บท
ตั้งค่า

4 ปุบปับไหว้แม่

ยะหยา : เกิดอะไรขึ้น แกอยู่ไหน

เสียงเตือนข้อความดังขึ้นระหว่างทาง พอเปิดดูก็เห็นว่ายะหยาทักมาแต่ฉันไม่ได้ตอบ ปัดหน้าจอปิดแล้วเก็บเครื่องเข้ากระเป๋า มองแผงไหล่กว้างของคนตรงหน้า อดรนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

“นี่ ตกลงว่าเรื่องอะไร ฉันเดินตามนายมาสักพักแล้วนะ จะบอกได้หรือยัง”

“....” จู่ๆ แฮคก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา

“...!!!” ฉันชะงักกึก เบรกเท้าแทบไม่ทัน เผลอสะดุดไปครึ่งจังหวะด้วยแต่ทรงตัวได้ไวก็เลยดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แม่ฉันอยู่ร้านข้างหน้านี่เอง”

“แม่? แม่นาย”

งงแล้วนะ แม่แฮคมาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย... รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

“เธอต้องแกล้งเป็นเมียฉัน”

“ห๊า?”

“ไม่สิ ก็เป็นไปแล้วนี่ แค่บอกแม่ว่าเราคบกันก็พอ”

“หา!” ฉันเบิกตาค้าง ตอนแรกยังไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า แต่ตอนนี้รู้สึกหน้าคันยิบๆ เหมือนโดนสาดด้วยน้ำเค็ม คำว่า “เมีย” จากปากแฮคมันระคายจิตใจคนฟังอย่างฉันมาก ถึงเราจะมีอะไรกัน แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเมียใครตอนนี้ ต่อให้จะเป็นแฮคก็เถอะ

“ซีเรียสอะไร ฉันไม่ได้จะเอาเธอมาเป็นเมียจริงๆ สักหน่อย แค่เล่นละครน่ะ อย่าคิดลึก”

สายตาที่บอกว่าห้ามเข้าใจผิดหรือคิดล้ำเส้นกับเขาเด็ดขาด เล่นเอาจุกเสียดเหมือนกรดไหลย้อนกำเริบ

ถึงฉันจะไม่มีความคิดอยากเป็นเมียเขาจริงๆ แต่ไอ้ท่าทางหลงตัวเองแบบนั้นมันก็น่าหมั่นไส้บอกไม่ถูก นี่ฉันเครียดจนลงกระเพาะแล้วนะ

ณ ร้านอาหารหรูในห้างฯ ดัง

แต่ละโต๊ะถูกจัดเอาไว้ห่างกัน มีฉากไม้กั้นอย่างลงตัว แค่เดินเข้ามาก็รับรู้ได้ถึงความเรียบหรูและบรรยากาศเงียบสงบผิดกับความวุ่นวายด้านนอกลิบลับ ไม่น่าเชื่อว่าในห้างจะมีร้านอาหารที่ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแบบนี้อยู่ด้วย

“เล่นให้เนียนล่ะ”

แฮครั้งเอวฉันเข้าไปโอบ กดเสียงพูดกระซิบลอดไรฟันเหมือนกลัวใครจะได้ยินทั้งที่ไม่มีใครสนใจพวกเราสักคน

ฉันไม่ตอบอะไร แค่รู้สึกอึดอัดกับมือที่เกาะอยู่ตรงบั้นเอว ปัดออกอย่างไม่พอใจ

“จะโอบทำไม ไม่ต้องออกนอกหน้าก็ได้ ยิ่งพยายามมันก็ยิ่งไม่เนียน”

“เอาเถอะน่า”

เขาโอบเอวฉันกลับ แล้วกระตุกให้เดินไปด้วยกันทั้งแบบนั้น

บ้าบอจริงๆ นี่ฉันมาทำอะไรเนี่ย

ถึงจะรู้สึกขัดขืนอยู่ในทีแต่ก็ยอมให้แฮคโอบเอวเดินจนมาถึงโต๊ะเป้าหมาย มีผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งดูมีอายุแต่ก็ยังดูดี ใบหน้าสวยเป๊ะ ที่สำคัญมีความละม้ายคล้ายแฮคอยู่บ้าง โดยเฉพาะนัยน์ตา...

