บทที่ 3
“จะเข้าบ้านก่อนไหมล่ะ ฉันคิดว่ามิสซิสคาร์เวอร์จะเลี้ยงโกโก้ร้อน ๆ เราได้แล้วนะ” เธอชวนขึ้น ขณะที่เดินเข้ามาใกล้รถตู้สีเขียวของเคลย์
“ไม่ละ เอาไว้พบกันวันพรุ่งนี้ที่โบสถ์ดีกว่าได้ไหม?”
แคทธี่พยักหน้ารับ และเงยหน้าขึ้นรับจุมพิตอำลาจากเขา ริมฝีปากของเคลย์ประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยนละมุนละไม อันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติที่เขามีอยู่ จากนั้นเคลย์ก็ปีนขึ้นรถ แคทธี่ยังจับตามองอยู่จนเมื่อเขาขับรถออกไปพ้นบริเวณบ้านและขึ้นสู่ถนนใหญ่ซึ่งตัดเชื่อมกับทางหลวงแล้วเธอจึงได้เดินเข้าไปในบ้าน โดยใช้ถนนข้างบ้านและเข้าทางประตูหลังของตัวบ้านที่ฉาบไว้ด้วยสีขาว
“ฉันกลับมาแล้วนะ” แคทธี่ร้องบอกขณะที่เดินเข้าไปในประตู ขึ้นบันไดเฉลียงด้านในเตี้ย ๆ เพื่อขึ้นสู่ระเบียงเล็ก ๆ มิสซิสคาร์เวอร์ ผมสีขาวโพลนเหมือนหิมะโผล่ออกมามอง แคทธี่จึงเดินเลยเข้าไปในครัวก่อน “แม่กับป้าดาน่าอยู่ไหนล่ะ?” ใช้สายตาสำรวจจากระเบียงที่ใช้นั่งเล่นเล็ก ๆ จนถึงภายในครัวใหญ่
“อยู่ห้องนอนด้านหลังค่ะ กำลังจัดเสื้อผ้าของมิสเตอร์คาร์ลสันใส่ลังจะส่งไปให้ซัลเวลชั้นอาร์มี่ (องค์การเผยแพร่ศาสนา และช่วยผู้ยากจน ตั้งขึ้นในอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1864-ผู้แปล) แม่บ้านตอบ ไม่ยอมหยุดมือที่กำลังคนอะไรบางอย่างในหม้อ ท่วงท่าแข็งขันของนาง ทำให้ร่างกลม ๆ ป้อม ๆ นั้นพลอยสั่นสะเทือนไปด้วย ดวงตาคมกล้าหันมามองแคธธี่ “ทำไมไม่เชิญพ่อหนุ่มเข้ามาด้วยล่ะคะดิฉันกำลังผสมขนมเค้กช็อกโกแล็ตอยู่พอดีเลย”
“เคลย์เขามีงานบางอย่างต้องรีบกลับไปทำให้เสร็จ เลยอยู่ไม่ได้”
“อยู่นี่เองหรือ แคทธี่ นั่นสิ แม่ก็ว่าได้ยินเสียงหนูนะ” แม่ของเธอเข้ามาหยุดอยู่ตรงประตูครัว สีผมน้ำตาลอมแดงเป็นประกายของนางไม่อาจปกปิดสีเทาที่แซมขึ้นมาได้ “อ้าว...แล้วเคลย์ไม่ได้เข้าบ้านด้วยหรอกหรือนี่?”
แคทธี่ตอบมารดาด้วยคำตอบเดียวกันกับที่ได้ให้มิสซิสคาร์เวอร์ไปแล้ว ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกมหัศจรรย์ในความอ่อนกว่าวัยของผู้เป็นมารดา แม้จะอายุเลย 40 ปีมาแล้วหลายปีเช่นทุกครั้ง
“แย่จริง” มัวรีน คาร์ลสัน เอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าเคลย์กลับไปก่อน “กำลังจะขอให้เขาช่วยแบกลังเสื้อผ้าไปใส่รถสเตชั่น แว็กก้อนสักหน่อย เพราะดูมันจะใหญ่โตเกินกว่าที่แม่กับป้าดาน่าจะช่วยกันแบกได้ น่ากลัวจะต้องใช้วิธีลากลงมาตามพื้นเสียแล้ว”
ดวงตาที่เป็นสีเขียวเข้มเกือบจะเหมือนดวงตาของแคทธี่นั้น กวาดมองไปตามพื้นที่เหมือนจะสำรวจว่าควรจะเอาลังลงมาในลักษณะใด และเมื่อมองหาลู่ทางได้เสร็จเรียบร้อย และพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจแล้ว นางจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับลูกสาวอีกครั้ง
“เป็นยังไง หนูกับเคลย์ออกไปเดินดูสถานที่เก่า ๆ กันมาอย่างนั้นหรือ?” นางถามพร้อมกับยิ้มให้ลูกสาวอย่างเอาใจ
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะแม่” แคทธี่ยักไหล่ ไม่ต้องการเอ่ยถึงการสนทนาที่ไม่น่าพึงใจระหว่างเธอกับเคลย์ “มันจะมีอะไรเหลือให้ดูอีกล่ะคะ?”
“ผู้ชายก็ใจอ่อนได้เหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะ” มัวรีนพูดอย่างจะเดาในเหตุผลที่ลูกสาวไม่ตอบคำถามของนางตรง ๆ “ก็ดูแต่พ่อสิ เชี่ยวชาญในวรรณคดีอเมริกันออกอย่างนั้น แต่แทบจะจำวันครบรอบแต่งงานเอาไม่ได้เลย แต่แล้วแม่ก็ต้องมายอมรับว่าวันแต่งงานของเรานั้นความสำคัญมันไม่เท่าวันตายของเอ็ดการ์ อัลแลนโป แม้แต่นิด”
“แหม...พ่อไม่ขี้ลืมถึงขนาดนั้นหรอกค่ะแม่” แคทธี่ประท้วง ยิ้มออกมาอย่างขบขัน “พ่อจำวันเกิดของเราทั้งสองคนได้เสมอ แล้วก็ยังวันหยุดต่าง ๆ ด้วย แล้วยังชอบพาเราออกไปไหน ๆ ซื้อของขวัญที่ไม่ได้จำเป็นแก่การใช้ให้เราอยู่บ่อย ๆ หนูว่าที่จริงแล้วพ่อคงไม่ลืมวันครบรอบแต่งงานอย่างที่แม่พูดหรอก”
“แม่ก็หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ต้องคอยเตือนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์จะได้แน่ใจว่าเขาไม่ลืมไงล่ะ” แม่ของเธอหัวเราะออกมา
“เออ....กลับมาถึงบ้านได้เวลาพอดีนะ แคทธี่” ป้าดาน่าเข้ามายืนอยู่ข้างหลังแม่ “เราปิดลังใบสุดท้ายพอดี ถอดเสื้อคลุมออกเสียสิจ๊ะ ไม่ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้วนี่”
เป็นเวลานานนักหนามาแล้ว ที่แคทธี่ได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าน้ำเสียงของพี่สาวพ่อจะดุดันสักแค่ไหน แต่ก็เป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ ดาน่า เมดิสัน ไม่เคยรู้จักการพูดจาเอาใจใคร และด้วยความรู้สึกอันนี้ ที่ทำให้แคทธี่ไม่ต่อปากคำกับป้าของเธอ
“แล้วก็สงสัยว่าหล่อนคงปล่อยให้พ่อเคลย์หลุดไปโดยไม่เชื้อเชิญเข้ามาในบ้านสินะ” ดาน่าพูดต่อ ช่วยถอดเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนออกจากไหล่ของแคทธี่
“เขามีธุระค่ะ” แคทธี่ตอบเป็นครั้งที่ 3
“แล้วนี่ทั้งสองคนน่ะกำหนดวันแต่งงานกันหรือยัง?” ป้าของเธอถามเสียงเครียด ๆ
“ยังค่ะ”
“ก๊อด...ไม่รู้จะหมั้นกันให้นานไปถึงไหน” ดาน่าอุทานอย่างไม่พึงใจนัก “เขาสวมแหวนให้หล่อนมานานเท่าไหร่นี่?”
“ก็หลังจากที่สอบเสร็จได้ไม่นานหรอกค่ะ ประมาณสักปีเห็นจะได้” แคทธี่ตอบด้วยน้ำเสียงสงบเหลือบมองไปทางแม่ก็เห็นยืนยิ้มเฉย ๆ ไม่พูดไม่จา
“ถ้าอย่างนั้น ข้อแก้ตัวข้อแรกก็คือว่า ตอนนั้นทั้งสองคนยังเรียนหนังสืออยู่ และจะต้องมีปัญหาทางการเงินเมื่อแต่งงานกันเข้า ต่อมาหล่อนก็อยากจะหางานทำ อยากเป็นครู” ดาน่าใช้นิ้วเป็นเครื่องนับเหตุผลที่หลานสาวกับหลานชายยังไม่กำหนดวันแต่งงานกัน “หลังจากนั้น พอเคลย์สอบเสร็จ ก็สวมแหวนหมั้นกัน ละเอ้า...ก็แล้วมีเหตุผลอะไรถึงได้ชักช้า รอเวลามาจนถึงขนาดนี้ล่ะ?”
“เรากำลังมองหาบ้านค่ะ เพราะเราทั้งสองคนมีความคิดตรงกันว่าไม่อยากเช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่ แม้ว่ามันจะดูเข้าท่าดี แต่ไม่เห็นมีที่ไหนพอใจสักแห่ง อีกประการหนึ่งก็คือที่เรายังหาบ้านก็เพราะวงเงินที่เรามีมันจำกัด เพราะเราต้องใช้กินใช้อยู่ด้วย” แคทธี่อธิบายถึงเหตุผลในการถ่วงเวลาการแต่งงานไว้ “แต่ขณะนี้เราก็ช่วยกันเก็บเงินไว้ จะได้ซื้อหาเครื่องเรือนแต่งบ้านด้วยเมื่อหาบ้านได้”
“สมัยป้านะ พอแต่งงานเสร็จเราก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านพ่อแม่ไปก่อนจนกว่าจะหาทางที่ดีกว่าได้”
“แต่สำหรับหนูกับเคลย์ ทำอย่างนั้นไม่ได้นี่คะ เพราะพ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป แล้วยิ่งกว่านั้น เราก็อยากจะใช้ชีวิตอิสระก่อนแต่งงานกันอีกสักพัก ในขณะที่ยังไม่มีภาระอะไรมาให้แบก”
“แหม...หล่อนทำยังกะว่าการแต่งงานน่ะเหมือนเข้าคุกยังงั้นแหละ” ป้าของเธอพูดด้วยน้ำเสียงดุ ๆ
“มันก็ใกล้เคียงกันนั่นละค่ะ”
“ปีนี้หล่อนอายุเท่าไรแล้วล่ะ..23 ใช่ไหม หรือว่า 24?”
“วันเกิดปีหน้าถึงจะ 24 ค่ะ”
“แล้วก็ยังไม่แต่งาน เมื่อสมัยป้าเป็นสาวน่ะมันเป็นอาชญากรรมเชียวนะ ถ้าอยู่ขนาดนี้น่ะเขาเรียกว่าสาวแก่แล้ว จริงไหมมัวรีน?” ป้าหันไปขอความเห็นจากแม่
“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว” แม่ของเธอยักไหล่
“ไม่เห็นว่าเปลี่ยนแล้วมันจะทำอะไรดีขึ้น” ดาน่าพูดอย่างไม่เชื่อถือ “ในสมัยก่อนน่ะ คนในตระกูลจะรับมรดกกันลงมาเป็นทอด ๆ แต่มาถึงวันนี้ต้องมานั่งขายบ้านที่เคยเกิดเคยอยู่อาศัย เติบโตขึ้นมา น่าขายหน้านักที่เธอกับดอเรียนเอาไว้ไม่ได้นะมัวรีน ฉันน่ะอยากจะซื้อไว้เอง แต่อัลเขาก็ไม่เห็นด้วย บอกว่ามันไม่มีเหตุผลสมควรที่เราจะต้องรับซื้อไว้”
“มันเป็นความโชคไม่ดีจริง ๆ ที่ไม่มีใครเลยในพวกเราที่จะสามารถป้องกันไม่ให้บ้านไร่นี่ตกไปเป็นของคนอื่นได้” มัวรีน คาร์ลสัน ตอบอย่างเห็นด้วย น้ำเสียงที่นางพูดออกมาบอกถึงความเศร้าเสียใจที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องหลุดลอยไป
“เออ แล้วเธอบอกแคทธี่หรือยังล่ะ ว่าวันนี้นายหน้าเขาเรียกมา?” ดาน่าถามขึ้นอีก
