บทที่ 4
ห้องเรียนทั้งห้องเงียบกริบอย่างผิดปกติ แถวโต๊ะเรียนทุกแถวว่างเปล่าปราศจากเด็กนักเรียน นอกจากเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาคัดลายมือลงบนสมุด เบื้องหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ใกล้กับกระดานดำ แคทธี่ คาร์ลสัน กำลังนั่งตรวจสมุดเลขของเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 อยู่ เธอรวบผมสีน้ำตาลเข้มแกมทองไว้เบื้องหลัง ผูกด้วยผ้าสีสวยเข้ากับสีของลวดลายบนผ้าเนื้อเนียนที่ตัดเย็บเป็นชุดทำงาน คือ เขียวเข้มแกมน้ำเงิน
เมื่อวางสมุดเล่มสุดท้ายทับลงบนตั้งที่วางอยู่ใกล้มือ แคทธี่ก็มองดูนาฬิกาบนฝาผนัง แล้วจึงได้ลุกขึ้นจากโต๊ะ
เงียบ ๆ เดินผ่านแถวโต๊ะเรียนเข้าไปยังที่เด็กชายอายุประมาณ 9 ปีนั่งอยู่ และก้มลงอ่านข้อความที่เธอสั่งให้เด็กชายคัดลายมือ
“ต่อไปนี้ผมจะไม่เอากาวติดสมุดอีกแล้วครับ” ซึ่งข้อความนี้เขียนซ้ำ ๆ กันจนเต็มไปทั้งหน้ากระดาษเด็กชายเงยหน้าตกกระของแกขึ้นมองดูเธอ เส้นผมสีทรายของแกยุ่งเหยิงไปทั้งศีรษะ เพราะแทบจะไม่ได้หวีหรือแปรงมาก่อนเลย
“ผมกลับบ้านได้หรือยังครับ มิสคาร์ลสัน?” น้ำเสียงของแกเหมือนอ้อนวอน ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเปล่งประกายวิงวอนเต็มที
“ผมขออนุญาตกลับบ้านครับ” แคทธี่แก้คำพูดให้
“ผมขออนุญาตกลับบ้านได้หรือยังครับ?” หนุ่มน้อยถอนหายใจเบา ๆ ห่อไหล่ลงเมื่อได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยแววติเตียนจากครู
ชาร์ล สมิท ซึ่งเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียกแกว่า ชาร์ลีนั้นเป็นตัวก่อความยุ่งยากที่สุดในชั้นเวลาเรียน เบื้องหลังสีหน้าที่ทำเป็นไร้เดียงสานั้น คือความเจ้าเล่ห์เพทุบายที่สามารถจะหลอกให้ทุกคนตายใจ และนึกไม่ถึงว่าแกจะทำอะไรร้าย ๆ ได้ และรายการวันนี้ของแกคือ กาวติดสมุดส่งงานของแมรี่ เทท ตอนที่เจ้าของออกไปรับประทานอาหารกลางวัน, แมรี่เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน หัวดีมากกว่าลูกศิษย์ทุกคนในชั้นของแคทธี่ ซึ่งทำให้ถูกตั้งฉายาว่า “ศิษย์รักของครู” และทำให้ชาร์ลีอิจฉาจนทนไม่ได้
“ได้ เธอกลับบ้านได้แล้ว ชาร์ลี” คำตอบของเธอตามมาด้วยเสียงกระแทกปกสมุดดังปัง ชาร์ลีลุกลี้ลุกลนเก็บงานเพื่อจะได้หลบไปเสียให้พ้น ๆ ก่อนที่แคทธี่จะเปลี่ยนใจและกักให้เขาอยู่นานขึ้น เด็กชายเดินเกือบจะถึงห้องเก็บเสื้อคลุมอยู่แล้ว ที่แคทธี่ร้องเตือนออกไปว่า
“คราวหน้าถ้าเธอทำเรื่องขึ้นมาอีก ฉันจะส่งเธอไปให้ครูใหญ่จัดการ”
“ผมไม่ทำอีกแล้วครับ มิสคาร์ลสัน” หนุ่มน้อยให้คำมั่น ค่อยเดินถอยหลังช้า ๆ ไปยังห้องเก็บเสื้อ
“เอาละ หวังไว้ก่อนก็แล้วกัน”
มันออกจะลำบากอยู่ไม่น้อยที่จะเก็บความโกรธเคืองไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาทางสีหน้า แม้จะทำใจมานานแล้วว่าทุก ๆ ชั้นจะต้องมีเด็กอย่างชาร์ลี สมิท อย่างน้อยก็หนึ่งคน ตราบใดที่เด็ก ๆ เหล่านี้ยังชอบจับเขียดเก็บลูกหิน และมิได้ก่ออันตรายทำความเสียหายให้เกิดขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือทำใจให้คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องความคะนองของวัย และโดยเฉพาะกับเด็กชายเล็ก ๆ ที่ชอบตัด ๆ ปะ ๆ และน่ารักเช่นนี้
ครู่ต่อมา แคทธี่ก็อยู่ในเสื้อคลุมหนังสีดำ หยิบกระเป๋าที่บรรจุด้วย “การบ้าน” เดินตามชาร์ลีออกไปจากโรงเรียนซึ่งตัวอาคารก่อด้วยอิฐหลังนั้น บ้านหลังเล็ก ๆ ที่เธอเช่ารวมกับเพื่อนอีก 2 คน ห่างจากโรงเรียนเพียงแค่ 3 ช่วงตึกเท่านั้น สะดวกสบายประหยัดกว่าการที่จะขับรถย้อนไปย้อนมา และกับความสับสนอลหม่านที่เผชิญมาทั้งวัน ทำให้แคทธี่อยากเดินกลับบ้านมากกว่า
ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านพ้นไป นับแต่วันที่เธอไปเยี่ยมบ้านไร่ครั้งสุดท้าย การขายทอดตลาดข้าวของเครื่องเรือนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งทำให้คาดได้ว่าเจ้าของคนใหม่คงจะย้ายเข้ามาแล้วเมื่อเลยวันโอนทรัพย์สิน แต่กระนั้นแม้จะเป็นช่วงปลายของเดือนมีนาคม แต่หิมะก็ยังโปรยปรายลงสู่พื้นดิน และเดือนมีนาคมซึ่งปกติแล้วจะต้องผ่านไปด้วยท่าทางของนางสิงห์กลายเป็นเพียงลูกแกะ ฤดูใบไม้ผลิยังอยู่ห่างไกลนัก
ดัชเชส สุนัขพันธุ์เชฟเฟิร์ด ขดตัวอยู่ในที่นอนบ้านหลังใหม่ของมันอย่างเซื่องซึม ทันทีที่เห็นแคทธี่เดินเข้ามา มันก็ลุกขึ้นนั่ง หางขดอยู่ระหว่างขาก้มหัวลงจรดพื้นราวกับสายโซ่ที่คล้องอยู่ตรงปลอกคอนั้นหนักจนเหลือกำลัง ดวงตาเศร้าซึมมองแคทธี่อย่างใจจดใจจ่อ
“เป็นไง ดัชเชส วันนี้เป็นยังไงบ้าง?” แคทธี่ถามเสียงใส ทำเป็นไม่สนใจในสีหน้าเศร้า ๆ ของมันแต่ก็ทำไม่สำเร็จ “ฉันเสียใจด้วยนะที่ต้องผูกแกไว้อย่างนี้ แม่สาวน้อย แต่ถ้าไม่ผูกแกก็จะวิ่งหนีไปเสียหรอก”
หางของมันสั่นระริกคล้ายจะสนองรับคำพูดของแคทธี่ แต่พอสายโซ่ที่คล้องคอไว้หลุดออก พวงหางสีแดงอมทองของมันก็กวัดไกวเพิ่มขึ้น มันมิได้หนีไปไหน ได้แต่เดินตามแคทธี่เข้าไปในบ้าน พอเข้าไปถึงภายในมันก็เดินตรงไปยังพรมปูพื้นหน้าห้อง ซึ่ง ณ ที่นั้นมันสามารถนอนลงและจับตาดูเพื่อนบ้านที่เดินเข้าเดินออกกันอยู่ได้ โดยเฉพาะกับนายสาวที่แสนรักของมัน