ส่วนผู้หญิงอีกคน น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ดูๆ ไปเหมือนจะเด็กกว่าฉันแค่ไม่กี่ปี

“แฮค? แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้มาคนเดียว พาเพื่อนมาทำไม”

เป็นแม่แฮคจริงๆ ด้วยสินะ

...นัยน์ตาคมดุที่มีแววออกไปทางหวานนิดๆ เหมือนแม่เขานี่เอง เอ๊ยไม่สิ นี่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้นซะที่ไหน ฉันเรียกสติตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงเพราะยังไม่ทันทักทายอะไรสักคำ มาถึงก็โดนสายตากดดันข่มซะจนไม่กล้าเงยหน้าเลย

“ไม่ใช่เพื่อน แฟน” แฮคกระชับมือข้างที่โอบเอวฉันแน่นขึ้น ส่งสายตายิ้มหวานให้แม่ ทว่ากลับได้รับแววตาเขียวขุ่นกลับมาแทน

“เล่นอะไร นี่ไม่ใช่เวลา” แม่แฮคเสียงเฉียบ ก่อนจะชำเลืองหางตารังเกียจมาทางฉัน “นี่มันเวลาครอบครัว คนนอกไม่เกี่ยว”

ไล่กันซึ่งๆ หน้า ไม่คิดจะถนอมน้ำใจอะไรเลย

ทางนี้ก็ไม่อยากเกี่ยวเหมือนกัน แต่แฮคมันไม่ปล่อยมือจากเอวฉันเนี่ยสิ

“ช่างเถอะ ถ้าแม่ไม่สะดวกใจไว้วันหลังค่อยนัดกันใหม่ ไปเถอะ” แฮคพูดแบบไม่สะทกสะท้าน กระตุกแขนข้างที่โอบเอวเป็นเชิงเตือนให้ออกไป แต่ยังไม่ทันที่เราจะขยับตัว เสียงฉุนเฉียวของแม่ก็ดังขึ้น

“แฮค นี่แม่นะ... แกทำอะไรเห็นแก่หน้าแม่หน่อย”

แฮคถอนหายใจเฮือกยาวขณะที่แม่ของเขาหายใจฮึดฮัดเหมือนคนกำลังจะความดันขึ้น

“ก็มาให้แล้วนี่ไง แม่จะอะไรอีก”

“แม่ไม่ได้บอกให้พาคนอื่นมาด้วย”

แฮคยักไหล่ ท่าทางไม่สำนึกสักนิด มองไปที่ผู้หญิงอีกคนบนโต๊ะซึ่งเงียบมาตลอด ทว่าสีหน้ากลับไม่สู้ดีเท่าไหร่

“โทษทีนะพัฟฟิน ไม่ว่าอะไรใช่มั้ยที่พี่พาแฟนมาด้วย”

“คะ? เอ่อ... ไม่... จะว่าอะไรล่ะคะ พี่จะพาใครมาพัฟก็ไม่มีสิทธิ์ว่าหรอกค่ะ”

ทำไมเสียงพูดดูอ่อนกำลังแบบนั้นล่ะ แถมยังส่อแววน้อยใจอีกต่างหาก ขนาดฉันฟังแล้วยังรู้สึกสงสารยังไงก็ไม่รู้

