๒ พรหมลิขิตบันดาลชักพา (๒)
ช่วงระหว่างรอเปิดเทอมมหาวิทยาลัยเธอก็ว่างจนไม่มีอะไรทำ วันๆ ไม่ดูโทรทัศน์ก็นอนอ่านการ์ตูนหรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ชีวิตวนอยู่แบบนี้มาหลายวันจนน่าเบื่อเกินไป แต่มีเพียงอย่างเดียวที่พอจะทำให้หญิงสาวมีชีวิตชีวาบ้างก็คือการไปรับประทานอาหารเช้ากับคุณดารากาน
เพิ่งรู้ว่าธีมาเป็นหลานคนโตของท่าน เขาย้ายไปอยู่อเมริกากับแม่ตั้งแต่ยังเด็ก เพิ่งกลับมาไทยได้ไม่นานแล้วก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ PK Group ซึ่งมีแบรนด์ย่อยนับสิบ จำหน่ายทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง ทั้งยังทำการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครัวเรือนที่ใช้ทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของสิ่งของ
บางครั้งเธอก็ลืมไปแล้วว่าคุณย่าร่ำรวย เพราะท่านใช้ชีวิตสมถะมาก จะมีก็แต่วันประชุมผู้ถือหุ้นถึงจะเข้าบริษัทสักครั้ง นอกจากนั้นให้ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างธิปกเป็นคนดูแลจัดการทั้งหมด
“ฉันจะทำอะไรระหว่างรอเปิดเทอมดี” เลือกมาเล่นที่บ้านของเพื่อนสนิทอย่างมายาวี เพราะว่างที่สุดแล้ว ส่วนเพื่อนคนอื่นใช้เวลาปิดเทอมทำงานพาร์ทไทม์หารายได้เสริม
หล่อนเองก็เคยคิดจะไปทำงานที่บริษัทของบิดา ซึ่งเป็นโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ กระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบสามสิบแห่ง แต่ก็เริ่มทยอยปิดกิจการไปแล้วห้าถึงหกแห่งเพราะขาดทุน กิจการที่รุ่งเรืองมาตลอดเหมือนจะเจอพิษทางเศรษฐกิจ ทำให้คุณไรวินทร์เป็นกังวลจนหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา
“มาเป็นครูพิเศษที่โรงเรียนอนุบาลไหม” อีกคนเสนอแนะ เพราะบ้านของเธอเปิดโรงเรียนระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษาตอนปลาย เรียนจบก็คงมาสานต่อธุรกิจครอบครัว พ่อแม่วางรากฐานอนาคตไว้ให้แล้ว
ไรลินยาเองก็เช่นกัน หล่อนคงไม่ได้ทำงานอื่นนอกจากมาดูแลโรงแรมต่อจากบิดา พี่ชายอย่างหมื่นฟ้าเลือกเรียนทันตะเพราะอยากเป็นหมอฟัน แต่คนไม่มีความฝันอย่างเธอตัดสินใจทำตามกรอบที่พ่อวางไว้ให้ดีกว่า
“ไม่เอาหรอก แกคิดว่าฉันเข้ากับเด็กได้ดีเหรอ แค่ได้ยินแผดเสียงร้องก็ขอบายแล้ว” แค่คิดว่าต้องไปอยู่กับเด็กเป็นขโยงก็เลือกจะส่ายหน้า ขออยู่แบบเบื่อๆ ดีกว่า
“นั่นสิ แกเข้ากับเด็กไม่ค่อยได้นิ”
“เฮ้อ น่าเบื่อไปหมดเลย” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เอนกายพิงพนักโซฟาแล้วมองโทรทัศน์ขนาดเก้าสิบนิ้วรันภาพยนตร์ต่างประเทศที่สุดแสนคลาสสิค แต่เพราะดูหลายรอบจนกลายเป็นเบื่อจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่
ช่วงนี้พ่อก็งานหนัก แถมพี่ชายก็เรียนหนักเพราะอยู่ปีสุดท้ายแล้ว เธอจึงไม่มีใครให้เล่นด้วย ยังดีที่มีมายาวีคอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้เบื่อไปมากกว่านี้
นี่ถ้าคุณดารากานไม่คิดจะจับเธอร้อยมาลัยหรือฝึกทำอาหารไทยที่ขั้นตอนยุ่งยาก คงได้หมกตัวอยู่บ้านของท่านทั้งวันแน่เลย เผื่อบางทีอาจจะได้เจอ...
ไม่ๆ จะไม่คิดถึงผู้ชายหน้าดุเหมือนยักษ์คนนั้นเด็ดขาด
“น่าเบื่อเพราะไม่ได้เจอใครหรือเปล่า” พอสลัดภาพใบหน้าของธีมาออก เพื่อนก็แซวเหมือนรู้ทัน
หญิงสาวหน้าตาตื่นแต่ก็พยายามเก็บอาการ เหมือนเรื่องของชายหนุ่มจะเป็นที่กล่าวขานในกลุ่มพวกเธอ เป็นเพราะไรลินยามาเล่าให้เพื่อนฟังเนี่ยแหละว่าเขาคือคนที่เคยเจออยู่คลับ และช่วยหล่อนออกมาจากสถานการณ์เลวร้าย แต่ก็ถูกตราหน้าว่าขายตัวจนแค้นฝังใจ
ก็แค่อยากเล่าเพื่อระบายอารมณ์ แต่เพื่อนสนิทของเธอแต่ละคนดันคิดอีกอย่าง พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อนชอบเขา
มันจะเป็นไปได้ยังไง เกลียดน่ะสิไม่ว่า!
“อะไร เจอใคร แกหมายความว่ายังไง” ทำเสียงปกติแต่ดวงตาลุกลิกจนมายาวีอยากมองบนกับความปากไม่ตรงกับใจของเพื่อน
ปิดตาดูข้างเดียวยังรู้เลยว่าไรลินยาแอบชอบหนุ่มคนนั้น แต่พอเขาไม่เล่นด้วยก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นเกลียดทันที
“ก็คุณธีมหลานชายสุดหล่อของคุณย่า หรือจะเรียกฉายาว่า Sugar daddy ของแกดีนะ” พากันพูดถึงฉายาของชายหนุ่ม เพราะแค่มองก็ให้ความรู้สึกเหมือนเสี่ยเปย์เด็กสาว หน้าตาหล่อคมเข้ม แต่งกายด้วยชุดสูท หน้านิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ เดินออกมาจากนิยายหรือเปล่าทำไมตรงตามหนังสือที่เคยอ่านขนาดนี้
“บ้าเหรอ เขาเป็นของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ เกลียดขี้หน้าจะแย่ คนอะไรมนุษยสัมพันธ์แย่ การเข้าสังคมต่ำมาก ยิ่งตอนเขามองฉันด้วยหางตานะ หึ่ย อยากจะขย้ำให้แหลกคามือ ทำเหมือนฉันเป็นแค่วิญญาณไม่มีตัวตน พูดแล้วก็เกลียด เกลียดๆๆ”
คิดถึงวันแรกที่เจอเขาอยู่บ้านคุณย่าก็พูดเป็นวรรคเป็นเวร หล่อนแค้นไม่หายที่โดนกระทำเหมือนไม่มีตัวตน หรือบางทีเขายังคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงขายตัว
แต่คุณดารากานก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหล่อนเป็นลูกสาวของคุณธิปก ซึ่งถือเป็นนักธุรกิจที่ถือเงินร้อยล้านเหมือนกัน แล้วตนจะขายตัวทำไมล่ะ
“เกลียดเขา แต่ก็พูดถึงไม่หยุดเลยนะ” แววตาล้อเลียนเมื่อเห็นว่าบทสนทนามีแต่ธีมา เนี่ยเหรอที่บอกว่าเกลียด
“ก็เพราะเกลียดเนี่ยแหละเลยต้องพูดระบายอารมณ์ แล้วก็เลิกเรียกว่าชูการ์ แด๊ดดี้เลยนะ หน้าตาแบบนั้นเป็นผีดิบมากกว่าน่ะสิ เคยมีอารมณ์กับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้” ยกมือขึ้นกอดยามนึกถึงสายตาคมที่ใช้มองตน
