บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

“อันที่จริงเราไม่ควรจะต้องสูญเสียมันไปเลย” แคทธี่เถียงด้วยน้ำเสียงขรึม ๆ มือที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากำแน่น

“พ่อน่าจะทำได้” คางของเธอเชิดขึ้น ขณะที่ปรายตามองดูเขาอย่างจะท้าทาย

“แล้วยังไงอีกล่ะ....ที่คุณหวังจะให้พ่อลาออกจากการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นรึ?...พ่อคุณน่ะไม่ใช่คนหนุ่มแล้วนะ การที่จะให้ท่านมาควบคุมดูแลกิจการในไร่นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก หรือว่าคุณอยากจะให้ท่านให้เช่าเหมือนที่คุณปู่ทำมาแล้ว ให้คนอื่นเข้ามาทำแทน? ถ้าไม่มีคนรู้จักงานอยู่ละก้อ มันมีแต่ยิ่งจะแย่ลงเท่านั้นละ” น้ำเสียงของเคลย์เจือแววขุ่นเคืองอยู่บ้าง “ใช้เหตุผลหน่อยเถอะ แคทธี่”

“แต่พ่อควรจะซื้อไว้ได้จริง ๆ เธอย้ำ “และหลังจากที่คุณกับฉันแต่งงานกันแล้ว เราก็มาอยู่ที่นี่แล้วก็ทำไร่เองก็ยังได้นี่”

“ผมเป็นนักกฎหมายนะ ไม่ใช่ชาวไร่” เคลย์ลงเสียงหนัก ๆ “ผมไม่ได้ใช้เวลาเรียนกฎหมายตั้งหลายปีเพียงเพื่อจะเอามันมาโยนทิ้งเพราะความใจอ่อนในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้”

ทันทีที่เคลย์พูดจบ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองได้โยนผ้าสีแดงใส่แคทธี่เข้าแล้ว ปฏิกิริยาจากเธอเกิดขึ้นในทันที

“มันไม่ใช่ความใจอ่อนในเรื่องเหลวไหลอะไรเลย ถ้าคุณคิดอย่างนั้น ฉันก็จะขอบอกอย่างภาคภูมิใจว่าฉันยอมเป็นคนใจอ่อนที่โง่งมนั้น เพราะคน ๆ แรกที่ถากไถที่ดินแห่งนี้มานับตั้งแต่ครั้งที่มันยังเป็นป่าเป็นดงอยู่นั้น คือมือของคุณทวดคาร์ลสัน ท่านเป็นคนแรกที่เข้ามาจับจองที่ดินในบริเวณนี้นับแต่สมัยที่เกิดสงครามกลางเมืองโน่น มองดูที่ดินผืนนี้สิ เคลย์ มันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในไอโอวา ดินดำเต็มไปด้วยปุ๋ยชั้นดี มันสร้างทั้งอาหารและผู้คนขึ้นมา ที่นี่เป็นบ้านของคาร์ลสัน เป็นมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับคุณเลยหรือไง?”

“มีน่ะมันมีแน่” เคลย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะปลอบให้เธอหายโกรธ “ทุกคนในครอบครัวของเราก็เสียชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เมื่อต้องเสียมันไป รวมทั้งพ่อของคุณและตัวผมด้วย แต่ชีวิตในบ้านไร่น่ะมันได้ผ่านพ้นไปแล้วนะแคทธี่ คุณไม่อาจจะฝังตัวอยู่กับอดีตได้ตลอดไปหรอก โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการจะให้ชีวิตได้ประสบความสำเร็จ ชีวิตมันต้องก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ละ แคทธี่”

“ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะด่าไอ้ความก้าวหน้านั้น”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ แคทธี่ มันไม่เหมาะสมเลย” เขาปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า เวลาที่เธอโมโหนั้นมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเสียจริง ๆ ดวงตาเป็นสีเขียวเรือง สีหน้ากร้านกร้าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ทำไม การพูดคำสบถมันเป็นสิทธิเฉพาะพวกผู้ชายหรือไง? จริงไหมล่ะ เวลานี้เราก้าวหน้าขึ้นมาถึงขนาดที่ผู้หญิงก็สามารถจะสบถได้แล้ว ถ้าต้องการไงล่ะ” เธอเหน็บแนมให้ “จริงนะ บางครั้งฉันอยากจะให้ตัวเองเป็นผู้ชายจริง ๆ”

“ผมดีใจนะที่คุณไม่ได้เป็น ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ยอมสวมแหวนของผมไว้บนนิ้วแน่” เคลย์หัวเราะเบา ๆ ออกจะยินดีอยู่ไม่น้อยที่บรรยากาศได้คลี่คลายลง แต่แคทธี่ไม่สนใจ

“ที่ฉันโมโหมากที่สุดก็ตรงที่ไร่แห่งนี้ถูกขายให้กับคนนอก ขายให้กับไอ้คนโง่เขลาเบาปัญญาที่มาจากฝั่งตะวันตกโน่น คน ๆ นี้น่ะเป็นผู้บริหารงานธุรกิจขนาดใหญ่ ที่สนใจแต่ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีเท่านั้น เขาคงจะส่งไอ้ผู้จัดการโง่ ๆ อะไรมาสักคนหนึ่งให้มาอยู่ที่นี่ ในที่สุดไร่ทั้งไร่ก็จะพังพินาศไปหมด ไม่เชื่อก็คอยดูไปสิ”