พออีกคนไม่ว่าอะไร แฮคก็ชำเลืองสายตาไปทางแม่ตัวเอง

แม่แฮคชักสีหน้าไม่ชอบใจออกมา แต่กลับไม่ไล่ตะเพิดพวกเราอีก

ไม่สิ... จะว่าพวกเราก็ไม่ถูก ที่โดนไล่น่ะมีแค่ฉันต่างหาก

นั่นแหละ พอยัยพัฟฟินอะไรนั่นยอม คุณแม่แฮคก็อ่อนตาม ยอมให้นั่งร่วมโต๊ะกันสี่คน

ทว่าบรรยากาศกลับฝืดจนจะหายใจก็ยังรู้สึกว่ายากเย็นนัก

“สั่งอาหารกันเลย”

แม่แฮคเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่เหมือนเป็นคำสั่งให้ใครสักคนเรียกพนักงานเสิร์ฟ แน่นอนว่าคงไม่คาดหวังให้ฉันเป็นคนเรียกหรอก ฉันยังคงนั่งนิ่ง ปิดปากเงียบ มีแอบมองข้างๆ บ้าง ไถจอเล่นบ้างเป็นการฆ่าเวลา คือพยายามทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองเหมือนไร้ตัวตนบนโต๊ะอาหารที่สุด

“กินอะไร” แฮคถามหลังจากพนักงานมารอรับออร์เดอร์แล้ว ฉันยื่นหน้ามองเมนูเล่มเดียวกับเขา เพราะเมนูเล่มอื่นถูกยัยพัฟฟินอะไรนั่นกับแม่แฮคยึดเอาไว้หมด

“อืม... เอา”

“พัฟอยากทานอะไรสั่งเลยนะลูก”

ยังไม่ทันตอบ เสียงเอาใจใส่ของแม่แฮคก็ดังขึ้นแต่ไม่ได้พูดกับฉัน

“ค่ะ” พัฟฟินยิ้มรับ ใบหน้าดูอ่อนหวานเรียบร้อย น่าทะนุถนอม

แต่เมื่อกี้เหมือนจงใจพูดขัดกันเลยแฮะ ฉันเหลือบมองพัฟฟินกับแม่แฮคสลับกันไปมา พัฟฟินไม่สบตาฉันเลยสักครั้งผิดกับแม่แฮคที่เหมือนจะมองฉันด้วยสายตาทิ่มแทงอยู่เนืองๆ

ฉันอยากปฏิเสธแฮคว่าไม่หิว แต่รู้สึกเหมือนถ้าทำตัวมีประเด็นขึ้นมาจะยิ่งโดนเกลียด เลยตามน้ำสั่งไปแบบส่งๆ

ช่วงที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ บรรยากาศบนโต๊ะเงียบกริบ ต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง

พัฟฟินเล่นสมาร์ตโฟนเหมือนฉัน ต่างก็ตรงที่ยัยนั่นแทบไม่เงยหน้าเลย ผิดกับฉันที่ต้องคอยระแวดระวังสายตาแม่แฮคเป็นระยะ อึดอัดจะแย่อยู่แล้วเนี่ย

“แม่ไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ ไม่อยากอารมณ์เสียก่อนทานข้าวเดี๋ยวอาหารไม่ย่อย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็พูดไปเลยแล้วกัน ยังไงซะ รสชาติอาหารมื้อนี้ก็คงไม่ถูกปากแล้ว”

“....”

ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกันทันทีที่เสียงแม่แฮคดังขึ้น

แต่ว่าคุณแม่จะจ้องหนูคนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะคะ ช่วยกระจายรังสีอำมหิตนี่ไปให้คนอื่นบ้างเถอะ นี่เกร็งจนตะคริวจะขึ้นคออยู่แล้ว

“แฮคก็รู้ว่าแม่นัดมาทำไม ทำแบบนี้คิดจะหักหน้าแม่หรือยังไง”

“หักหน้ายังไง เขาเรียกเปิดเผยจริงใจต่างหาก” แฮคหลุดขำออกมาครั้งหนึ่ง โต้ตอบแม่ด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งที่แม่เครียดจนหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีเลือดอยู่แล้ว ส่วนยัยพัฟฟินก็สีหน้าซีดแล้วซีดอีก

“แฮค!”