“เรื่องอะไรคะ?” แคทธี่ถามขึ้นทันที ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำผึ้งแกมทองของเธอหันไปทางสตรีผู้ที่ผมสีเทาทั้งคู่
“เขาบอกมาว่าเจ้าของใหม่เขาจะมารับโอนวันที่ 15 มีนาคมนี่แล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือคะ?” แคทธี่พึมพำ สีหน้าซีดเผือดลงเพราะมันเป็นเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
“ใช่ เพราะฉะนั้นฉันก็คิดว่าเราควรจะกำหนด วันที่จะขายทอดตลาดทรัพย์สินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า” ป้าดาน่าพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง “ทางนายหน้าเขาจัดที่ทางเตรียมไว้ให้มิสซิสคาร์เวอร์ได้พักอยู่ในช่วงเวลา 2-3 วัน ระหว่างการขายทอดตลาดกับที่เจ้าของคนใหม่จะเข้ามาอยู่แล้ว”
“แต่ที่ดิฉันหวังก็คือว่า...” มิสซิสคาร์เวอร์ พูดสอดขึ้นขณะที่ยกเค้กที่ทำใหม่ ๆ ออกมาตั้งไว้บนโต๊ะรับประทานอาหารในครัว “ขอให้เจ้านายคนใหม่เขารับดิฉันไว้ เพราะดิฉันเพิ่งจะมีเวลามากพอที่จะจัดบ้านได้ตามลำพัง....กู๊ดเนส พระเจ้าก็รู้ว่าต่อไปนี้มันแทบจะไม่มีงานอะไรมากมายจนจำเป็นจะต้องจ้างคนอื่น ๆ มาเพิ่มอีก ว่าแต่ว่า นายหน้าเขาบอกหรือเปล่าคะว่า เจ้าของบ้านคนใหม่เป็นยังไงบ้าง มิสซิสเมดิสัน?”
“เท่าที่ฉันพอจะรู้นะ” ดาน่าตอบด้วยน้ำเสียงเข้มงวดตามแบบของเธอ “เขารู้แต่ว่าคน ๆ นี้ชื่อโรเบิร์ต ดักลาส มีบ้านพักอยู่ในลองไอร์แลนด์, นิวยอร์ค แต่เขาไม่เคยถามว่าคน ๆ นี้แต่งงานแล้วหรือยัง หรือว่าเป็นคนโสด หนุ่มหรือแก่ จะทำไร่เองหรือจะจ้างคนมา ฉันว่าพวกนายหน้ามันก็รู้แต่ค่านายหน้าเท่านั้นละ”
“ฟัง ๆ ดูแล้ว คล้ายกับผู้ชายคนนี้ซื้อมันเอาไว้ดูเล่นมากกว่าที่จะตั้งใจจะมาอยู่จริง ๆ นะคะ” แคทธี่พูดอย่างขมขื่นในใจ
“แต่ดิฉันได้ข่าวว่าเขาบินมาที่นี่ด้วยเครื่องบินส่วนตัว เมื่อวันที่นายหน้าติดต่อไปทางเขานะคะ” มิสซิสคาร์เวอร์พูดขึ้น ซึ่งทำให้ทุกคนหันไปมองนางอย่างสนใจทันที
“แล้วเธอเห็นเขาหรือเปล่าล่ะ?” แม่ของแคทธี่ถาม ซึ่งเท่ากับเป็นการตั้งคำถามออกมาดัง ๆ แทนทุกคน
“เปล่าหรอกค่ะ” แม่บ้านสั่นศีรษะ “ถ้าเขามาดูไร่จริง ๆ เขาก็คงเข้ามาในบ้านอยู่ดี”
“รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรก ที่ฉันได้ยินว่าเขามาดูที่แล้ว” ดาน่าออกความเห็น แสดงออกถึงความไม่พอใจที่ได้รับรู้ข่าวนั้นช้าไป “ใครเป็นคนเล่าให้เธอฟัง?”
“คนที่เขาทำงานอยู่ที่สำนักงานนายหน้าน่ะค่ะ เขาบอกดิฉันตอนที่ออกมาทำรายการเครื่องมือเครื่องใช้ที่จะขายไปพร้อมกับไร่” มิสซิสคาร์เวอร์ตอบ “มันก็เป็นไปได้ที่ว่าอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันกับที่ซื้อไร่ แต่เขาพูดให้ฉันเข้าใจอย่างนั้นนะคะ” มีดตัดเค้กคมกริบกดลงบนหน้าน้ำตาลแข็งที่ฉาบไว้ “เอาละค่ะ ตอนนี้พวกคุณควรจะรับประทานเค้กกันเสียคนละชิ้นก่อน ไปสิคะ”