศระหว่างเรามันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ เขาเว้นระยะเอาไว้ชัดเจนว่าหล่อนเป็นเพียงน้องสาวบ้านใกล้เรือนเคียง และเป็นหลานอีกคนของคุณย่าเช่นกัน
ไม่เคยคิดเกินเลยมากกว่านั้น...
“ฉันแค่ถาม คุณอยากได้ฉันไหมล่ะ” เมื่อเห็นชายหนุ่มมีท่าทีตระหนกก็แกล้งเย้า เริ่มสนุกกับการได้เห็นเขาอารมณ์เสียเพราะคำพูดของตน น่ารักดีนี่นา
“ไม่!” แทบตะโกนบอกปัด หล่อนเอาความกล้ามาจากไหนถึงถามเขาด้วยแววตาใสซื่อขนาดนี้
ธีมาไม่ใช่ชายหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่อง เคยผ่านการมีแฟนและเลิกรา รู้ดีว่าความปรารถนามันน่ากลัวเพียงใด ถึงไม่ได้รักแต่ถ้าอารมณ์นำพาก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์ได้ง่าย ควรตัดไปแต่ต้นลมไม่เข้าใกล้หรือยุ่งเกี่ยว
“ก็จบ พาฉันไปทะเลที ที่ไหนใกล้ๆ ก็ได้ อยากนั่งโง่ๆ ที่ริมทะเล” ตัดสินใจภายในวินาทีนั้น ร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วตอบกลับ
“ที่ไหนเธอก็สามารถนั่งโง่ๆ ได้”
“แต่ฉันเจาะจงที่ริมทะเลไงล่ะ” มองเขาตาเขียวที่ไม่ยอมทำตามดีๆ ไม่รู้จะขัดให้มันได้อะไรขึ้นมานอกจากอารมณ์หงุดหงิดของเธอ
สุดท้ายเขาก็จำต้องพาเธอไปทะเลที่ใกล้ที่สุด และด้วยความไม่รู้ทางจึงต้องใช้จีพีเอสคอยนำ โดยมีไรลินยาช่วยค้นหาและบอกพิกัด ช่างเป็นการหนีออกจากบ้านที่ทุลักทุเลพอสมควร เมื่อได้ปลายทางแล้วก็ขับรถไปเงียบๆ
บรรยากาศในรถชวนอึดอัดพิกลเวลาไม่มีคนพูดอะไร หญิงสาวนั่งนิ่งมองมือตนเอง หล่อนไม่ได้คิดถึงเรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว เพราะเหลือบมองคนที่นั่งข้างกายบ่อยครั้งจนเขาสังเกตได้ ทว่าไม่เอ่ยอะไร
“นี่คุณ..ฉันใช้สรรพนามแบบนี้กับคุณไม่โกรธเหรอ หรือจะให้เปลี่ยนเป็นพี่ธีมดีไหม” เผลอกัดปากตอนเรียกเขาพี่ธีม เพราะใจจริงหล่อนก็อยากเรียกชายหนุ่มแบบสนิทสนมเช่นนั้น แล้วแทนตัวเองว่าลินหรือให้เขาเรียกน้องลิน
คงจั้กจี้หัวใจ..
แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะไม่ต้องการ ธีมาทำเพียงเหลือบมามองเธอค่อยกลับมองถนนข้างหน้าอีกครั้ง พลางปฏิเสธเสียงเรียบด้วยประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับจุก
“ไม่ล่ะ แบบนี้ดีแล้ว ดูห่างเหินดี” เขาไม่อยากสนิทกับเธอด้วยซ้ำ
พอได้ยินดังนั้นร่างบางก็น้อยใจจนไม่พูดอะไรตลอดเส้นทาง ซึ่งเป็นเรื่องที่ธีมาต้องการอยู่แล้ว ชายหนุ่มทำหน้าที่เป็นสารถีไปจนถึงชายหาดบางแสนที่อยู่ใกล้เมืองหลวง ยามค่ำคืนมีร้านรวงเปิดขายอาหารและคนนั่งดื่มเป็นจุดๆ
เมื่อเขาจอดเลียบฟุตบาทร่างบางก็รีบเปิดประตูรถยนต์แล้ววิ่งลงทะเลหน้าตั้ง เล่นเอาเขาห้ามไม่ทันทำเพียงรีบเดินตามไปกลัวหญิงสาวได้รับอันตราย แต่เห็นท่าทีของหล่อนซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองก็เงียบ
เลือกจะหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรหาคุณย่าเพื่อบอกข่าวคราวไม่ให้คนบ้านพิชาญเมธเป็นห่วง ถ้าดึกมากเกินไปเขาคงได้เช่าโรงแรมแถวนี้ให้หล่อนพักเพราะตนก็คงขับรถกลับไม่ไหว กลัวจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทาง
อาจจะต้องนอนที่นี่หนึ่งคืนแล้วค่อยกลับเมืองหลวงตอนเช้า เขามีงานต้องทำกองเป็นตั้ง อยู่ในช่วงพิสูจน์ความสามารถเพื่อให้สมกับตำแหน่งรองประธาน ผลกำไรต้องมากกว่าเดิมห้าสิบเปอร์เซ็นซึ่งเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง กับธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาลง
ถือว่าเป็นการท้าทายความสามารถของเขา และธีมาต้องทำให้ได้!
“คุณ มาเล่นน้ำด้วยกันสิ” ตะโกนเรียกเขาจากในน้ำ หญิงสาวนอนลอยคอแล้วแหวกว่ายอย่างมีความสุข รอบหาดมีคนนั่งรับประทานอาหารและนั่งเหม่อมองทะเล แต่ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไหร่
ชายหนุ่มวางสายจากคุณดารากานที่ถอนหายใจโล่งอก กังวลต่างๆ นานาว่าหลานสาวจะเจอพวกมิจฉาชีพ แต่พอได้ข่าวว่าไปกับหลานชายของตนก็นึกเบาใจ
“ไม่ล่ะ ฉันจะรอตรงนี้” นั่งลงยังชายหาดแล้วมองหญิงสาวที่ทำตัวเป็นเด็ก ตอนแรกบอกอยากนั่งโง่ๆ ที่ริมทะเล แต่พอถึงสถานที่จริงกลับกระโดดลงน้ำตั้งแต่รถยังไม่ดับสนิท จะไม่ให้เรียกว่าเด็กได้อย่างไรล่ะ
หล่อนเล่นน้ำจนพอใจก็เดินขึ้นมาด้วยเนื้อตัวเปียกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างสูงมองแล้วส่ายศีรษะพลางหันไปโดยรอบ เขาไม่ได้ตั้งใจมองทรวดทรงองค์เอวของหล่อน แต่เพราะเสื้อผ้าแนบลำตัวจนเห็นเองไปโดยปริยาย
ไม่อยากเชื่อว่าเด็กที่เพิ่งจบมอปลายจะหุ่นดีขนาดนี้ วันที่อยู่ในคลับเขาไม่ได้มองรูปร่างเธอเท่าไหร่ แต่พอเป็นตอนนี้...
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลายคนถึงชอบหล่อน
สายตาของชายหลายคนจับจ้องมายังร่างบาง ทรวงอกเต่งตึงอยู่ใต้เสื้อยืดสีเข้ม เอวคอดสะโพกผาย หากไปประกวดนางงามก็คงได้ตำแหน่งมาไม่ยาก
“ทำไมเป็นคนไร้อารมณ์จังเลย ทำหน้าตายตลอดเลยเหรอ ยิ้มไม่เป็นหรือไง” ตั้งแต่เจอกันไม่เห็นธีมาจะยิ้มสักครั้ง เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยติดเย็นชาเหมือนพระเอกในนิยายอยู่ได้ เห็นแล้วขัดใจชะมัดเลย
“รอยยิ้มของฉันไม่ได้มีไว้ให้เธอแล้วกัน” เผยอปากค้างไม่คิดว่าจะได้ยินเขาตอกกลับอย่างเจ็บแสบ ปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยน อยากหยิกให้เนื้อเขียวกับคำพูดไม่รักษาน้ำใจคน
“ใครอยากได้รอยยิ้มคุณกันล่ะ ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยไม่เห็นต้องเอามาเป็นอารมณ์เลย” พยายามไม่แสดงความน้อยใจออกไป หล่อนนั่งกอดเข่าแล้วมองคลื่นที่ซัดมาบนชายหาด แล้วกลับลงไปยังผืนน้ำอันกว้างอีกรอบ
นั่งหนาวสั่นไม่นานก็มีเสื้อมาคลุมที่ตัวจนต้องหันมองคนข้างกาย แล้วค่อยก้มดูว่าสิ่งที่ให้ความอบอุ่นตนคืออะไร
เสื้อสูท...ของเขา
รีบกัดปากไม่ให้เผลอยิ้ม แสร้งมองทะเลยามค่ำคืนถึงไม่รู้ว่าจะมองทำไมก็ตาม เสียงเพลงจากร้านริมหาดสร้างบรรยากาศให้ดูสบายไม่น่าอึดอัด
ไม่น่าเชื่อว่าการเจอกันแต่ละครั้งของพวกเขาจะมีเรื่องราวมากมายที่ต้องเผชิญ แล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งข้างกันแล้วมองทะเลอันเงียบสงบ เสียงคลื่นและกลิ่นอายของมันทำให้คนที่ไม่ชอบอยู่เฉยอย่างธีมาค่อนข้างเบื่อ
แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่เขาไม่ได้รู้สึกเบื่ออย่างที่เคยเป็น ชายหนุ่มทำเพียงเหม่อมองไปข้างหน้า ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ฉันน่ะ..เคยไปแลกเปลี่ยนที่นิวยอร์กอยู่หนึ่งปีเลยทำให้เข้ามหา’ลัยช้ากว่าเพื่อน ไปครั้งแรกฉันคิดว่าตัวเองเก่งมากเพราะเรียนภาษาตั้งแต่เด็ก แถมฟังสำเนียงอาจารย์ฝรั่งออกตลอด ทำคะแนนก็ได้ท็อปห้อง แต่คุณรู้ไหมพอเจอสถานการณ์จริง ฉันฟังเขาไม่รู้เรื่องเลย ฉันกลายเป็นยัยใบ้ไปสามเดือนเต็ม”
เรื่องในอดีตยังฝังใจไม่เลิก เธอต้องไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศเพราะบิดาแนะนำ ถึงไม่อยากไปแต่เมื่อท่านเอ่ยขนาดนั้นก็ต้องยอมทำตาม เมืองที่ไปอยู่ใช่ว่าจะสามารถทำเรื่องได้ง่าย
มหานครที่มีแต่คนอยากไปเยือน แสงสีตระการตา ตึกสูงเสียดฟ้าบ่งบอกระดับของผู้พักอาศัยเป็นอย่างดี และคุณป้าของเธอก็ตตั้งรกรากอยู่ที่นั่นกับสามีชาวนิวยอร์ก เป็นเจ้าของตึกหลายแห่ง มีเงินในบัญชีกี่ล้านดอลลาร์ก็ไม่รู้
“โดนล้อด้วยนะว่าเป็นพวกเอเชียผิวเหลือง ถ้าอยู่ไทยฉันคงซัดไปแล้วล่ะ แต่อยู่ที่นั่นฉันไม่มีพวกเลย เพื่อนคนไทยด้วยกันก็น้อย ฉันเข้ากับใครไม่ได้แถมเรียนไม่รู้เรื่องอีก” แค่คิดก็ต้องโอบกอดตัวเองเอาไว้ ช่วงเวลานั้นมันยากลำบากจริงๆ หันไปพึ่งใครก็ไม่ได้นอกจากต้องพึ่งตัวเอง
“กว่าจะปรับตัวได้ก็เข้าเดือนที่ห้าแล้ว มันอิสระก็จริงแต่พออยู่กับป้าฉันก็ถูกจำกัดอิสระ มันไม่มีอะไรสนุกเลย แล้วถ้าฉันต้องไปอยู่กับป้าตั้ง..สี่ปี ฉันต้องเป็นบ้าแน่เลย”
แค่คิดก็ขยาดแล้ว ถึงป้าเธอจะไปอยู่อเมริกาหลายปี แต่ก็ยังเป็นพวกหัวโบราณไม่ยอมให้หลานได้ออกท่องเที่ยวตามใจ แต่กลับพาเธอเข้าไปทักทายสมาคมของท่าน มีแต่ชาวต่างชาติฐานะร่ำรวยทั้งนั้น นึกว่าจะมีเพียงเศรษฐีเมืองไทยที่อวดข้าวของนอกกาย