เพื่อนสาวทั้งสองของแคทธี่ยังไม่มีใครกลับมาถึงบ้านเลยสักคน คอนนี่ เมอซิสัน ทำงานอยู่ที่สาขาธนาคารประจำท้องถิ่น ส่วนแอนเดรีย หรือ “แอนดี้” ของเพื่อน ๆ นั้นเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์ เนื่องจากแคทธี่มักจะกลับถึงบ้านเป็นคนแรก เธอจึงเป็นผู้เตรียมอาหารค่ำสำหรับทุกคนตลอดสัปดาห์ ส่วนเพื่อนสาวอีก 2 คนจะทำหน้าที่เดียวกันเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อตอนที่แอนดี้ผลักบานประตูเข้ามาในบ้านนั้น แคทธี่กำลังปรุงส่วนผสมของ มีทโลฟ อยู่พอดี
“แน่ะ กลับมาแล้ว..แคทธี่” แอนดี้ทักอย่างเบิกบาน ผมสีดำของเธอยุ่งเหยิงด้วยแรงลมจากภายนอก “รับรองได้เลยว่าเธอเดาไม่ถูกหรอกว่าฉันพบใครเช้าวันนี้” ขณะเดียวกันสาวน้อยก็ถอดเสื้อคลุมสีน้ำตาลออก ชะโงกหน้าเข้าไปดูอาหารที่แคทธี่กำลังประกอบอยู่ “วันนี้มีอะไรกินบ้าง..อืม..มีทโลฟ มีมันฝรั่งอบด้วยหรือนี่?..แหม..ถ้าราดด้วยนมเปรี้ยวหรือมีเนยสักหน่อยก็แจ๋วสินะ ว้า....แต่น้ำหนักคงขึ้นน่าดูเลย ไม่มีใครเขาเหมือนเธอหรอกนะแคทธี่ กินมันได้ทุกอย่างแต่น้ำหนักไม่เคยขึ้นเลย”
“เธอก็กินมันฝรั่งอบกับเนยหรือนมเปรี้ยวอย่างใดอย่างหนึ่งสิ ไม่ใช่รับประทานเข้าไปเสียทีเดียวทั้งสองอย่าง แม่คุณ” แคทธีหัวเราะ แอนดี้พยายามจะลดอาหารอยู่เป็นนิจแต่ก็ยอมพ่ายแพ้แก่ความอยากทุกครั้งและเฝ้าคร่ำครวญแต่เรื่องน้ำหนักขึ้นอยู่ตลอดเวลา
“ก็ได้” แอนดี้ตอบอย่างเห็นด้วย ยกไหล่อย่างยอมแพ้ “แต่อันที่จริงจะกินมันฝรั่งอบให้อร่อย มันก็ต้องกินกับทั้งสองอย่างนี่แหละ”
“ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วล่ะ ยังไม่ 5 โมงเลย”
“วันนี้หมอโรแลนด์เข้าประชุมก็เลยปิดสำนักงานเร็วหน่อย เออ...นึกขึ้นมาได้แล้ว...ฉันตั้งใจจะเล่าให้เธอฟังอยู่แล้วเชียวว่าวันนี้ไปพบใครเข้า สวนกันพอดีเชียวเธอ” ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแอนดี้อีกครั้ง เหวี่ยงเสื้อคลุมลงบนเก้าอี้ หมุนตัวด้วยท่าของนักระบำเข้ามาช่วยล้างมันฝรั่ง “วันนี้หมอโรแลนด์ให้ฉันเอาเงินไปเข้าธนาคารตอนที่เสร็จจากงานแล้ว พอฉันเดินเข้าไปก็พบคอนนี่กำลังคุยอยู่กับสุภาพบุรุษผู้หล่อเหลาเอาการอยู่คนหนึ่ง เป็นธรรมดาใช่ไหมล่ะที่ฉันจะต้องเข้าไปทักทายอยู่แล้ว แหม...คอนนี่เขาทำท่าไม่พอใจฉันเลยนะเธอ แต่ก็จำใจแนะนำให้ฉันรู้จักกับเขาด้วย แล้วโชคมันก็ช่วยจนเหลือจะช่วยทีเดียวละเธอเอ๊ย...พอแนะนำให้เรารู้จักกันเสร็จ มิสเตอร์แฮมเบอร์ก็เกิดต้องการพบคอนนี่ขึ้นมาพอดีเลย ฉันก็เลยถูกทิ้งให้อยู่กับเขาตามลำพังสองคนเท่านั้น”
“ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับใครล่ะ แอนดี้?” รอยยิ้มขัน ๆ ปรากฏขึ้นตรงริมฝีปากของแคทธี่เมื่อเห็นเพื่อนสาวยังทำท่าปิด ๆ บัง ๆ อยู่
“กับโรเบิร์ต ดั๊กลาสน่ะสิ” ทันทีที่แอนดี้เอ่ยชื่อนั้นออกมา แคทธี่มีความรู้สึกเหมือนมีเสียงแตรฟันฟาร์ดังลั่นออกมาจากลำโพงที่ซ่อนไว้ในห้อง ในช่วงสั้น ๆ นั้น ก่อนที่แอนดี้จะเล่าเรื่องของเธอต่อไป แคทธี่ก็พยายามจะนึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน “เธอรู้จักเขานี่” แอนดี้ช่วยต่อเติมความไม่รู้ของเพื่อนสาวให้สมบูรณ์ขึ้น “ก็คนที่ซื้อไร่ของคุณปู่เธอไงล่ะ”
ความรู้สึกเหมือนได้ยินชื่อของคู่ปรปักษ์ปรากฏขึ้นในใจของแคทธี่ทันทีจนเธอต้องหยุดมือลงเพราะเกรงว่าเนื้อที่ปั้นเป็นก้อนจะละเอียดและกลายเป็นพายเนื้อไปเสียก่อน แต่แอนดี้มิได้สนใจในกิริยาท่าทางของเพื่อนสาวเลยแม้แต่น้อย ด้วยคิดไปว่าแคทธี่คงจะสนใจในเรื่องเจ้าของคนใหม่ที่มาอยู่ในบ้านไร่ของเธอบ้าง
“ผู้ชายอะไรไม่รู้ เหมือนหลุดออกมาจากความฝันอย่างนั้นละเธอ เป็นคนร่างสูงนะ สัก 6 ฟุตเห็นจะได้ รูปร่างสะโอดสะอง ผมหยักศกสีน้ำตาลสวยจนน่าจะได้ลูบเล่นนั่นแหละ แล้วก็มีสีน้ำตาลชนิดที่มองใครเข้าคนนั้นก็แทบจะละลายไปเลยละ, แล้วก็ผิวสีแทนหล่อเชียว ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องเหลียวมองทั้งนั้น นี่เธอ..แล้วก็ยังแคชเมียร์ เสวตเตอร์ด้วยนะ โฮ้ย..มันเนียนเข้ากับรูปร่าง ทั้งสูงสง่า สมาร์ท หล่อ..ฉันลองเดา ๆ ดูอายุอานามของเขาก็คงจะไม่เกิน 32 หรือ 33 หรอก แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ที่มันเข้ากับรูปร่างอย่างที่สุดก็คือเสียง...เป็นเสียงทุ้ม ๆ สงบ ๆ นะคล้ายกับว่าเขาพูดเพื่อให้เราฟังคนเดียวเท่านั้นละเธอ...ฉันหมายความถึงว่ามันเซ็กซี่ดีจริง ๆ”
“เธอแน่ใจหรือว่าเล่ารายละเอียดหมดแล้ว ไม่มีอะไรหลงไว้อีกนะ” แคทธี่ถามอย่างจะเอาเรื่อง รู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยที่เพื่อนสาวของเธอพูดถึงบุคคลที่คล้ายมาชิงเอาทรัพย์สินของตัวเองไป
“นั่นสิ” แอนดี้อุทานออกมาเหมือนตัวเองได้หลงลืมในรายละเอียดที่สำคัญที่สุด “เขามีรอยแผลเป็นนะ ยาวประมาณสักนิ้วเห็นจะได้อยู่ตรง...ตรงตาข้างขวา มันเลยยิ่งทำให้เขามองดู...” แววฝัน ๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของแอนดี้ “ดูเขาสมเป็นผู้ชายเชียวละเธอ”
ประตูเตาอบถูกกระแทกปิดดังปังเมื่อแคทธี่กระแทกถาดมีทโลฟใส่เข้าไป
แอนดี้ส่งมันฝรั่งที่ห่อด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ เรียบร้อยแล้ว