บทที่10 งั้นเจ้าก็ชนตายเถอะ
ลั่วเสี่ยวปิงไม่สามารถไปต่อว่าเจ้าของร่างเดิมมีความปรารถนาตายนั้นมันถูกหรือผิด เพราะจะบอกว่าเจ้าของร่างเดิมจะขี้ขลาด แต่ก็เข้มแข็งเลี้ยงลูกทั้งสองมาจนถึงตอนนี้ได้
แต่ในความคิดของนาง การตายเพื่อผู้ชายคนหนึ่งนั้นไม่คุ้มค่าเลย
แต่ไม่คิดว่าเรื่องเล็กแค่นี้กลับถูกลั่วเสี่ยวเหมยเอามาทำเป็นเรื่องใหญ่ ยังเป็นเหตุทำให้อานอานถูกตีจนหัวแตก
มาที่นี่ได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ครอบครัวลูกคนโตของตระกูลลั่วก็มาหาเรื่องสองครั้งแล้ว ทำให้ในตาของลั่วเสี่ยวปิงนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา
ไม่ช้านางจะไปคิดบัญชีกับครอบครัวลูกคนโตของตระกูลลั่วแน่นอน แต่ตอนนี้นางต้องจัดการแม่หม้ายหลี่เสร็จก่อน
อย่าคิดว่านางดูไม่ออกว่าแม่หม้ายหลี่อยากจะหนีความผิด มันก็ต้องดูว่านางยอมหรือไม่
ตีลูกนาง ยังไงนางก็จะต้องให้หล่อนชดใช้
“ลั่วเสี่ยวเหมยพูดจาเหลวไหลเกี่ยวกับเรื่องของข้าไปมั่ว ข้าจะไปหานางและพูดคุยให้ชัดเจนว่าตกลงตาข้างไหนของนางเห็นข้าไปเกลี้ยกล่อมลูกชายนาง ถึงตอนนั้นก็ดูว่านางจะกล้าสาบานกับฟ้าหรือไม่……”พูดถึงตรงนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็หยุดไปสักพัก หันมองแม่หม้ายหลี่อย่างดุร้าย
“แม้ลั่วเสี่ยวเหมยจะน่าเกลียดเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ลงมือตีลูกชายข้าจนหมดสติไป คนที่ตีคือเจ้า แน่นอนว่าเจ้าก็ต้องเป็นคนให้ค่ายารักษา”
แม่หม้ายหลี่ได้ยินลั่วเสี่ยวปิงยังจะให้ตัวเองชดใช้เงินอยู่ ก็โกรธทันที
“ทำไมต้องชดใช้?ทำไมข้าต้องชดใช้ด้วย?เหตุเกิดก็เพราะลูกพี่ลูกน้องเจ้า เจ้ากลับให้ข้าชดใช้ ตอนนี้ข้าสงสัยว่าพวกเจ้าจงใจสมรู้ร่วมคิดเพื่อทุจริตเงินข้า”
ยิ่งพูด แม่หม้ายหลี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าที่ตัวเองพูดนั้นมีเหตุและผลมาก เมื่อครู่ยังมีรู้สึกร้อนตัวอยู่เล็กน้อยขณะนี้ก็กลายเป็นมีเหตุผลเพียงพอสามารถพูดได้อย่างเต็มที่
เห็นแม่หม้ายหลี่ไร้เหตุผลเช่นนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็ไม่ได้โมโห เพียงแค่พูดอย่างเฉยชาว่า“ก็ได้ เมื่อเช่นนี้ พวกข้าก็ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงคัดค้านคำร้องต่อศาล ให้ท่านขุนนางมาเป็นผู้พิพากษาว่าใครถูกใครผิดกันแน่”
เมื่อแม่หม้ายหลี่ได้ยินว่าจะไปตรวจสอบข้อเท็จจริงคัดค้านคำร้องต่อศาล ความได้ใจบนใบหน้านั้นก็แข็งทื่อ
หากไปตรวจสอบข้อเท็จจริงคัดค้านคำร้องต่อศาลจริงล่ะก็ อนาคตของลูกชายนางก็ต้องจบลงแน่เลย?
เพื่ออนาคตของลูกชายตัวเอง แม่หม้ายหลี่กัดฟันและตัดสินใจยอมประนีประนอมและกล่าวว่า “เจ้าจะเอาค่าชดเชยเท่าไหร่?”
“ไม่มาก สามตำลึง”ลั่วเสี่ยวปิงพูดตัวเลขหนึ่งออกมา
สีหน้าของแม่หม้ายหลี่ก็เปลี่ยนไป เอาเงินกี่สิบกว่าเหวินออกมาจากอก บิดพลิ้วดั่งไม่มีความยำเกรงหวาดกลัวอะไรทั้งนั้นและกล่าวว่า “ข้ามีเท่านี้ มากกว่านี้ไม่มีแล้ว หากเจ้าไม่ยอม ข้าก็คงต้องชนตายอยู่ที่นี่ชีวิตแลกด้วยชีวิตสักแล้ว”
“ได้” ลั่วเสี่ยวปิงพยักหน้า “งั้นเจ้าก็ชนตายเถอะ”
พูดจบ ลั่วเสี่ยวปิงหันมองไปทางชาวบ้าน ชาวบ้านบางคนที่มาดูความคึกคักนั้นเพิ่งทำงานการเกษตรเสร็จกลับมายังไม่ทันได้กลับบ้าน ก็รีบมาดูความคึกคักที่นี่ ในมือยังถืออุปกรณ์ทำสวนไว้
ลั่วเสี่ยวปิงแย่งเคียวในมือของคนคนหนึ่งมา จากนั้นก็ยัดใส่ในมือแม่หม้ายหลี่ กล่าวอย่างเย็นชาว่า“นี่ถ้าหากชนครั้งเดียวแล้วไม่ตาย ก็ทุกข์ทรมาน ไม่งั้นเจ้าเอาเคียวนี้ปาดคอจะง่ายกว่า”
“อั๊ก……”แม่หม้ายหลี่กลัวจนโยนเคียวในมือลงบนพื้น สายตาที่มองดูลั่วเสี่ยวปิงนั้นเหมือนมองดูปิศาจ และหน้าก็ซีดมาก
ลูกชายนางยังไม่ได้เป็นใต้เท้า แน่นอนว่านางยังไม่ยากตาย แต่แค่ว่าไม่อยากชดใช้เงินเลยจงใจขู่ลั่วเสี่ยวปิง แต่คาดไม่ถึงว่าลั่วเสี่ยวปิงนี้กลับไม่ยึดตามเหตุผลทั่วไปเหมือนผู้อื่น กล้าให้นางไปตายจริง
“ทำไม คิดดีแล้วหรือยัง จะตายหรือชดใช้เงิน?”ลั่วเสี่ยวปิง น้ำขึ้นให้รีบตัก
“ข้า…ข้าชดใช้เงิน” แม่หม้ายหลี่กลัวและไม่กล้าแกล้งลั่วเสี่ยวปิงอีก หยิบถุงเงินอีกหนึ่งใบออกมาจากอก นำเงินก้อนหนึ่งออกมาให้ลั่วเสี่ยวปิง
เงินก้อนนี้ก็เกือบๆสามตำลึง
หลังจากนำเงินให้ลั่วเสี่ยวปิง แม่หม้ายหลี่ก็กลัวว่าลั่วเสี่ยวปิงจะให้นางไปตายอีก กลัวจนรีบวิ่งหนีไป
เมื่อชาวบ้านที่เหลือเห็นว่าไม่มีละครให้ดูแล้ว ก็ต่างแยกย้ายกันไปหมด
เพียงแต่ว่าในใจของพวกเขานั้น ลั่วเสี่ยวปิงไม่ใช่คนเดิมที่มีลักษณะนิสัยปล่อยให้ผู้อื่นรังแกไปเรื่อยอีกต่อไปแล้ว
แน่นอนว่ายังมีคนหนึ่งที่ยังไม่ไป ก็คือหมอสูคนนั้น