มันน่าดึงแก้มสองข้างให้ร้องโอดโอยซะจริง
“แกใส่อารมณ์เกินไปหรือเปล่า”
“ไม่เลย ฉันไม่ได้ใส่อารมณ์สักนิด” พูดแล้วก็โน้มตัวไปหยิบน้ำมาดื่มแก้กระหายสักหน่อย มายาวีเห็นอย่างนั้นก็รีบล้อเพื่อนทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ
“คอแห้งนะ”
“แค่หิวน้ำ” จากนั้นบทสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องของธีมา เธอคุยกันจนเกือบค่ำหญิงสาวจึงขอตัวกลับ โดยใช้บริการรถไฟฟ้าไปลงที่โรงแรมที่บิดาทำงาน คิดว่าจะกลับบ้านพร้อมท่านสักหน่อยเพราะอยากแวะรับประทานอาหารข้างนอก
ทว่าพอไปถึงห้องทำงานก็เห็นผู้บริหารกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด หล่อนจึงตัดสินใจบอกลาเลขานุการของท่านที่กำลังจัดน้ำเพื่อต้อนรับลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านประธาน
เดี๋ยวนี้โรงแรมคงมีเรื่องให้แก้ไม่เว้นวัน กลับไปบ้านท่านก็ยังขลุกอยู่ที่ห้องทำงาน ใบหน้าเคร่งเครียดถึงจะพยายามฝืนยิ้มแต่หล่อนก็รู้สึกได้
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ...
ตัดสินใจลงมารอแท็กซี่ข้างล่าง ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วด้วยเธออยากรีบกลับบ้าน สงสัยวันนี้คงต้องฝากท้องไว้ที่บ้านคุณย่าอีกตามเคย ว่าแล้วก็นึกไปถึงธีมาที่ไม่เจอมาหลายวัน เขาหายจากสารบบไปเหมือนตายจาก
คุณย่าบ่นถึงทุกวันอยากให้หลานชายมากินข้าวที่บ้านบ้าง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบรับสักที ทำเหมือนเวลาเป็นเงินเป็นทองอย่างนั้นแหละ
“โอ๊ะ นั่น..” หางตาชำเลืองไปเห็นคนที่กำลังคิดถึง เขาเดินมาขึ้นรถที่จอดไว้ริมฟุตบาท แต่ทำไมชายหนุ่มถึงมาบริษัทของเธอล่ะ
ไวกว่าความคิดเท้าเรียวก็รีบเดินแกมวิ่งไปยังรถยนต์ของเขา แล้วเปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปนั่งเป็นที่เรียบร้อย เล่นเอาเจ้าของรถที่เพิ่งนั่งลงยังเบาะไม่ทันได้ปิดประตูหรือล็อครถต้องตกใจ หันมามองหล่อนสายตาแวววาวด้วยความโกรธ
ซึ่งมันทำให้ไรลินยาชอบใจมากที่เห็นเขาแสดงอารมณ์อื่น นอกจากการทำเพียงหน้านิ่งอย่างเดียว
“ลงไป” สั่งเสียงเข้ม ถ้าเป็นคนอื่นคงกลัวและรีบลงจากรถ ทว่าไรลินยากลับทำหน้านิ่งแล้วกอดอกเหมือนไม่สนใจคำพูดนั้น
“ไม่ลง ทำไมต้องลงด้วยล่ะ”
“ฉันบอกให้ลงไป” เพิ่มความดุดันในน้ำเสียงแล้วจ้องมองคนที่นั่งข้างกัน หล่อนทำเพียงฉีกยิ้มแล้วผินหน้ามามองเขา
“ไม่ลง” ย้ำชัดว่าตนจะไม่ลงจากรถคันนี้เด็ดขาด เล่นเอาธีมาต้องกัดฟันแน่นกับความดื้อด้านของคนที่เคยเจอกันสองครั้ง และครั้งแรกก็ไม่น่าประทับใจสักนิด
“ไม่ลงใช่ไหม ได้” เป็นเขาเองที่ลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาที่นั่งของหล่อน เปิดประตูแล้วดึงแขนหญิงสาวออกมาอย่างไม่ปราณี เขาไม่คิดว่าต้องอ่อนโยนกับผู้หญิงที่คิดเข้าหาผู้ชายแบบนี้ เจอมาหลายรูปแบบแล้วกับมารยาร้อยเล่มเกวียน
และมันใช้กับตนไม่ได้ผล
“โอ๊ยๆๆ ทำอะไรน่ะ คุณกำลังใช้กำลังอยู่นะ” ต้องลุกตามแรงดึงแล้วออกมาข้างนอก เธอจ้องเขาอย่างเอาเรื่องแต่ไม่มีพูดตอบกลับ เพราะธีมาเลือกจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ
“นี่! ฉันไม่ใช่สิ่งของจะทิ้งตรงไหนก็ได้นะ” ตะโกนบอกเสียงดังจนคนที่เดินผ่านแถวนั้นหันมามอง ดวงตากลมมองอย่างเอาเรื่อง เธอไม่ยอมถูกทิ้งอยู่ตรงนี้คนเดียวหรอกนะ
เขาต้องพาเธอกลับบ้านด้วย!
“แล้วยังไง” หันมาถามสีหน้าไร้อารมณ์
“ฉันจะกลับบ้าน ถ้าคุณไม่ให้ฉันกลับด้วยฉันจะฟ้องคุณย่า รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นหลานรักเบอร์หนึ่งของท่าน ถ้าคุณย่ารู้ว่าคุณไล่ฉันลงจากรถต้องไม่พอใจแน่ๆ”
ใช้คุณดารากานเป็นข้ออ้างแล้วจ้องตาเขานิ่งอย่างลองเชิง อยากรู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร แล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย สุดท้ายก็เป็นคนยอม
“ระหว่างกลับบ้านห้ามพูด” นั่นคือคำอนุญาตซึ่งหล่อนก็ยิ้มกว้างพลางพยักหน้าตกลง ถึงในใจจะไม่อยากทำ แต่ก็ต้องตามน้ำไปก่อนไม่งั้นคงโดนทิ้งอยู่ข้างทางเป็นแน่
พอเขาไปนั่งประจำที่คนขับ เธอก็รีบขึ้นมานั่งยังเบาะข้างกัน พยายามหุบยิ้มแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถของธีมา
แน่ล่ะเพิ่งเจอกันสามครั้งเอง จะเอาโอกาสที่ไหนไปนั่งรถเขากันล่ะ แค่ครั้งนี้ที่ยอมให้ขึ้นก็เป็นบุญมากแล้ว
พอพาหนะเคลื่อนตัวออกหญิงสาวก็เริ่มสำรวจรอบตัวรถ เชื่อเลยว่าเขาเพิ่งออกรถใหม่เพราะบนคอนโซลรถไม่มีของวางไว้เลย เหมือนเพิ่งซื้อรถเมื่อเช้าแล้วขับออกมาทันที จะว่าเรียบง่ายก็คงไม่ใช่ อาจติดจนเป็นนิสัยมากกว่า
“คุณมาไทยนานหรือยัง” รถเคลื่อนไปได้สักพักก็หันมาถาม แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มยังนิ่งเงียบเหมือนหล่อนไม่ได้อยู่บนรถ
“เพิ่งซื้อรถใหม่วันนี้เหรอ” เปลี่ยนเรื่องแล้วลูบตามคอนโซล ไม่เห็นมีฝุ่นสักนิด เขาคงรักความสะอาดมากน่าดู
แต่ก็ยังคงเงียบ...
“อ้อ ลืมไป คุณห้ามไม่ให้พูด” หล่อนเพิ่งนึกได้ แต่สักพักก็ทนความอึดอัดไม่ไหว
“แต่ฉันพูดไปแล้วน่ะ ก็ขอพูดหน่อยแล้วกัน”
ใบหน้าหวานบ่งบอกถึงความจริงใจ เพราะความรู้สึกมันติดค้างอยู่ในใจสลัดยังไงก็ไม่ออกถ้าไม่ได้บอกให้เขาทราบความจริง หล่อนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องอยากบอกธีมาด้วย
ทั้งที่เขาก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตนเลย เป็นแค่หลานชายคนหนึ่งของคุณย่าแค่นั้น แทบไม่ได้เจอหน้ากันด้วยซ้ำ
“ฉันอยากอธิบายกับคุณว่าวันนั้นที่เราเจอกันฉันไม่ได้ขายตัวนะ ฉันไม่เคยขายบริการหรือขายเรือนร่างเลยสักครั้ง เอาจริงฉันก็ไม่รู้ทำไมต้องมาบอกคุณเหมือนกัน แต่ถ้าไม่บอกมันค้างคาใจน่ะ” ร่ายยาวถึงวันแรกที่เจอ หล่อนไม่รู้ว่าเขาจำได้ไหมเพราะใบหน้าคมยังเรียบสนิท ไม่แสดงอารมณ์สักนิดว่ารู้สึกเช่นไร
หรือว่าเขาไม่ใช่คนแต่เป็นหุ่นยนต์กันแน่นะ
“พอดีฉันมีเรื่องกับลูกเจ้าของคลับ แล้วยัยนั่นก็สั่งลูกน้องให้ตามตัวฉัน ฉันพยายามหาทางเอาตัวรอดจนเจอคุณ ก็เลยขอยืมตัวมาเล่นละครนิดหน่อยเอง คุณเข้าใจใช่ไหม” เหลือบมองคนที่กำลังขับรถ จ้องเขาอยู่อย่างนั้นเพื่อรอคำตอบ
“จะเงียบได้หรือยัง” ทว่าเขาก็ตัดบทไม่กล่าวถึงเรื่องที่เธอพูดเสียยืดยาว เล่นเอาร่างบางอารมณ์เสียเหมือนกัน
“ถือว่าฉันบอกคุณแล้ว ต่อจากนี้ก็ห้ามมองฉันด้วยสายตาดูถูกสักที เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิด” กอดอกแล้วพิงเบาะด้วยความโมโห พูดซะยืดยาวแต่กลับถูกเขาตัดบทไม่เหลือเยื่อใย จะแสร้งทำเป็นฟังหน่อยก็ไม่ได้
“การที่เธอมาอยู่บนรถฉันมันก็น่าหงุดหงิดเหมือนกัน” เขาบอกขณะที่ดวงตายังจ้องมองถนนข้างหน้า
“นี่คุณเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” หล่อนมองร่างสูงที่นั่งข้างกัน ไม่คิดว่าตนเองจะถูกเกลียดจากชายหนุ่มที่เพิ่งเคยพบไม่กี่ครั้ง
หล่อนทำสิ่งที่ร้ายแรงกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงไม่สามารถให้อภัยกันได้
“คิดว่ายังไงล่ะ” ถามกลับเล่นเอาไรลินยาต้องรีบหันหน้ามองถนนเช่นกัน
เธอกลืนน้ำลายแล้วเหลือบมองข้างทาง กำมือแน่นขณะที่กอดอกเอาไว้อย่างนั้น ในเมื่อเขาเกลียดเธอได้
“แล้วแต่...ฉันก็ไม่ชอบคุณเหมือนกัน”
เธอก็เกลียดเขาได้เช่นกัน...