ตอนที่ 3 โดนทิ้ง ไม่ตาย...แต่เจ็บมาก
มันเป็นไปได้ยังไง พี่ก่อจะหลอกเราทำไม...
ฝนแก้วถามตัวเองซ้ำๆ หลังจากรับฟังคนที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของก่อฤกษ์พูดถึงเขา
“ปกตินายก่อไม่ได้อยู่เมืองไทย เขาดูแลกิจการของครอบครัวอยู่ที่ออสเตรเลีย แต่ปีนี้เขาขอพักงานครึ่งปี โดยให้ผู้จัดการทางเมืองไทยไปอยู่ประจำที่ออสเตรเลียแทน ส่วนนายก่อจะเดินทางไปแค่ช่วงที่มีการประชุมหรือพบลูกค้าคนสำคัญ จนเมื่อสามเดือนก่อนเขาก็กลับไปอยู่ประจำที่นั่นเหมือนเดิม เพราะครบกำหนดพักผ่อนของเขาแล้ว”
“คุณหมายความว่าพี่ก่อไม่อยู่เมืองไทยแล้วหรือคะ”
“ใช่ครับ ถ้าพวกคุณตกลงเลิกกันเมื่อสามเดือนก่อน มันก็คือช่วงที่นายก่อต้องกลับไปทำงาน ผมคิดว่าเขาน่าจะบอกเหตุผลให้คุณรู้แล้ว”
เจ็บหน่วงที่หัวใจ...ฝนแก้วไม่ได้ตกลงเลิกกับก่อฤกษ์ แต่เป็นเขาต่างหากที่บอกเลิกกับเธอฝ่ายเดียว เขาบอกเลิกโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เธอไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ส่วนเหตุผลของการเลิกรานั้นก็คือเขาลืมแฟนเก่าไม่ได้...
กระนั้นฝนแก้วก็ยังถามพี่ชายของเขาเพื่อให้มั่นใจมากขึ้น
“พี่ก่อมีแฟนเก่าไหมคะ แฟนเก่าที่เขายังลืมเธอไม่ได้”
“เอ...ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ถึงผมเป็นพี่ชายของเขา แต่ผมก็ไม่ได้รู้ความในใจของเขาทุกเรื่อง ส่วนแฟนเก่าของเขาที่ผมรู้จักก็เป็นคนที่เลิกกันเมื่อสองปีก่อน แต่รายนี้ไม่น่าจะทำให้เขาตัดใจยาก เพราะพวกเขาจบกันไม่สวย แถมตอนเลิกกันก็ยังแฉกันยับ ถ้ามีใครสักคนที่ลืมไม่ลง ผมว่าคงเกิดจากแรงแค้นมากกว่าความอาลัย”
พี่ชายของเขาเล่าเหมือนกับเรื่องนั้นไม่ได้กระทบความเป็นตัวตนของก่อฤกษ์ ในขณะที่คนรับฟังต้องนั่งปาดน้ำตา หัวใจของฝนแก้วคล้ายจะขาดรอนๆ
“ผมรู้สึกว่าคุณไม่ได้รู้จักน้องชายของผมเลย”
“ฝนคงไม่รู้จักเขาจริงๆ”
สุดที่จะกลั้นตัวเองไว้ได้ ฝนแก้วปล่อยเสียงสะอื้นออกมา เรื่องที่พี่ชายของเขาเล่าให้ฟัง มันไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ
ก่อฤกษ์คนที่เธอรู้จักนั้นเป็นเพียงผู้ชายธรรมดา เขาบอกว่าเปิดร้านขายของอยู่บริเวณชานเมือง เขามักมาพบเธอในชุดเสื้อทีเชิ้ตและกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ หากแม้เป็นเครื่องแต่งกายธรรมดา แต่เธอเคยสังเกตว่าข้าวของของเขาล้วนเป็นของมีแบรนด์ หากเวลานั้นเธอคิดไปเองว่าก่อฤกษ์คงเป็นผู้ชายที่พิถีพิถันในการแต่งตัว เขาอาจซื้อเสื้อผ้าและรองเท้ามือสองสภาพดีมาใช้ก็ได้
“ผมบอกเรื่องของน้องชายผมไปแล้ว ทีนี้เรามาคุยเรื่องของคุณฝนนะครับ”
คนปลายสายวกมาที่ตัวเธอ ฝนแก้วเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกรุกไล่ คล้ายกับเธอพาตัวเองไปให้เขาเชือดซ้ำสอง...เธอกลัวพวกเขาทั้งสองคนเสียแล้ว
“ฝะ...ฝนคิดว่า...”
“อย่ากลัวผมเลยครับ ถึงผมเป็นพี่ชายของนายก่อ ถึงผมยังไม่รู้จักคุณ แต่ถ้าคุณฝนกำลังตั้งท้องหลานของผมจริงๆ คุณเชื่อใจผมได้เลยว่าผมรักหลานของผมแน่นอน”
ถ้อยคำนั้นมันทำให้ฝนแก้วยิ่งรู้สึกกลัวคนปลายสาย เหมือนกับเขาล่วงรู้ความคิดของเธอ ทั้งที่คุยกันผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
เธอรู้สึกตลอดมาว่าก่อฤกษ์เป็นคนฉลาด เวลาอยู่กับเขา เธอรู้สึกสบายใจ คล้ายกับตัวเองได้รับการปกป้อง เขาดูเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งเขาทำให้เธอเห็นอยู่บ่อยครั้ง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม...ซึ่งสิ่งนั้นเธอกำลังเห็นในตัวพี่ชายของเขาเช่นกัน
“ฝนโทร.ไปที่เบอร์นี้เพราะอยากบอกให้พี่ก่อรู้เรื่องลูกในท้อง เพราะลูกเป็นลูกของพี่ก่อด้วย แต่ถ้าพี่ก่อไม่อยู่แล้ว ฝนคิดว่าคงไม่รบกวนคุณ”
“อยู่สิครับ นายก่อยังอยู่”
ธีทัตแย้งเสียงกลั้วหัวเราะ ในทีแรกฝนแก้วรู้สึกงงว่าคำพูดของตนมีอะไรน่าขำ ทำไมเขาถึงหัวเราะ กระทั่งเขาพูดต่อมา เธอถึงได้เข้าใจ
“ผมรับรองได้ว่านายก่อยังอยู่ เขายังไม่ตาย และเขาก็คงอยู่อย่างสุขสบายตามประสาหนุ่มโสดที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะมีลูกอยู่ที่เพิร์ท”
ฝนแก้วตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปต่ออย่างไรดี ถึงตอนนี้เธอรู้สึกสับสน ก่อฤกษ์ที่เธอได้ฟังจากธีทัตนั้นทำให้เธอกลัว เขาเป็นเหมือนคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งที่ในใจยังโหยหายังตราตรึงถึงความสนิทสนมแนบแน่นที่เคยมีต่อกัน กระนั้นความคิดอีกด้านก็กระซิบบอกให้เธอชั่งใจว่าเธอควรเชื่อใจผู้ชายที่คบหากันมาครึ่งปีหรือคนที่ได้เพิ่งคุยทางโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรกอย่างคนคนนี้
“คุณท้องกี่เดือนแล้วครับ
คำถามนั้นทำให้ฝนแก้วรีบดึงตัวเองออกมาจากความคิดที่ฟุ้งอยู่ในหัว
“สี่เดือนค่ะ”
“คุณมีเอกสารยืนยันว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ไหมครับ ผมหมายถึงผลการตรวจจากหมอ ผมคิดว่าคุณน่าจะฝากท้องกับโรงพยาบาลแล้ว”
“มะ...มีค่ะ แต่ฝนไม่รบกวนคุณแล้ว”
“คุณกำลังลำบาก คุณเลยตัดสินใจโทร.มาบอกนายก่อใช่ไหมครับ”
“คุณ...”
“ผมไม่มีความรู้เรื่องการตั้งท้องของผู้หญิง แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ตัวมาสักพักแล้วว่าคุณกำลังจะมีเด็ก แต่การที่คุณเพิ่งโทร.มาบอก เป็นเพราะคุณกำลังเจอเรื่องกดดัน หรือไม่ก็...คุณกำลังอับจนหนทางไป คุณเลยตัดสินใจบอกนายก่อเพื่อให้เขาช่วยรับผิดชอบลูก ผมจึงคิดว่าคุณไม่ควรปฏิเสธการช่วยเหลือจากผมในครั้งนี้”
ริมฝีปากของฝนแก้วสั่นระริก หัวใจของเธอเหมือนกำลังถูกบีบรัด เสี้ยววินาทีนั้นเธอตัดสินใจตัดสายทิ้งไป ก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือด้วยมือสั่นเทา เพราะเธออยู่กับสถานการณ์กดดันนี้ไม่ไหวจริงๆ
แม่ขอโทษหนู แม่อ่อนแอ แม่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปอีกแล้ว
“ฉิบหาย! วางสายไปแล้ว ปิดเครื่องหนีด้วย”
เสียงของพี่ใหญ่แห่งตระกูลราชเวคินอุทานอย่างนึกไม่ถึง ในความรู้สึกนั้นเจือความตกใจไปด้วย เขาเงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายทั้งสองคนที่ยืนเงี่ยหูฟังอยู่ใกล้ๆ อย่างต้องการหารือ
“นั่นผู้หญิงท้องนะเฮีย เฮียพูดลูกล่อลูกชนกับเขา ใช้เล่ห์เหลี่ยมยังกับวางแผนฮุบกิจการลูกหนี้ ใครจะทนความกดดันได้ไหว เขาก็เผ่นหนีนะสิ ดีไม่ดีผมว่าเขาอาจคิดมากจนทำอะไรไปแล้วก็ได้”
“ทำอะไรวะ? แกหมายถึงเขาจะทำร้ายตัวเองเหรอ”
“มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ เมื่อกี้เฮียพูดเองนะว่าเขาจนตรอก หมดทางไป เลยตัดสินใจเฮือกสุดท้ายโทร.มาหาเฮียก่อ แต่โชคร้ายมาเจอเฮียธีร์รับสาย เรื่องมันเลยไปกันใหญ่”
“มันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
ธีทัตพูดปกป้องตัวเอง หากในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นว่าเรื่องจะเป็นไปตามที่ชนกันต์ผู้เป็นน้องชายคนที่สองพูด
“แล้วจะทำยังไงกันต่อ”
ภพธรน้องชายคนสุดท้องที่ยืนกอดอกมองพี่ชายทั้งสองคนอย่างเงียบๆ ถามขึ้นมาบ้าง ในใจก็นึกห่วงคนปลายสาย แม้ไม่เคยเห็นหน้า แต่เท่าที่ฟังการสนทนาของเธอกับพี่ชายคนโตก็จับใจความได้ว่าเธอกำลังท้องและเด็กในท้องก็เป็นลูกของพี่ชายคนรอง เด็กคนนั้นจึงเป็นหลานของเขา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชเวคิน
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันแค่ช่วยเป็นธุระรับสายให้นายก่อ ต่อจากนี้นายก่อก็ต้องจัดการเอง ลูกเมียใคร คนนั้นก็รับไปเองสิวะ”
เมื่อคิดจะโยนก็โยนกันง่ายๆ...น้องชายทั้งสองคนหรี่ตามองพี่ชายคนโตอย่างสงสัย เพราะมันผิดวิสัยพี่ใหญ่ของตระกูลราชเวคินที่ทำหน้าที่กุมบังเหียนธุรกิจแทนพ่อได้อย่างไม่มีที่ติ
“ไม่ใช่เรื่องของเฮียได้ยังไง นั่นหลานของเราทั้งคน ถ้าแม่ของหลานเกิดเสียใจ พุ่งหลาวไปให้รถทับกลางถนน หลานเราก็ไม่รอดด้วยสิ เฮียรับผิดชอบเลยนะ ไม่อย่างนั้นผมจะฟ้องเฮียก่อ”
ภพธรคนใจอ่อนโวยวาย ตบท้ายด้วยการยื่นไม้ตายไปให้พี่ชายใหญ่จัดการให้เรื่องมันเข้าที่เข้าทาง ซึ่งเจ้าตัวถึงกับทำหน้ายุ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมขึ้นมาพิมพ์ข้อความสั้นๆ แล้วกดส่งไปหาคนต้นเรื่องอย่างเสียไม่ได้ โดยไม่ลืมแนบไฟล์เสียงที่เขาบันทึกไว้ตลอดการสนทนากับคนปลายสายเมื่อสักครู่ไปด้วย
“ฉันบอกนายก่อแล้วว่าเมียมันติดต่อมา ทีนี้ก็เป็นเรื่องของมันแล้ว มันต้องกลับมาจัดการเอง ส่วนพวกนายก็เข้าใจตามนี้...ฉันจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว”
ธีทัตเน้นย้ำประโยคท้าย แถมยังส่งค้อนให้น้องชายจอมขี้ฟ้องไปด้วย