บทย่อ
ไร่ของตายายในรัฐไอโอวานั้น เป็นสถานีที่ตรึงใจแคทธี่เสมอ เพราะในวัยเด็กนั้นเธอพักอยู่ที่ไร่แห่งนี้ จนในหัวใจของเธอมีแต่คำว่าไร่แห่งนี้อยู่เสมอ บัดนี้ตากับยายเสียชีวิตแล้ว สามัญสำนึกบอกเธอว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะเก็บไร่แห่งนี้ไว้ต่อไป อย่างไรก็ตาม แคทธี่อดไม่ได้ที่จะเสียใจที่ชายแปลกหน้าชื่อ ร็อบ ดั๊กลาส จะมาซื้อมันไป ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็รู้ว่าตัวเองจะไม่สนใจในตัวเขาไม่ได้เสียแล้ว และไม่นานนักเธอก็รู้ตัวว่าหลงรักเขาเข้าแล้วเต็มตัว แล้วเธอจะทำอย่างไรดี กับการหมั้นหมายระหว่างเธอกับเคลย์?
บทที่ 1
ลำน้ำโบเยอร์ ริเวอร์ กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วทั้งสาย พื้นผิวน้ำปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลน และจากเบื้องบนท้องฟ้านั้น เกล็ดหิมะโรยตัวลงช้า ๆ อย่างนุ่มนวล เหมือนกับดอกไม้สีขาวที่แย้มบานเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ลมสงัด อากาศเย็นยะเยือก นอกจากเกล็ดหิมะที่กำลังโรยตัวลงมาแล้วก็ดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หญิงสาวผู้ยืนนิ่งสงบอยู่บนเนินเตี้ย ๆ เหนือฝั่งแม่น้ำนั้น
ดวงตาสีเขียวมรกตกวาดมองไปทั่วทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ด้วยความคิดคำนึงถึงอดีตที่ล่วงไป แต่เคทเธอรีน คาร์ลสัน ไม่ยอมหลั่งน้ำตาออกมา ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เธอจะได้เห็นสถานที่แห่งนี้ และจะไม่ยอมให้น้ำตามาทำลายทัศนียภาพนั้นให้เลือนลง
เบื้องล่าง ณ ที่ซึ่งสายน้ำได้ทอดตัวคดเคี้ยวไปมา คือสถานที่ซึ่งโอบด้วยละไอแห่งความรัก สถานที่ซึ่งเมื่อครั้งที่ยังเยาว์วัยเธอเคยได้รับอนุญาตให้ลงแหวกว่ายในสายน้ำได้ แม่น้ำตรงส่วนที่ใต้เนินเตี้ย ๆ ที่เธอกำลังยืนอยู่นี้เป็นส่วนที่ลึกมาก และก็ตรงนี้เองที่เธอกับเคลย์เคยลงจับปลาอยู่ด้วยกัน ได้มาทั้งปลาบลูเฮด และแคทฟิชโดยใช้เบ็ดไม้ไผ่เกี่ยวไส้เดือนเป็นเหยื่อล่อ ไกลออกไปคือเกาะเล็ก ๆ ซึ่งขณะนี้เกือบจะมองไม่เห็น ด้วยมีน้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว แต่ ณ ที่นั้นอีกเช่นกัน ที่เธอกับเขาเคยล่องแพที่ทำขึ้นเองไปด้วยกัน สมมุติตัวเองว่ากำลังแสดงบทบาทของฮัคเคิ้ล เบอร์รี่ ฟินน์ ที่กำลังผจญภัย และประสบกับอุบัติเหตุแพล่มลง
ความทรงจำนั้นเหลือที่จะสิ้นสุดลงได้ ทุกตำแหน่งแห่งหนที่สายตาของเธอทอดจับอยู่นั้นล้วนนำมาซึ่งความทรงจำรำลึกถึงวันในวัยเด็กอันแสนสุขทั้งสิ้นวิลโล ต้นที่ขึ้นอยู่และเอนลงจนดูเป็นแนวราบ ซึ่งบัดนี้หิมะสีขาวปกคลุมไว้เหมือนผ้าห่มสีขาวนั้นก็เช่นกัน มันดูเย็นเยือก อ้างว้าง ใบหรุบลงใต้ลำต้นที่เหมือนสะพานเล็ก ๆ นั่นบัดนี้มองไม่เห็นแล้ว เพราะถูกหิมะเคลือบคลุมไว้จนหมดสิ้น แต่หลายครั้งหลายหน เธอเคยดับความกระหายด้วยการเดินไปบนลำต้นของมัน และวักน้ำเย็นชื่นในลำธารขึ้นมาดื่มในวันที่อากาศร้อน
อย่างไรก็ตาม ความหลังส่วนที่จารึกอยู่ในความทรงจำของเธอนั้น มันได้รวมเอาวันในฤดูร้อนไว้ด้วย
แคทธี่ทบทวนความทรงจำไปถึงวันที่เคยเล่นสะเก็ตน้ำแข็งไปตามลำแม่น้ำ ซึ่งน้ำแข็งจับหนา และพื้นด้านบนของมันเรียบใสแน่นหนาพอวิ่งสะเก็ตลงมาจากเนินเขาลงสู่แม่น้ำ และมักจะต้องมาหยุดอยู่แค่ริมฝั่ง หรือเมื่อครั้งที่พวกเด็ก ๆ ช่วยกันก่อกองไฟขึ้นเหนือเนินเขา เพื่อจะได้อังตัวให้อบอุ่นขณะที่วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ระหว่างเนินเขากับลำน้ำ แคทธี่ยังจำได้ดีว่าเธอชอบที่จะยื่นเท้าเข้าไปอังไฟให้ใกล้ที่สุด เพื่อให้นิ้วเท้าที่เย็นเฉียบอบอุ่นขึ้น ซึ่งก็ได้ผลสมตามปรารถนา แต่ทว่าทำให้รองเท้าผ้าใบใหม่ ๆ ต้องเสียไปทุกครั้ง
หลายต่อหลายครั้งที่เธอมองเห็นภาพตัวเอง พาลูก ๆ ออกมาที่นี่ และชี้ให้พวกแกดูสถานที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่เล่นของเธอมาแต่ครั้งเยาว์วัย....บัดนี้ มันจะไม่มีวันเช่นนั้นอีกแล้ว อาณาบริเวณแห่งนี้มิได้เป็นของครอบครัวคาร์ลสันอีกต่อไป “โฮมเพลซ” คำที่เคยใช้เรียกทั้งบริเวณและบ้านไร่แห่งนี้มันจะไม่ใช่ “บ้าน” ที่เคยพำนักพักพิงอีกต่อไป และเธอแคทธี่ คาร์ลสัน ก็คือผู้ที่เคยผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือนเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
มีอะไรบางอย่างเสียดสีอยู่ตรงขา เมื่อเธอก้มลงมอง ก็พบเข้ากับสายตาที่แสดงออกถึงความกระตือรือร้นเปี่ยมไปด้วยแวววิงวอนของสุนัขพันธุ์ อิงลิช เชฟเฟิร์ด ตัวหนึ่ง มันชื่อดัชเชส เป็นตัวเมีย ทั้งสีหน้าและดวงตาของสุนัขพันธุ์นี้ จะมีแววอ่อนโยนสุภาพคล้ายจะขออภัยอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้ดวงตาสีน้ำตาลเศร้า ๆ ของมัน ฉายแววกำศรดคล้ายจะขอให้แคทธี่ยกโทษให้ที่เข้ามารบกวนความอยากอยู่เพียงลำพังของเธอ แคทธี่จึงดึงมือที่สวมถุงไว้ออกจากกระเป๋ากางเกงและลูบลงบนหัวสีแดงอมทองของมัน
“เฮลโล ดัชเชส มาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ ทำไมถึงออกจากบ้านมาไกลนักล่ะ?” แคทธี่ถามเบา ๆ สังเกตเห็นถึงวัยชราที่กำลังคืบคลานเข้ามาหามัน ดูราวกับว่าเพียงเมื่อวันวานนี้เองที่เธอได้เดินทางมาถึงบ้านไร่แห่งนี้ และได้พบกับเจ้าลูกหมาตัวน้อย ๆ ที่ทั้งตระหนกและฉงนในตัวเธอ
“หรือว่าเอ็งก็เหงาเหมือนกัน หือ..แม่สาวน้อย?”
“มันคิดถึงคุณปู่ของเธอน่ะสิ”
แคทธี่หันขวับไปทันที และพบเข้ากับร่างของผู้ชายในวัยหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งยืนคล้อยไปทางเบื้องหลัง
“เฮลโล เคลย์” เธอเอ่ยทัก “ฉันไม่ยักคิดว่าวันนี้จะได้พบคุณ”
เคลย์ คาร์ลสัน มองเธอย่างครุ่นคิด แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจในน้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่สั่นพร่าของเธอ เขาพึงใจเงียบๆ ที่ได้เห็นเธอสวมเสื้อคลุมเฟอร์สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งช่วยขับให้เส้นผมสีน้ำผึ้งแกมทองของเธอเด่นขึ้น ช่วงไหล่ของเธอเนียนเรียบ สันคางที่ได้รูป โหนกแก้มค่อนข้างสูงนั้นดูเนียนละไม แม้เรือนร่างและรูปหน้าจะบอกถึงความเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมีประกายบางอย่างที่เจิดจ้าออกมา มันบ่งถึงพลังใจ และความตั้งใจ ซึ่งแฝงฝังอยู่ในทุกอิริยาบถของแคทธี่ สิ่งที่ส่งให้ความงามของเธอเฉิดฉายขึ้น คือดวงตาสีเขียวเข้มเหมือนมรกตล้อมรอบอยู่ด้วยขนตาดกดำยาว และริมฝีปากที่ยั่วใจนัก เมื่อนึกถึงภาพยามที่ริมฝีปากอ่อนละมุนคู่นั้นเคยตกอยู่ใต้สัมผัสของเขามาก่อน ทำให้รอยยิ้มผลุดขึ้นบนใบหน้าของเคลย์
“ก็เหมือนเธอนั่นแหละ แคทธี่” เขาตอบเรียบ ๆ “ผมอยากจะเดินดูให้ทั่วบริเวณที่เราเคยอยู่เคยเดินมาก่อน”
“แม่กับป้าดาน่ากำลังช่วยกันเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จะไม่เอา ออกขายทอดตลาดอยู่ในบ้านแน่ะ” เธอถอนหายใจเบา ๆ เบือนหน้าหนีจากเขา ทอดสายตาอยู่กับแม่น้ำ “ที่จริงฉันควรจะขึ้นไปช่วยเลือกของที่มันเป็นของปู่กับย่าด้วยนะ”
“มันเป็นงานที่ทำแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมาก็จริง แต่ก็ต้องทำให้มันเสร็จ ๆ ไปเสีย”
“ฉันรู้หรอกน่า” เธอตวัดสายตามองเขาเคือง ๆ
เส้นผมสีทองนั้น คือของขวัญอันล้ำเลิศที่แคทธี่ คาร์ลสัน ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากเชื้อสายของบรรพบุรุษฝ่ายบิดาที่เป็นชาวสแกนดิเนเวียน แต่ที่ถ่ายทอดมาจากเชื้อสายข้างแม่ที่เป็นชาวไอริชคือ ดวงตาสีเขียวเข้มและอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย เคลย์ไม่เคยรู้จักวิธีการที่จะรักษาอารมณ์ที่วูบวาบเหมือนเปลวไฟของเธอได้นับตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมา ขณะนี้เขาอายุ 26 แล้วโตกว่าแคทธี่ 3 ปี แต่กระนั้นเขาก็ยังกระทำ คนเป็นผู้รับบัญชาของเธอและอดทนต่อโทสะที่ผลุดพลุ่งขึ้นได้ง่าย ๆ เสมอมา ปกติแล้ว แคทธี่เป็นคนน่ารัก ใจคอเมตตาอารี และนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เคลย์ชื่นชมนัก แม้เธอจะต้องใช้เวลาฝึกฝนเพื่อให้ตัวเองควบคุมอารมณ์ไว้ให้มั่น แต่เมื่อมันปรากฏออกมาเมื่อใด เคลย์ก็พยายามหลีกเลี่ยงเสียเมื่อนั้น
“อันที่จริง ฉันไม่ควรจะประชดประชันคุณอย่างนี้เลยนะ เคลย์” แคทธี่พูดอย่างขอโทษ แต่น้ำเสียงนั้นคล้ายจะแฝงไว้ด้วยความรู้สึกขมขื่นที่ปรากฏอยู่ภายใน “บอกตรง ๆ ว่าทำยังไงมันก็ไม่ชินกับการที่ต้องเสียปู่กับไร่นี่ไปภายในเวลาแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น”
“ผมรู้ว่ามันน่าเบื่อที่จะต้องพูดอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่ถ้าจะพูดกันแล้ว มันก็ดีอยู่เหมือนกันที่ให้มันเกิดเป็นไปแบบนี้” เคลย์ว่า เขาอยากจะเห็นแคทธี่ได้ร้องไห้ออกมา เพื่อจะได้คลายความกำศรดที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจเสียบ้าง
“เพราะอะไรล่ะ?” น้ำเสียงของเธอคาดคั้น
“ประการแรกก็คือ นับตั้งแต่คุณย่าของคุณตายลงเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว คุณปู่ของคุณก็เหงามากเมื่อขาดท่านไป และประการที่สอง มันเป็นการดีที่ไร่แห่งนี้ขายได้ทันทีที่ประกาศออกไป มันไม่เหลือเวลาไว้ให้เราลังเลใจและสงสัยว่าควรจะขายหรือไม่ มันดีกว่าการที่จะมาแบ่งแยก ไม่ทำให้เราต้องห่วงหาอาวรณ์หรือว่าต้องครุ่นคิดถึงการสูญเสียอะไรมากไปนัก”