“คุณน้าคะ” พัฟฟินรีบเรียกแม่แฮคที่กำลังจะปรอทแตกเอาไว้ ก่อนจะมองหน้าแฮคตรงๆ เป็นครั้งแรก “พัฟรู้ค่ะว่าพี่แฮคเป็นเสือผู้หญิง ที่พี่พาคู่ขามาด้วย พัฟไม่ตกใจเท่าไหร่หรอกค่ะ ยังไงซะ อีกเดี๋ยวพี่ก็คงเปลี่ยนคนควงอยู่ดี”

โห! ถึงฉันจะไม่ใช่คู่ขาแฮค แต่ว่าฟังแล้วมันจี๊ดที่อกยังไงไม่รู้ว่ะ ไหนจะสายตาที่มองเหยียดนั่นอีก ตอนนั้นฉันไม่น่าไปนึกเห็นใจเธอเลยจริงๆ

เอาไงดี จะตอบกลับยัยนั่นให้เจ็บแสบหรือเก็บงำความเงียบต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีล่ะ ระหว่างที่ฉันคิดไม่ตก เสียงเย้าหยอกของแฮคก็ดังตอบพัฟฟิน

“ใจกว้างดีนี่”

“ค่ะ พัฟไม่ใจแคบ แต่ว่าก็ไม่ได้ใจดีหรอกนะคะ”

“ฮ่าๆ”

แฮคหัวเราะชอบใจ ไม่รู้เขาพอใจเรื่องอะไร ตอนนั้นอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟทำให้บทสนทนาที่คาราคาซังจำต้องหยุดลงอย่างเสียไม่ได้

บรรยากาศบนโต๊ะกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง ได้ยินเสียงช้อนส้อมกระทบกับผิวจานเบาๆ เป็นระยะ กับเสียงชื่นชมรสชาติอาหารของแฮคเป็นช่วงๆ

“แม่ติดต่อโรงงานผ้าเอาไว้แล้วนะ จะไปวันไหนก็พาพัฟฟินไปด้วย น้องจะไปดูผ้ามาทำคอลเลคชั่นใหม่เหมือนกัน”

แม่แฮคเอ่ยขึ้น ไม่รู้จงใจพูดให้ฉันได้ยินหรือเปล่า อันที่จริงสองแม่ลูกจะไปคุยกันนอกรอบก็ได้ หรือไม่ก็พูดให้รับรู้ทั่วกัน แฮคจะได้ไม่หาเรื่องบ่ายเบี่ยง?

“ดูวันว่างอีกที”

แฮคพูดอย่างไม่ใส่ใจ ดูเหมือนความตั้งใจของแม่จะไม่เป็นผล เพราะลูกชายชอบทำอะไรตามใจตัวเอง

“เอาวันที่พี่แฮคสะดวกเลยค่ะ พัฟรอได้”

ทำไมรู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ในคำว่า “รอได้” กันนะ จะสื่อว่ารอแฮคได้เสมอแบบงี้เหรอ

...อาการหนักแฮะ ไม่ใช่พัฟฟินนะ ฉันเนี่ยแหละ

ทำไมต้องมานั่งตีความคำพูดคนอื่นด้วยนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด เฮ้อ อิ่มกันได้หรือยังเนี่ย เบื่อจะแย่แล้ว อยากกลับห้องนอน

“ได้ยินแล้วใช่มั้ย อย่าทำเสียงานล่ะ” แม่แฮคสำทับ

ส่วนแฮคนั้นแค่แค่นยิ้มไม่ตอบ เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เฮ้อ~ สรุปว่าฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย

ไม้กันหมา? หรืออะไร งงโว้ยยย

เคยเห็นแต่ในละคร ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาเจอฉากแบบนี้กับตัวเอง

แต่ฉันยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดี ยังไม่อยากสรุป ไว้ค่อยถามแฮคหลังจากนี้แล้วกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel