2 เศษความหวาน
ภายในห้องที่แสนเงียบเชียบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้น ฉันตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับความว่างเปล่า นอกจากฉันกับรอยยับย่นบนเตียงก็ไม่มีเงาของคนอื่นอยู่เลย
นี่มัน... เรื่องบ้าอะไรกัน
ฉันเสยผมที่ปิดหน้าออกเพื่อจัดการกับความคิดและจิตใจที่กำลังสับสน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เหมือนเมาค้าง มีอาการปวดหนึบตั้งแต่ขมับร้าวไปถึงต้นคอด้านหลัง จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มแค่ค็อกเทล...
...ทั้งที่ดื่มแค่ค็อกเทล
แล้วสภาพฉันตอนนี้คือ? โอ๊ยยย ปวดหัว... พอสติค่อยๆ คืนกลับมาก็รู้สึกถึงร่องรอยที่หลงเหลือตามร่างกาย ถึงความทรงจำเมื่อคืนจะเลือนรางเหมือนภาพตัดไปดื้อๆ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันจำได้ขึ้นใจคือผู้ชายผมสีฟ้าอมเทาคนนั้น แฮค...
กระทั่งตอนนี้รอยยิ้มแสยะที่ดูเจ้าเล่ห์ของเขายังแจ่มชัดราวกับมายืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
หว่างขาร้อนวูบเกิดอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาทันควัน ร่างกายมีความทรงจำจากสัมผัสของเขาเหลืออยู่ พอนึกถึงก็เลยมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา
เราทำกันยังไงบ้างนะ
ภาพในหัวขาดเป็นท่อนๆ ไม่ต่อเนื่อง ...แต่เหมือนแฮคจะช่ำชองมากด้วย คงจะผ่านผู้หญิงมาเยอะน่าดู แค่คิดว่าฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ว่าแต่ใช้ถุงยางหรือเปล่านะ โอ๊ยให้ตายสิ ทำไมจำไม่ได้เนี่ย ปกติฉันก็ไม่ใช่คนปล่อยเนื้อปล่อยตัวอย่างนี้แต่ว่าเมื่อคืนรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างผิดปกติทำให้สติฉันไม่อยู่กับร่องกับรอย ฉันกวาดตามองไปทั่วห้องด้วยความรู้สึกกังวล คิดมาก อีกนิดเดียวก็จะกัดเล็บตัวเองแล้ว
เรื่องท้องไม่กังวลหรอก เพราะฉีดยาคุมทุกสามเดือน... แต่เฮ้อ ช่างเถอะปวดหัวชะมัด
ถึงจะขุ่นเคืองขนาดไหนแต่ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกค้า เพราะแบบนั้นถึงได้รู้สึกโมโหอยู่นี่ไงล่ะที่พลาดท่า โวยวายไปก็มีแต่จะโดนหัวเราะเยาะเท่านั้น ดีไม่ดีกระทบกับงานอีก สัญญาที่ให้เซ็นตอนนั้นก็ครอบคลุมเรื่องนี้ด้วยสิ
แต่ฉันไม่ได้เซ็น... พอจะทำอะไรได้ไหมนะ
ถ้ายกเรื่องสัญญามาพูดอาจจะถูกด่าว่างอแงก็ได้
ว่าแต่ว่า... รายละเอียดสัญญานั่นมันยังไงแล้วนะ โทรศัพท์...เหมือนจะถ่ายรูปเก็บไว้ ค่อยเช็กดูทีหลังแล้วกัน รีบออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าห้องพักนี่เปิดเอาไว้กี่วัน ขืนอยู่เกินเวลาจะโดนชาร์จราคาเอาได้
ไม่กี่วันต่อมา
ถึงจะบอกว่าความรู้สึกขุ่นเคืองที่เผลอนอนกับคนในงานเบาบางลงแล้ว แต่ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ซะทีเดียวเพราะเงื่อนไขเรื่องสัญญาทำให้รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ ที่บอกว่าคนเซ็นจะได้เงินสองเท่าน่ะ ก็เหมือนบอกใบ้กลายๆ ว่าคนที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกค้าจะได้เงินสองเท่านั่นแหละ ฉันไม่ได้เซ็นก็จริง แต่ฉันก็มีอะไรกับลูกค้า มองในมุมความเท่าเทียมแล้ว ฉันก็ควรได้ค่าจ้างสองเท่าเช่นกัน
โอ๊ยจะบ้า!
คิดจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว สุดท้ายก็ทนเก็บเงียบไม่ไหว แชตไปถามค่าจ้างที่ควรจะได้จากพี่ช่อฟ้า โมเดลลิ่งที่รับงานในวันนั้น
ทว่าผลลัพธ์กลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นอกจากพี่ช่อฟ้าจะไม่รับผิดชอบแล้วยังโทรมาโมโหใส่ฉันชุดใหญ่แบบน้ำไหลไฟดับ ฉันหูแทบไหม้ แย้งหรือเถียงอะไรไปก็ไม่มีน้ำหนักเพราะคำว่า “ไม่ได้เซ็นสัญญา”
“...ยังจะมีหน้ามาขอเงินเพิ่ม ตอนบอกให้เซ็นทำไมไม่เซ็น ทีนี้เป็นไงล่ะ แล้วมาโวยวาย พี่ให้ไม่ได้หรอกนะเพราะเราไม่ทำตามเงื่อนไขแต่แรก อีกอย่าง ถ้าพี่ให้จูน แล้วคนอื่นเอาไปทำตามบ้าง มันเสียการปกครองเข้าใจมั้ย!”
ฉันยังจำน้ำเสียงฉุนเฉียวขึ้นจมูกนั้นได้... สุดท้ายฉันก็ได้แต่กล้ำกลืนคำพูด
ขอโทษที่ทำตัวมีปัญหาเพราะพี่ช่อฟ้าเล่นบลัฟเรื่องงาน ขู่ว่า
“...ถ้าหนูยังทำตัวเรื่องมาก ต่อไปพี่คงต้องพิจารณาแล้วล่ะ”
ฟังแล้วถึงกับใจแป้ว อยากจะคลานเข่าเข้าไปกราบขอมาแทบเท้าแหนะ
เฮ้อ...
แค่คิดถึงตอนคุยโทรศัพท์กับพี่ช่อฟ้าก็เลือดขึ้นหน้าแล้ว
“เฮ้ยจูนระวัง!”
ปึ้ก!
“โอ๊ย...”
บ้าจริง! ฉันเดินเตะป้ายทำความสะอาดอย่างจัง เล็บหลุดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก่อนจะสนใจตัวเอง สายตากลับมองตามป้ายทำความสะอาดสีเหลืองหม่นที่ลอยไปชนกับหน้าแข้งของคนที่บังเอิญเดินผ่านมาตรงนั้นพอดี
พลั่ก...
ป้ายกระแทกแล้วหยุดนิ่ง
ฉันตกใจอ้าปากเหวอ ไล่สายตาจากล่างขึ้นบนกำลังจะปรี่เข้าไปขอโทษ ทว่าหน้าตากับสีผมของคู่กรณีกลับทำฉันอึ้งยิ่งกว่าเดิม
ใบหน้าเรียวคมเข้ม กระดูกกรามชัดรับกับสันจมูกโด่ง นัยน์ตาเข้มดุดันที่มีประกายซุกซนเคลือบอยู่ แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าใครก็คือเส้นผมสีฟ้าอมเทา
แฮค...
ภาพเงาเลือนรางของคนที่ขยับอยู่บนตัวทอวาบเข้ามาในหัว อาการร้อนรุ่มไร้ที่มาเอ่อล้นไปทั้งตัว
ดันมานึกถึงเรื่องคืนนั้นตอนเจอหน้าเขาอีกครั้งเนี่ยนะ นี่ฉันเป็นคนยังไงเนี่ย
ฉันสบตาแฮค รีบสะบัดความรู้สึกว้าวุ่นในทรวงทิ้ง ดึงสติตัวเองกลับมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้า ทว่าคำขอโทษเรื่องเตะป้ายกระเด็นใส่เขาดันติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่ได้พูดออกไป
อะไรจะบังเอิญขนาดนี้นะ ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาฉันเอาแต่คิดมากว่าจะติดต่อเขาเพื่อทวงถามความรับผิดชอบหรือปล่อยเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดี ความคิดในหัวฉันตีกันยุ่งไปหมด ฉันรับไม่ได้ที่พลาดท่าเสียทีแต่ขณะเดียวกันถ้าจะเรียกร้องหาความรับผิดชอบก็กลัวว่าจะส่งผลกระทบกับงาน ฉันไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด รายได้หลักก็มาจากงานสายบริการ ขืนบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลังจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีน่ะสิ
ฉันก็ไม่อยากจะยึดติดกับเซ็กส์หรอก แต่คิดทีไรมันก็ปรี๊ดขึ้นสมอง รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบยังไงก็ไม่รู้ นี่แหละที่รับไม่ได้
เพราะยังคิดไม่ตก เลยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจพบกับแฮค พอบังเอิญเจอกันกะทันหันมันก็นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี หรือควรเริ่มจากตรงไหน
ตอนนี้ฉันประหม่าจนลิ้นชาแล้ว
ชั่วขณะที่ฉันเหมือนลืมเสียงเอาไว้ที่บ้าน แฮคชำเลืองมองป้ายที่พื้น สีหน้าท่าทีไม่สะทกสะท้าน ไม่ตำหนิ หรือว่ากล่าวอะไรสักคำ เหมือนจะเดินผ่านไปเฉยๆ ด้วย
อะไรกัน อย่าบอกนะว่าจำฉันไม่ได้น่ะ
“เดี๋ยวสิ!”
เท้าฉันเหมือนติดจรวด จู่ๆ ก็พุ่งพรวดเข้าไปคว้าแขนแฮคเอาไว้ ขนาดยะหยาเพื่อนที่มาด้วยกันยังทำหน้าเหวอ ถึงจะรู้สึกอายแต่จิตใต้สำนึกไม่ยอมให้ปล่อยเขาไป
“คุยกันก่อน”
หัวใจฉันเต้นตึกตัก ทั้งที่ตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ยังไม่รู้สึกกดดันเวลาคุยเลยสักนิด แต่พอเจอกันข้างนอกกลับประหม่าไม่มีความมั่นใจในตัวเอง หรือเพราะมีอะไรกันแล้วก็เลยอึดอัด เกี่ยวมั้ย?
“เธอเป็นใคร” ดวงตาคมสะกดจิตสะกดใจทุกครั้งที่เผลอจดจ้องหรี่ลงเล็กน้อย …ราวกับว่าไม่เคยเจอกันมาก่อน
“หา? เอ่อ...”
ฉันชะงัก ตอนแรกนึกว่ามุกตลก แต่แววตาแฮคไม่ได้โกหก เขาจำฉันไม่ได้จริงๆ
บ้าน่า… ถึงฉันจะมั่นใจว่าคืนนั้นคนที่ฉันกอดคือแฮค แต่โดนอีกฝ่ายลืมใส่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้มันช่าง…
“แฮค?”
เห็นเขาแสดงออกว่าไม่รู้จักกันแบบนี้ ฉันก็แอบหวังว่าอาจจะทักคนผิด อาจจะเป็นแค่คนหน้าเหมือน ทว่าความคาดหวังก็พังครืนลงในพริบตา
“รู้จักฉันเหรอ เธอชื่ออะไร” เขาทำหน้าหลงตัวเองขึ้นมาทันที
“…!!!”
หมอนี่คือแฮคจริงๆ ใบหน้าฉันชาวาบ
“เธอ…”
เขายิ้มมุมปาก ดวงตาคมฉายแววแพรวพราว ขยับเข้าใกล้มากขึ้นเหมือนต้องการจะมองหน้าฉันใกล้ๆ
สายตาที่สาดมายังใบหน้าฉันคือสายตาของคนที่กำลังประเมินรูปลักษณ์ของผู้หญิง… ไม่ใช่สายตาของคนที่มองเพราะรู้สึกคุ้นเคย ตอกย้ำว่าเขาไม่ได้ใส่ใจจดจำหน้าผู้หญิงที่เคยนอนด้วยเลย
จากข้อมูลที่ฉันสืบหามาเกี่ยวกับแฮค เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมเรดซัน ทีมแข่งรถชั้นนำทีมหนึ่ง ตอนที่รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในแกนนำของทีมฉันก็ตกใจเหมือนกัน เพราะครั้งแรกที่เจอดันเข้าใจว่าเขาเป็นแค่ลูกกระจ๊อกต๊อกต๋อยน่ะสิ จะว่าฉันมีตาหามีแววก็ไม่ได้เพราะคืนนั้นเขาเล่นแต่งตัวติดดินแถมยังมีคราบกับกลิ่นน้ำมันเครื่องติดตัว สภาพแบบนั้นใครเห็นก็ต้องเข้าใจว่าเป็นลูกน้องปลายแถวทั้งนั้นแหละ
...แต่ช่างเรื่องความประทับใจแรกที่ฉันมีต่อเขาก่อนเถอะ
จากข้อมูลที่หามา ประเด็นสำคัญก็คือ แฮคขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงมาก ฟาดเรียบไม่เกี่ยงเวลาหรือสถานที่ หลังจากคืนนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ไม่แน่เขาก็คงไปมีอะไรกับคนอื่นอีก คงไม่คิดจะจำเรื่องของผู้หญิงที่ตัวเองนอนด้วยให้รกสมองหรอกมั้ง
ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่พอเจอกับตัวแม่งก็เจ็บว่ะ...
“…ว่าไง?”
แฮคเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นจนรู้สึกถึงลมหายใจที่ราดรดข้างแก้ม ระยะแค่นี้เล่นเอาหัวใจจะวายจริงๆ ไม่ใช่แค่ฉันแต่ว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือแม้แต่ยะหยาเพื่อนฉันเองยังทำหน้าแตกตื่นที่เห็นคนทำตัวสนิทสนมกันกลางห้างฯ
“เอ๊ะ? เอ่อ… โทษที เรื่อง ...เรื่องป้ายทำความสะอาด ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษด้วย” ฉันกะพริบตาเรียกสติ พูดจบก็ปล่อยมือจากแขนแฮค ถอยห่างออกมาครึ่งก้าว
แฮคเลิกคิ้ว ท่าทางเหมือนนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยินจากปากฉัน
“ไม่ได้ยินเหรอ ฉันถามชื่อเธอน่ะ”
“เอ๊ะ!?”
เขาถามชื่อฉันตอนไหนเหรอ ฉันกะพริบตาปริบๆ ไม่เห็นจะรู้เลย
“ชื่อเหรอ”
“ไม่อยากบอกไม่เป็นไร”
แฮคตัดบท เหมือนไม่อยากบอกก็ไม่ง้อ อะไรกัน ท่าทางหลงตัวเองนั่น ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกจี๊ดที่ใจ
“เรื่องป้ายช่างเถอะ เธอไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่เหรอ”
เขาบอกก่อนจะผละออกไปอย่างไม่ติดใจกับอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ
“เดี๋ยว!”
ฉันรีบดึงเสื้อด้านหลังแฮคเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินหายไป
“หืม?”
แฮคหันกลับมา สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย บรรยากาศเป็นมิตรเลือนหายพร้อมกับความรำคาญปรากฏเข้ามาแทนที่ ฉายออกมาผ่านแววตาคมปลาบ
บรรยากาศรอบตัวแฮคตึงเครียดขึ้นมาราวกับดีดนิ้ว
นี่ฉันมัวทำบ้าอะไรอยู่นะ มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ เล่นบทขี้อายไปได้ น่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ
ฉันสบตาแฮคด้วยสายตาที่แน่วแน่ บอกตัวเองให้หน้าด้านหน้าทนเข้าไว้
“ฉันมีเรื่องจะคุย เกี่ยวกับคืนนั้น...”
“คืนนั้น?” นัยน์ตาคมสะท้อนไหว ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกสนใจฉันมากเป็นพิเศษแต่ก็สงสัยในคำพูดฉันเหมือนกัน
“ยาวน่ะ หาที่นั่งคุยกันก่อนเถอะ” ฉันเสนอ
“ฉันมีนัด ...แต่ไม่สำคัญหรอก ตอนนี้ฉันสนใจเรื่องของเธอมากกว่า ไม่สิ ต้องพูดว่าเรื่องของเราถูกหรือเปล่า?”
“....”
ยังจะมากรุ้มกริ่มใส่ฉันอีก แต่เขาก็ดูดีจนไม่น่าเชื่อจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเราไม่เคยมีประเด็นกันมาก่อนฉันต้องเคลิ้มไปด้วยแน่ๆ