“เธอมันก็ออกจะพูดจาเป็นละครเกินไป ถ้าคน ๆ นี้เป็นนักธุรกิจ ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยแล้ว ที่แน่นอนที่สุดก็คือเขาจะต้องส่งคนไปมีความรู้ทางทำไร่ออกมา เพราะอย่างน้อยเขาก็คงจะไม่ต้องการลงทุนโดยเสียเปล่าแน่”

“อย่าแน่ใจนักเลยน่า” เธอตวาด

“แคทธี่ ทำไมเธอถึงได้เอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้มากเกินไปนักนะ?” เคลย์ถอนหายใจยกมือขึ้นโอบไหล่ให้เธอหันมาเผชิญหน้าเขา ประสานสายตากับดวงตาที่เปล่งแววพร้อมจะประกาศสงครามบนใบหน้าสะสวยของเธอ

“เธอจะเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าไร่แห่งนี้ถูกขายไปแล้วไม่ได้หรอก มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาทรมานทรกรรมตัวเอง นึกถึงภาพที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นเลยนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกทำลงไปอย่างดีที่สุดแล้ว และทั้งหมดนี่มันก็คือความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้น”

“โชคชะดาละสิ ที่เป็นคำตอบของคุณในการที่เราต้องเสีย “โฮมเพลซ” ของเราไป”

ความหมองหม่นฉายอยู่ในดวงตาสีเขียวเข้มคู่นั้น ไหล่ห่ออยู่ใต้อุ้งมือของเขา

“คุณอาจจะพูดถูกก็ได้ แต่จะให้ฉันยอมรับว่ามันเป็นการกระทำที่ดีที่สุดแล้วเห็นจะไม่ได้หรอก เพราะดูเหมือนมันจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย ที่จะไม่มีพวกคาร์ลสันอยู่ในไร่นี้อีกต่อไป”

“เธออยากจะรู้อะไรไหมล่ะ?” เขาเชยคางเธอขึ้นด้วยมือที่สวมถุงไว้ “ปกติน่ะ เธอเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงอยู่แล้ว แต่มันจะดีกว่านี้มาก ถ้าจะปรับปรุงตัวเองอีกสักนิดหน่อย โดยเฉพาะในเรื่องอารมณ์”

“คุณคงหมายถึงที่ฉันโกรธง่ายละสิ” รอยยิ้มอย่างเสียใจปรากฏอยู่ตรงริมฝีปาก “แต่ฉันก็ไม่เคยโกรธได้นานนี่ นับตั้งแต่ที่เราโตมาด้วยกัน”

“นั่นละ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารักใคร่สนิทสนมกัน แล้วก็เลยต้อง ‘จูบแบบญาติ’ กันมาตลอด” เคลย์ คาร์ลสันพูดยิ้ม ๆ “ดูสนุกดีนะ ที่มันเป็นอย่างนี้”

การ “จูบแบบญาติ” นั้นเป็นเรื่องขบขันระหว่างเขาและเธอมานับตั้งแต่เติบโตขึ้นสู่วัยรุ่นด้วยกัน และเริ่มเข้าใจว่า ต่างคนต่างก็คือสกุล “คาร์ลสัน” เหมือนกัน และความเป็นสายเลือดเดียวกันนั้น แทบจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ทวดของเคลย์เป็นญาติผู้น้องทวดของแคทธี่ และเท่าที่รู้เคลย์กับแคทธี่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย และกลายมาเป็นคนคู่รัก จนในที่สุดก็หมั้นหมายกันแล้ว

“แล้วเรื่องนังดัชเชสนี่ล่ะ จะทำอย่างไร?” เคลย์ถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้าสุนัขทำท่าทางเรียกร้องความสนใจขึ้นมาบ้าง

“ฉันจะเอามันเข้าไปอยู่ในเมืองด้วย” แคทธี่ตอบเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเคลย์และคุกเข่าลงข้าง ๆ มัน “พวกเดอร์บี้ส์เขาก็ขอไว้ แต่มันแก่แล้ว ฉันคิดว่ามันคงจะเข้ากับเจ้านายใหม่หรือบ้านใหม่ได้ยากด้วย”

“แล้วเธอคิดว่าการที่เอามันเข้าไปอยู่ในเมืองด้วย จะทำให้มันอยู่สบายขึ้นอย่างนั้นหรือ อย่างน้อยการอยู่กับพวกเดอร์บี้ส์มันก็ยังได้อยู่ในฟาร์ม มีคนคอยดูแลเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่คุณเองต้องออกไปอยู่เสียที่โรงเรียนตลอดทั้งวัน”

“เราจะช่วยกัน จริงไหม ดัชเชส?” นางสุนัขเชฟเฟิร์ดกระดิกหางอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับทำเสียงครางเบา ๆ อยู่ในลำคอทันที แต่เคลย์จับความปรารถนาลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในการตัดสินใจครั้งนี้ของแคทธี่ได้ว่า เธอยังต้องการสายใยสุดท้ายที่จะเชื่อมโยงระหว่างตัวเธอกับบ้านไร่แห่งนี้ไว้

“แล้วนี่มิสซิสคาร์เวอร์จะอยู่อีกนานสักแค่ไหนล่ะ?” เคลย์ไม่ปรารถนาจะแสดงออกถึงความรู้เท่าทันในความต้องการของเธอ โดยเปลี่ยนเป็นถามเรื่องแม่บ้านซึ่งยังคงพำนักอยู่ในบ้านไร่แห่งนี้ แม้แต่คุณปู่คาร์ลสันจะได้ถึงแก่กรรมลงแล้ว

“นายหน้าที่จัดการขายบ้านให้เขาขอให้แกอยู่ไปก่อนจนกว่าจะถึงวันโอนบ้านให้เจ้าของใหม่” แคทธี่ตอบขรึม ๆ เกลียดที่จะนึกไปถึงว่าจะต้องมีเจ้าของคนใหม่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ “เขาไม่ต้องการให้บ้านว่าง”

“ซึ่งนั่นมันก็ขัดกับความคิดของเธอที่ว่าบ้านหลังนี้จะพังพินาศไปสินะ”

“แหม..มันก็เป็นความคิดของนายหน้าเท่านั้นละ มันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยทั้งสิ้น” เธอเถียงเสียงเข้มลุกขึ้นยืนอย่างไม่สนใจในความผิดหวังของเจ้าสุนัขเบือนหน้าไปมองแม่น้ำนั้นอีกครั้ง รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นด้วยความจริงที่ประจักษ์แก่ใจ

“รู้สึกมันจะหนาวขึ้นเรื่อย ๆ นะ ควรจะกลับเข้าบ้านได้แล้วละ” เคลย์เสนอแนะขึ้น ถลกแขนเสื้อขึ้นก้มลงมองนาฬิกา “เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว เลยเวลาไปมากแล้ว ผมยังต้องไปแวะอีก 2-3 แห่ง เออ...เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าแต่คุณจะให้ผมมารับตอนไหนล่ะ คืนนี้?”

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันว่าคืนนี้จะไม่กลับนะ” แคทธี่ยอมให้เขาจับข้อศอกพาเดินไปตามทางที่มุ่งสู่ตัวบ้าน “คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของแม่ที่นี่ แม่จะขับรถกลับไปมหาวิทยาลัยพรุ่งนี้ตอนบ่าย ฉันก็เลยคิดว่าจะอยู่กับแม่สักคืน”

“อ๋อ....ไม่ขัดข้องหรอก” เขาช่วยพยุงตัว ให้เธอข้ามรั้วลวดหนามขณะที่นางดัชเชสลอดช่องว่างใต้รั้วและวิ่งตามมาด้วย “แล้วพ่อแม่ของคุณจะขับรถกลับมาตอนที่เขามาประมูลของกันหรือเปล่าล่ะ?”

“ไม่หรอก” แคทธี่ถอนใจ “แล้วก็จะตำหนิท่านไม่ได้ด้วย ฉันเองก็คิดว่าจะไม่มาเหมือนกัน”

“รู้สึกมันจะดีเหมือนกันนะ ถ้าเราจะเลือกเครื่องเรือนบางชิ้นเก็บไว้แต่งบ้านของเรา” เคลย์ลองหยั่งเสียงดู ไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานสักเท่าไรจึงจะยอมให้เธอยอมรับการขายทอดตลาดสรรพสิ่งที่ไม่ต้องการใน

ได้

“พวกเครื่องเรือนดี ๆ ส่วนมากมันก็เป็นของเก่า และคุณก็รู้ว่าพวกพ่อค้าของเก่านี่เขาบวกราคาเครื่องเรือนกับบ้านไร่เข้าไปแล้ว เราคงไม่สามารถจะหาเงินมาซื้อได้หรอก จนกว่าจะมีเงินพอที่จะทำบ้านสวย ๆ ตามที่เรากำหนดวงเงินไว้ได้” แคทธี่ส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจ

“ทุกคนในครอบครัว เขาลงความเห็นกันว่าจะยกชุดแก้วผลึกให้เราเป็นของขวัญวันแต่งงาน กับเครื่องเรือนอีก 2-3 ชิ้นที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรนัก ซึ่งฉันก็พอใจแล้ว”

เส้นทางเล็ก ๆ เหมือนรอยทางเกวียนพาหนุ่มสาวทั้งคู่เข้าสู่บริเวณด้านหน้าของตัวบ้าน แคทธี่ไม่ยอมกวาดสายตาไปยังโรงเรือนทั้งหลายที่ปลูกขึ้นในบริเวณ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอรู้สึกกำสรดลึก ๆ อยู่ในใจ บังคับตัวเองให้เดินขึ้นไปบนบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งขณะนี้มีควันบาง ๆ สีเทาลอยขึ้นมาจากปล่องไฟสู่ท้องฟ้าที่ชะอุ่มด้วยเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนลงมา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel