3 คู่กรณี
เราเลือกร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุดนั่งคุยกัน
“สั่งอะไรมั้ย” ฉันถามแฮคหลังจากก้าวเข้ามาในร้าน
“ช็อกโกแลตเย็น ฝากด้วย”
พูดจบเขาก็ผละไปหาที่นั่งทันที ท่าทางสบายอกสบายใจไม่ทุกข์ร้อนจนน่าหมั่นไส้
“เขาคือคนที่แกเล่าให้ฟังเหรอ” ยะหยาที่ตามมาห่างๆ รีบใช้โอกาสนี้ถามทันที ก่อนหน้านั้นเธอเอาแต่เก็บปากเงียบไม่พูดไม่จาคงจะอึดอัดน่าดู ยะหยาเป็นเพื่อนสนิทฉันที่มหา’ลัย มีเรื่องอะไรก็จะคอยปรึกษาพูดคุยกันตลอด จึงไม่แปลกถ้าฉันจะระบายเรื่องผิดพลาดในคืนนั้นให้ยะหยาฟัง
“อืม” ฉันพยักหน้ายืนยันข้อสงสัยของยะหยา ขยับมาที่หน้าเคาน์เตอร์หลังจากถึงคิว “เอาช็อกโกแลตเย็นกับชาเบอร์รี่ค่ะ แกเอาไร...”
“ไม่เป็นไร ฉันสั่งเอง” ยะหยาบอกปัดพร้อมกับยิ้มอ่อน ท่าทางเกรงใจ
“สั่งเลยจะได้จ่ายพร้อมกัน”
“เอางั้นเหรอ”
“อืม ไม่ต้องเกรงใจ ไหนๆ ก็มาแล้วฉันดูแลเอง”
“ก็ได้ เอาชาเขียวปั่นแล้วกัน” พยักหน้าเอออออย่างเสียไม่ได้
“เพิ่มชาเขียวปั่นแก้วหนึ่งค่ะ” ฉันหันไปบอกกับพนักงานที่รอรับออร์เดอร์ หลังสั่งเสร็จก็เดินมาหาแฮคที่โต๊ะ ยอมรับว่าเทสต์ในการเลือกที่นั่งของเขาค่อนข้างดี เพราะโต๊ะที่แฮคนั่งรออยู่ติดผนังกระจก วิวดี ที่สำคัญโต๊ะใกล้เคียงไม่มีคนนั่ง ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนตัว ไม่ต้องพะวงว่าใครจะได้ยิน
“แกคุยกันเลยนะ เดี๋ยวฉันไปนั่งโต๊ะอื่น เอาใบเสร็จมา ถ้าได้แล้วเดี๋ยวไปเอาให้” ยะหยาสะกิดก่อนถึงโต๊ะที่แฮคอยู่ไม่กี่ก้าวแล้วเดินแยกออกไปโดยไม่รอให้ฉันบอก ฉันชอบตรงนี้แหละ ถึงเราจะสนิทกันแต่ยะหยาก็เป็นคนรู้กาลเทศะ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเว้นระยะห่าง เมื่อไหร่ควรเข้าหา
“ว่ามา”
นัยน์ตาคมดุดันปรายมองฉันรอบหนึ่ง หลังจากที่ฉันนั่งลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วแต่ดันนิ่งเงียบ ฉันก็ไม่ได้คิดจะถ่วงเวลาหรือดึงเกม เรื่องที่อยากพูดมันเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำยากเหมือนกัน เพราะงั้นฉันเลยเปิดสัญญาโมเดลลิ่งที่ถ่ายไว้ในสมาร์ตโฟนให้แฮคดู
“แล้ว?”
เขาไล่สายตามองปราดเดียวก็เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าฉัน ไม่เข้าใจว่าฉันต้องการจะสื่ออะไร
“จำไม่ได้จริงๆ เหรอ”
ฉันฉวยสมาร์ตโฟนในมือแฮคคืน สัญญาโมเดลลิ่งคงไปสะกิดใจเขาเข้า ถึงได้จ้องมองฉันด้วยสายตาสุขุมกว่าเดิมนิดหน่อย ย้ำว่าแค่นิดหน่อย
“เราเคยเจอกันมาก่อนงั้นสิ งานไหนล่ะ อืม... จะว่าไป มองไปมองมาหน้าเธอก็คุ้นๆ”
คืนนั้นฉันแต่งหน้าทำผม แต่ตอนนี้ฉันตบแค่คุชั่นกับเขียนคิ้วบางๆ ปากก็ทาแค่ลิปกลอส ผมมัดรวบเป็นโดนัทด้านหลัง คนละลุคกับวันนั้นชัดเจน ทว่าก่อนแต่งกับหลังแต่งมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากหรอกเพราะยังไงฉันก็สวยอยู่แล้ว
“คืนนั้นที่บาร์ในโรงแรม...” ฉันพูดชื่องาน สถานที่ และวันเวลา รวมถึงสถานการณ์ที่พอจะจำได้คร่าวๆ “...ฉันดื่มค็อกเทล แล้วนายก็ช่วยพยุงฉัน จำได้ยัง”
“อ๋อ... เธอคือผู้หญิงในตอนนั้นนี่เอง”แฮคทำหน้าถึงบางอ้อ แต่ผู้หญิงในตอนนั้นเหรอ... ทำไมฟังดูไร้ค่าอย่างนี้นะ
“แล้วมีอะไร”
แฮคหรี่นัยน์ตาคมกริบลงไม่เหลือเศษเสี้ยวความหวานแม้แต่น้อย ท่าทางเร่งรัดเอาความ เตือนให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีความอดทนมากมายนัก
ความรู้สึกกดดันบีบรัดอยู่ในอก ฉันเค้นเสียงพูดออกมา
“คือ... ฉันก็ไม่ได้จะเรียกร้องให้รับผิดชอบอะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ว่าฉันไม่ได้เซ็นสัญญานี่น่ะ ฉันท้วงโมเดลลิ่งไปแล้ว แต่ก็... ไม่ได้อะไร”
“แล้วที่เธอมาบอกฉัน ต้องการอะไร” แฮคกระตุกมุมปากในน้ำเสียงรู้สึกได้ถึงความดูถูกดูแคลน นัยน์ตาคมยังคงหรี่เล็ก ทว่าสายตากลับจ้องเขม็งราวกับจะมองคนให้ทะลุปรุโปร่ง
ฉันสูดหายใจลึก มาขนาดนี้แล้วจะถอยไม่ได้เด็ดขาด
“ส่วนต่าง ฉันต้องการเงินเท่ากับในสัญญา”
กลั้นใจพูดออกไปจนได้ ลึกๆ ฉันอายแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้วที่ต้องมาทวงเงินค่าตัวจากผู้ชายที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย
ให้ปล่อยผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าฉันก็ไม่อยากเสียเปรียบไง อย่างน้อยๆ ก็ต้องทวงถามผลประโยชน์ที่ควรจะได้ดูก่อน ดีกว่าไม่ทำอะไรแล้วเอาแต่นั่งคิดเวทนาตัวเองไม่จบไม่สิ้น
“อุบ! ฮ่าๆ”
แฮคหน้าเครียดอยู่ดีๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา
ฉันเลิ่กลั่กก่อนจ้องเขาเขม็ง มีอะไรน่าขำกัน
“ไม่ตลกนะ” ฉันถลึงตาใส่แฮคที่เสียงดังจนตกเป็นเป้าสายตาของคนในร้าน ก่อนจะเหลือบไปเห็นยะหยาที่อยู่อีกโต๊ะ ตรงหน้ามีเครื่องดื่มที่สั่งเอาไว้วางอยู่ ไม่รู้ว่าไปเอามาตอนไหน ฉันมัวแต่จดจ่ออยู่กับแฮคจนไม่ได้ฟังเสียงเรียกคิวของพนักงาน แต่ยะหยาก็ไม่ได้ถือเครื่องดื่มมาให้ฉันกับแฮคที่โต๊ะเหมือนไม่อยากเข้ามาขัดจังหวะ
“ฮ่าๆ โทษที มันผิดคาดน่ะ” แฮคเอามือปิดปาก กลืนเสียงหัวเราะลงคอ ก่อนจะปรับสีหน้าจริงจังขึ้นทว่าแววขบขันก็ยังหลงเหลืออยู่ในดวงตาคมคายที่เห็นแล้วอยากเอานิ้วทิ่มให้เจ็บตาย
ฉันไม่อยากซักไซ้ว่าเขาผิดคาดเรื่องอะไร ไหนๆ ก็เปิดใจคุยขนาดนี้แล้ว ก็ต้องเอาให้มันชัดเจนไปเลย มัวแต่กระมิดกระเมี้ยนแล้วแฮคไม่อยู่รอฟังฉันนี่แหละจะเสียใจ
“ตกลงว่านายจะจ่ายส่วนที่เหลืออีกครึ่งหรือเปล่า”
“ปกติแล้วเรซจะเป็นคนจัดการเรื่องเงิน แต่มันไม่เคยทำบัญชีพลาด”
“แปลว่าอะไร” พูดจากำกวม ตอบไม่ตรงคำถาม ได้กลิ่นคนขี้โกงโชยมาแล้ว
“ต้องไปเช็กกับเรซก่อนว่ามันจ่ายค่าตัวครบตามสัญญาหรือเปล่า”
“สัญญา? ก็ฉันบอกว่าไม่ได้เซ็น ที่ว่าจ่ายค่าตัวครบมันหมายความว่ายังไง พูดให้ชัดๆ หน่อย” คิ้วฉันกระตุก อุตส่าห์บากหน้ามาพูดขนาดนี้แล้วแต่กลับโดนบ่ายเบี่ยงง่ายๆ เลยเนี่ยนะ
ไม่สิ... ฉันมัวแต่คิดในมุมตัวเอง เข้าข้างตัวเองว่ายังไงก็ต้องได้ในสิ่งที่ควรได้ พอสถานการณ์ไม่เป็นตามที่คิดก็หน้าแตกยับเยิน ทั้งโกรธทั้งเสียหน้าจนมือไม้สั่นไปหมด
เสียงสมาร์ตโฟนแฮคดังได้จังหวะพอดี เขามองหน้าจอแล้วลุกขึ้นปุบปับ พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนที่คุยกับฉันอยู่นี่ไม่มีอะไรสำคัญ
“ไว้จะเช็กให้แล้วกัน”
ได้ยินแล้วไม่พอใจอย่างแรง
“เช็กเหรอ! แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” ฉันโพล่งเสียงดัง ก่อนที่แฮคจะก้าวออกจากโต๊ะแล้วก็โดนเขาทำหน้าฉุนเฉียวใส่ทันที
“กลัวไม่ได้เงิน หรือว่าที่จริงเธอมีจุดประสงค์อื่น”
“หา? พูดอะไร” ฉันโดนสายตาแฮคไล่ต้อน สมองเป็นอัมพาตชั่วขณะ งง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่จากสายตากับน้ำเสียงเดาได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่แฮคไม่คิดสาธยายคำพูดให้ฉันเข้าใจสักนิด เขาสบประมาทฉันเสร็จก็เดินออกไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เดี๋ยวสิ!” คิดว่าฉันจะยอมให้จากไปง่ายๆ เหรอ “แฮครอก่อน เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”
ฉันไล่ตามเขาไปติดๆ ดึงแขนแฮคเอาไว้ได้ทันตรงประตูร้านกาแฟพอดี ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าใครจะมองด้วยสายตายังไง
ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าปล่อยแฮคไปตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีก แล้วความพยายามของฉันในวันนี้ก็จะสูญเปล่า แบบนั้นมันน่าโมโหยิ่งกว่าตกเป็นเป้าสายตาตอนนี้หลายเท่า
“ปล่อย เธอกำลังทำฉันรำคาญ”
แฮคสะบัดแขนทีเดียวก็หลุด แรงเยอะชะมัด
ฉันจะคว้าแขนเขาอีกแต่เขาเบี่ยงหลบไม่ยอมให้จับง่ายๆ เป็นแบบนั้นอยู่สองสามตลบ จนเสียงสมาร์ตโฟนที่เงียบไปแล้วของแฮคดังขึ้นมาใหม่ เขาชะงักแวบหนึ่งแล้วจู่ๆ รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจก็ผุดขึ้นบนมุมปาก
“หรือว่าเธอจะร้อนเงิน”
“....” ฉันชะงัก ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ถึงจะไม่ขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าเงินจะไม่ขาดมือ
“ว่าไง จะตามมาก็ได้นะ ฉันมีข้อเสนอ”
“ข้อเสนอ?”
“....” มุมปากแฮคยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่ฉันก็อยากรู้ว่าข้อเสนอของเขาคืออะไร
“ขอฟังดูก่อน” ฉันเชิดหน้าขึ้น มีความเล่นตัวนิดๆ
“ตามมา เดี๋ยวจะอธิบายระหว่างทาง”
“เอ้า!?”
แฮคเดินนำลิ่วไปโน่นแล้ว
โธ่เอ๊ย ฉันสบถลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ จ้ำอ้าวตามร่างสูงของแฮคไป ไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่