๑ แรกพบสบตาก็เกลียดเลย (๒)
เธอหลบในมุมอับแล้วถอดกางเกงยีนส์ออก เสื้อที่พับเป็นทบให้เหมือนเสื้อครอบก็ถูกดึงลงจนเป็นเดรสสั้นรัดรูป ดวงตากลมมองหาพนักงานก่อนเจอบริกรหญิงที่เดินผ่าน เธอรีบจับแขนอีกฝ่ายไว้ทันที
“มีกรรไกรไหมคะ”
“เอ่อ มีค่ะ” ชะงักกับคำถามแล้วมองไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน เห็นกรรไกรวางไว้จึงรีบพยักหน้า
“ขอยืมหน่อย” เธอบอกขณะที่มองซ้ายขวา เห็นชายหนุ่มเกือบห้าคนกำลังเดินวุ่นทั่วร้านเพื่อหาตนเอง มีอิทธิพลขนาดนี้เลยเหรอ
พอเหลือบมองกลุ่มเพื่อนก็ไม่รู้ว่าควรเข้าไปหาดีไหม กลัวว่าจะทำให้เป็นอันตรายด้วย ไม่น่าเข้าถ้ำเสือเลย ผู้ชายคนนั้นก็เหลือเกิน มีแฟนแล้วยังมายุ่งกับเธออีก
น่าหงุดหงิดไปหมด!
“นี่ค่ะ” รีบหยิบกรรไกรมาตัดแขนเสื้อของตนให้เป็นแขนสั้นทั้งสองด้าน จัดการสักพักก็คืนกรรไกรแล้วรีบมัดผมให้เรียบร้อยเพื่อปรับลุค เธอจัดการทุกอย่างเสร็จจึงคิดจะเดินออกนอกร้าน
ทว่าคนกลุ่มนั้นดันเดินไปยืนกันอยู่หน้าร้านเสียก่อน แถมยังมีรูปของเธออีกต่างหาก คาดว่าคงมาจากเพื่อนของคู่กรณีที่รู้จักหล่อนพอดี
อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้
“อ่ะ นั่น” ผู้ชายที่เธอหมายตาเอาไว้เดินลงมาจากชั้นบน แล้วดูเหมือนเขาจะกำลังกลับเสียด้วย ไม่รอช้าเธอรีบวิ่งไปหาเขาพลางคว้าแขนชายหนุ่มเอาไว้
“ที่รักคะ จะกลับแล้วเหรอ” เรียกเสียงหวานจนร่างหนาสะดุ้ง เขาก้มมองผู้หญิงที่เข้ามากอดแขนแถมยังซบหน้าลงที่อกตนอย่างไม่กระดากอาย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันบ่งบอกว่าไม่ชอบใจ พยายามสะบัดออกเพื่อให้เธอหลุด
ท่าทีรังเกียจทำเอาไรลินยาหน้าม่าน หล่อนคิดว่าเขาจะตามน้ำเสียอีก ปกติใครเจอเธอก็ชอบกันทั้งนั้น
“ปล่อย” บอกเสียงเข้ม
“งั้นเราออกไปกันดีกว่านะคะ คุณคงอยากกลับแย่แล้ว” เดินมาใกล้หน้าประตู ตรงที่คนกลุ่มนั้นอยู่กันเป็นจำนวนมาก หล่อนยิ่งซบหน้าที่อกเขาพลางเปลี่ยนมาโอบรอบเอวหนาเพื่อจะได้หลีกหนีสายตาจ้องจับผิดเหล่านั้น
“ฉันบอกให้ปล่อย” ใกล้จะหมดความอดทน จนหล่อนกลัวว่าเขาจะผลักตนเองออก
“ออกไปจากตรงนี้ก่อน แล้วฉันจะยอมปล่อย” กระซิบเสียงเบาเหมือนบอกเป็นนัยว่าต้องการความช่วยเหลือ ทำให้ร่างหนาจำต้องอดกลั้นให้หล่อนกอดแล้วเดินออกไปข้างนอก
จังหวะที่ผ่านคนกลุ่มนั้นหญิงสาวก็แทบหยุดหายใจ กลัวว่าจะโดนจับได้แล้วลากไปให้ลูกสาวเจ้าของร้านทำร้ายร่างกาย แน่นอนว่าเธอไม่ยอมแต่ถ้าพวกนั้นคนเยอะกว่าก็ไม่อยากสู้
เขาพาเธอเดินออกมาข้างนอก พ้นจากสายตานับสิบคู่ที่กำลังหาหล่อน พรูลมหายใจโล่งอกก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกผลักออกอย่างไม่แยแส ดีที่เธอสวมรองเท้าส้นเตี้ยจึงประคองตัวเองไว้ได้ ไม่อย่างนั้นคงล้มลงบนพื้นแล้ว
“นี่คุณ! ผลักผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง” โวยวายลืมความชอบทันที หล่อนเผลอมองเขาด้วยสายตาขึงขัง ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าผลักตนเอง
“ถ้าอยากขายก็ไปขายคนอื่น ฉันไม่ซื้อ” รีบเดินหนีไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่โซนวีไอพี ไรลินยาได้ยินแบบนั้นก็อึ้ง หล่อนเผยอปากค้างแล้วกำลังจะก้าวเท้าตามคนที่ดูถูกตนเอง
“ขาย ขายเหรอ หมายความว่ายังไง นี่! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะ” เดินตามไปหวังเอาเรื่อง แต่ชายหนุ่มก็ถึงรถเสียก่อน เขาเปิดประตูเบนซ์คันหรูแล้วเข้าไปนั่ง ไม่วายชำเลืองสายตามามองหล่อนเหมือนรังเกียจกันหนักหนา
เล่นเอาไรลินยากำมือแน่น ความชอบเมื่อครู่หายวับไปกับตา ผู้ชายแบบนี้ไม่น่าเสียเวลาไปชอบเลยจริงๆ
“ฉันไม่กินของข้างทาง ถ้าอยากได้เงินมากก็ไปหาลูกค้าคนอื่น อย่ามาใช้ลูกไม้บังคับกับฉัน” พอพูดจบก็ไม่รอฟังคำอธิบาย ปิดประตูรถเสียงดังก่อนขับออกจากลานกว้าง
ร่างแบบบางมองตามเขาตาค้าง โดนคนไม่รู้จักตีตราว่าขายตัวมันเจ็บไปทั่วโพรงอก ถึงจะเคยถูกต่อว่ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่รู้เหตุใดครั้งนี้หล่อนถึงเจ็บจนพูดไม่ออก
หรือเพราะเคยรู้สึกดีกับเขานะ...
“นายมันก็ผู้ชายปากเสียเหมือนกันนั่นแหละ!” ทำได้เพียงตะโกนตามหลังแล้วเดินไปโบกแท็กซี่ พอพ้นคลับก็รีบโทรหาเพื่อนแล้วบอกเล่าเรื่องราวพอให้รู้เรื่อง แล้วค่อยนัดกันใหม่เพื่อเล่าโดยละเอียด เพราะหล่อนอยากระบายอารมณ์ที่โดนผู้ชายซึ่งตนหมายตาตีค่าเป็นเพียงผู้หญิงขายตัว
มันน่าเจ็บใจจริง!
ข้างบ้านพิชาญเมธที่เคยเป็นที่ว่างถูกแทนที่ด้วยบ้านทรงไทยสีขาวทั้งหลัง มีต้นไม้ให้ความร่มรื่น ทั้งยังปลูกดอกมะลิ พุทธรักษา ดอกดาวเรืองและบานไม่รู้โรยเพื่อนำมาร้อยมาลัยโดยเฉพาะ กำแพงไม้ที่ใช้ร่วมกันมีประตูขนาดเล็กซ่อนไว้
พอตื่นเช้าไรลินยาก็ลงมาข้างล่างเมื่อท้องร้องประท้วง หล่อนตรงมายังห้องครัวก็ไม่พบใคร พอเปิดดูอาหารที่มีเพียงทอดหมูและต้มจืดก็ยิ่งไม่อยากกิน
“คุณหนูจะรับอาหารเที่ยงเลยไหมคะ” อาหารเช้ายังไม่กิน แต่ตื่นซะสายจนต้องเลื่อนมื้ออาหารแทน หล่อนยิ้มแหย่ขณะมองป้าแม่บ้านที่อยู่ทำงานบ้านหลังนี้มานาน
บิดาเพิ่งให้แม่บ้านออกไปสองคน ตอนนี้จึงเหลือเพียงสามคนรวมกับคนสวนที่ควบตำแหน่งคนขับรถด้วย เธอก็ไม่ทราบเหตุผลที่ท่านให้ออก แต่มันก็ทำให้บ้านหลังใหญ่ค่อนข้างโล่งจนรู้สึกเหงา ตอนเด็กคนวิ่งเล่นด้วยเต็มไปหมด
แต่ยิ่งโตก็เหมือนหายไปทีล่ะคนสองคน
“เดี๋ยวลินไปกินข้าวที่บ้านคุณย่าดีกว่าค่ะ ป้านงค์จะได้ไม่ต้องเตรียมด้วย”
“ไหนว่าจะหายไปสักสองสัปดาห์ไงคะ” แม่บ้านที่อยู่มานานจนเอ็นดูหญิงสาวเหมือนลูกเอ่ยถาม แววตาล้อเลียนเพราะคุณหนูของบ้านโดนบังคับให้เรียนร้อยมาลัย แต่ไรลินยาก็ฉลาดเอาตัวรอด ทั้งยังบอกจะไม่ไปบ้านคุณย่าอีกแล้ว
กลัวว่าจะถูกสอนงานบ้านงานเรือน หล่อนเป็นหลานสาวคนโปรด ท่านเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ถูกสอนเรื่องการทำอาหาร การร่ายรำ การร้อยมาลัย ฝึกแต่งกลอนอีกต่างหาก งานอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนถูกถ่ายทอดมาจนหมด
แต่เธอกลับไม่รับสักอย่าง ทำอาหารก็แค่พอไปวัดไปวา ร่ายรำดีหน่อยลำตัวอ่อนช้อย แต่ชอบการเต้นมากกว่า ยิ่งเรื่องร้อยมาลัยต้องหาข้ออ้างสารพัดที่จะไม่เรียน
เหมือนคุณย่าต้องการฝึกให้ทำทุกอย่างเป็นก่อนแต่งงาน แต่อายุแค่นี้เองใครจะอยากแต่งล่ะ
“โห ไม่ไหวหรอกค่ะ นี่ไม่ไปบ้านคุณย่าห้าวันก็เก่งแล้วนะ งั้นลินไปก่อนนะคะ” โบกมือลาแล้วเดินไปข้างบ้าน เปิดประตูเล็กเพื่อเข้าสู่บ้านของคุณย่าที่แสนร่มรื่น
หล่อนเดินผ่านสวนดอกไม้ที่มีดอกสีสดขึ้นให้พรึบ พี่แม่บ้านกำลังเก็บดอกไม้เพื่อนำไปร้อยมาลัยสำหรับไหว้พระคืนนี้ หล่อนนึกว่าตนเองย้อนมาสู่สมัยคุณย่ายังเป็นสาว ชุดแม่บ้านเหมือนยุคการปฏิวัติสยามไม่มีผิด เสื้อคอบัวสีขาวและผ้าซิ่นสีน้ำเงินยาวเลยเข่าเล็กน้อย ผมรวบเป็นมวยเพื่อความเรียบร้อย
หล่อนหลงยุคมาชัดๆ
“คุณลินไม่เจอนานเลยนะคะ” เข้ามาในบ้านก็เจอคุณป้านวลทักทาย หล่อนจึงทำได้เพียงยกยิ้มแหยะไม่กล้าเอ่ยอะไร
เดินค้อมตัวเข้าไปนั่งโซฟาเดียวกับคุณย่าที่กำลังจัดแจกัน แต่รูปทรงแปลกตาพิกลเพราะไม่ได้จัดใส่แจกันทรงสูง แต่เป็นเหมือนถ้วยเซรามิกมากกว่า
“คุณย่าทำอะไรอยู่เหรอคะ” ถามด้วยความสงสัย คิ้วขมวดไม่รู้ว่าท่านกำลังทำอะไรกันแน่ หล่อนแน่ใจว่ามันคือการจัดดอกไม้ แต่จะวางดอกไม้ยังไงในเมื่อไม่ใช่แจกันทรงยาว
“ย่ากำลังจัดแจกันแบบญี่ปุ่น เขาเรียกการจัดดอกไม้แบบอิเคบานะ ย่าเพิ่งไปเรียนมาแต่ยังไม่เก่งหรอก ดูสิตั้งยังไม่ได้เลย” ท่านนำก้านมะกรูดที่มีส่วนโค้งมนมาวางขัดในกระถาง ก่อนจะเลือกดอกกุหลาบซึ่งมีหนามมาเกาะตัวกิ่งไม้อีกที
เป็นการจัดที่เน้นความสมดุลของพืชดอก คนมองต้องรู้จักการคาดคะเนระยะ มีความเป็นศิลปะอยู่ในตัวค่อนข้างสูง สำหรับไรลินยาที่กำลังมองหล่อนไม่เข้าใจสักนิด แต่ก็ตามน้ำด้วยการพยักหน้าเออออไปเรื่อย
“อ้อ ว่าแต่เที่ยงแล้วคุณย่าไม่หิวเหรอคะ ลินหิ๊วหิวค่ะ” เข้าเรื่องที่ทำให้มาหาท่าน หญิงสาวลูบท้องเพื่อบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงกระเพาะตั้งแต่เช้า คุณดารากานเห็นอย่างนั้นก็ส่ายหน้าอย่างระอาปนเอ็นดู
“มาเพราะหิวใช่ไหมน่ะเรา”
“เปล่านะคะ ลินแค่มากินข้าวเป็นเพื่อนคุณย่า ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย กลัวคุณย่าจะเหงาไม่มีเพื่อน” กอดแขนท่านพลางโน้มตัวไปซบไหล่ คุณย่าตัวเล็กกว่าเธอแต่คนอ้อนก็ยังนึกว่าตนเป็นเด็กเล็กอายุเพียงห้าขวบ
มารดาของเธอเสียชีวิตไปเมื่อสิบหกปีก่อนด้วยโรคมะเร็ง จากนั้นบิดาก็เลี้ยงดูเธอ แต่เพราะท่านมีงานเยอะจึงฝากคุณย่าช่วยเลี้ยง หญิงสาวจึงรักคุณย่าดารากานมากยิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก
“ปากหวานเป็นที่หนึ่งเลยนะเราน่ะ” ชมหลานสาวคนโปรดแล้วหันไปมองแม่บ้านที่กำลังนั่งร้อยมาลัยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เวลาคุณหนูลินมาทีไรสร้างเสียงหัวเราะให้กันตลอด
“นวล เอาอาหารขึ้นโต๊ะทีนะ จัดสามที่” สั่งเสร็จคนที่นั่งข้างท่านก็ผละออกจากคุณย่าดารากาน เริ่มสงสัยว่าทำไมต้องจัดโต๊ะสามที่ด้วยในเมื่อมีแค่หล่อนกับเจ้าของบ้าน
“เอ๊ะ ใครจะมาเหรอคะ”
“หลานอีกคนของย่าน่ะ” บอกเพียงเท่านั้นแต่ไม่ขยายความ ทำให้หล่อนต้องใคร่ครวญถึงหลานที่คุณย่าบอก
จำได้ว่าคุณลุงธิปก ผกายฤทธิ์ที่เป็นบุตรชายคนเดียวของคุณย่ามีลูกสาวชื่อพิณพร ผกายฤทธิ์ แต่เพิ่งมารู้ภายหลังว่ามารดาของอีกฝ่ายเข้ามาอยู่บ้านหลังจากคุณลุงหย่ากับภรรยาคนแรก หลานสาวคนนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานเท่าไหร่ มาหาคุณย่านับครั้งได้ไม่เหมือนไรลินยาที่มาแทบทุกวัน
“ใครคะ เพลงเหรอ” เอ่ยถึงพิณพร แต่คาดว่าไม่น่าใช่เพราะหญิงคนนั้นกลัวคุณย่ายิ่งกว่าหนูกลัวแมวเสียอีก คุณย่าน่ากลัวตรงไหนกันท่านออกจะน่ารักกับเธอ
“เปล่า คนนี้เราไม่เคยเจอ แต่เดี๋ยวจะได้รู้จักกันไว้” เอ่ยจบก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในตัวบ้าน คุณดารากานยิ้มทันทีขณะที่มองไปยังทางทางเข้า
“พูดไม่ทันขาดคำ เสียงรถมาแล้ว” คุณย่ายิ้มมีความสุข ส่วนหล่อนก็นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ความอยากรู้ทำให้แอบชะเง้อมองว่าหลานของท่านเป็นใคร จะมาแย่งความนิยมของเธอไปหรือเปล่า แค่คิดว่าต้องความรักของคุณย่าต้องถูกหารสองก็หน้ามุ่ย
เธอควรเป็นหลานสุดโปรดคนเดียวสิ
“มาแล้วเหรอธีม ย่าให้คนเตรียมอาหารเที่ยงไว้พอดีเลย” ชื่อของคนมาใหม่ทำให้ทราบว่าเป็นผู้ชาย พอหล่อนเงยหน้ามองกต้องเผยอปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าโลกมันจะกลมจนเหวี่ยงคนที่เคยเจอเมื่อสัปดาห์ก่อนให้มาพบกันอีกครั้ง
แล้วเขาก็จ้องเธอเช่นเดียวกัน แต่ไม่นานก็หันหนีเหมือนไม่อยากมองให้เสียสายตา
ไม่รู้ว่าเขาจำเธอได้หรือเปล่า แต่คนอย่างไรลินยาจำอีกฝ่ายได้แม่นไม่ลืม เพราะเขาคือผู้ชายปากเสียที่บอกว่าเธอขายตัวไงล่ะ!