ตอนที่ 3 ไม่ถูกชะตา
ธิษณามดีรีบเดินเข้าในลิฟต์ แล้วรีบกดปิดรัวๆ หวังจะให้คนที่กำลังวิ่งมาเข้าไม่ทัน แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อชายหนุ่มแทรกตัวเข้ามาได้แบบเฉียดฉิว แถมยังหันมายักคิ้วเยาะเย้ยอย่างผู้ชนะใส่ นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับธิษณามดีเป็นอย่างมาก เวลาเพียงไม่กี่นาทีในลิฟต์แทบทำเธอกะอักจะขาดใจตาย ไม่รู้ทำไมมันรู้สึกมันนานราวกับเป็นชั่วโมง ดังนั้นทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกหญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบก้าวเท้าออกแล้วเดินตรงไปที่ลานจอดรถอย่างไว ไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง ไม่สนใจว่าใครจะตามมาทั้งนั้น จนกระทั่ง…
“เดี๋ยวสิป้า จะรีบไปไหน”
“เรียกใครป้า” เธอหันกลับมาถามเสียงห้วน
“ก็คุณน่ะสิ ป้ากะทิ…” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพร้อมกับทำหน้าตายียวน แต่ก็โดนอีกฝ่ายสวนกลับจนต้องสะดุ้ง
“เดี๋ยวแม่ตบปากด้วยรองเท้าเลยนี่” ไม่พูดเปล่าธิษณามดียังถอดรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาถือง้างเตรียมเอาไว้ เป็นการเตือนว่าเธอพร้อมจะฟาดมันใส่อีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ
“โอ๊ะๆ ๆ ใจเย็นๆ ครับ อารมณ์ร้อนแบบนี้เสียอิมเมจหมดเลยนะ” ธนภูมิรีบห้ามเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ได้นึกกลัว แต่ออกจะทึ่งกึ่งๆ สนุกที่อีกฝ่ายยุขึ้นง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน เพราะนั่นหมายถึงรองเท้าในมือของหญิงสาวจะมาถูกขว้างมา ‘ตบปาก’ ของเขาเอาง่ายๆ เหมือนกัน
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีว่าอิมเมจของฉันเป็นยังไง คุณมันก็พวกมองผู้หญิงแค่ภายนอก มีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า” ธิษณามดีพูดเข้าประเด็น แน่ใจว่าที่เขาตามมาเพราะมีเรื่องที่จะคุยแน่ๆ คงไม่ใจดีขนาดตามมาส่งเธอที่รถหรอก
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากบอกว่าตัดใจจากคุณรามซะ คุณก็รู้นี่ว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วใบหน้าที่ดูยียวนกวนประสาทเมื่อครู่ก็ดูดุดันขึ้นเสียจนธิษณามดีเองยังรู้สึกกลัวและหวั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต่อยเธอหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นในเมื่อไม่ผิดเรื่องอะไรจะยอมรับ “ฉันรู้ แต่เรื่องตัดใจฉันคงขอปฏิเสธ” ธิษณามดีใช้คำพูดกำกวมเพื่อยั่วโมโห
“นี่คุณ!” ธนภูมิหมดความอดทนเข้าไปกระชากต้นแขนเล็กแล้วบีบอย่างลืมตัว
“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ!” ธิษณามดีที่ทำหน้าเหยเกบอกเสียงเข้มพลางสะบัดตัวหวังให้มือใหญ่ที่บีบต้นแขนของตัวเองหลุด แต่ก็ไม่เป็นผล แถมไอ้ผู้ชายปากสุนัขยังยิ้มยั่วอย่างไม่สนใจว่าเธอนั้นเจ็บแค่ไหน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ขอใช้กำลังบ้างละ ว่าแล้วธิษณามดีก็กระแทกส้นรองเท้าลงไปที่หลังเท้าของธนภูมิเต็มแรง และมันได้ผลชะงัด ธนภูมิปล่อยมือแล้วเต้นเหยงๆ พร้อมกับตะคอก
“โอ๊ย! ยายบ้า!”
“จำเอาไว้อย่ามาลองดีกับฉัน ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าเรื่องระหว่างฉันกับพี่รามถ้าไม่รู้จริงอย่าเที่ยวมาพูดชุ่ยๆ” เอ่ยจบก็สะบัดหน้าหมุนตัวกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหารถ โดยมีเสียงตะโกนของธนภูมิดังไล่หลังไป
“ไม่จริงตรงไหน คอยดูนะ ถ้าคุณกับไอ้หมอนั่นทำพี่เสียใจ ผมจะทำพวกคุณได้รู้จักนรกอย่างแท้จริง”
ธิษณามดีเบ้ปากก่อนจะก้าวขึ้นรถอย่างไม่สนใจ เธอสตาร์ทแล้วค่อยๆ เคลื่อนมันออก แล้วก็ต้องทำหน้ายุ่งเมื่อร่างสูงของธนภูมิยืนขวางทางอยู่
“ถอย!” ธิษณามดีโผล่หน้าออกมาตะโกนไล่ แต่อีกฝ่ายใช่จะสนยังยืนทำหน้ายียวนกวนบาทา ได้...ในเมื่อบอกดีๆ ไม่ยอมหลีก เธอก็จะคิดว่าผู้ชายตัวโตๆ ตรงหน้าเป็นแค่ธาตุอากาศเหมือนกัน หญิงสาวกดยิ้มมุมปากแล้วเร่งเครื่องเสียงดังเป็นการเตือนอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายกลายๆ แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งรถใส่ร่างสูงอย่างไม่ลังเล
ด้านธนภูมิที่ประเมินความกล้าบ้าบิ่นของอีกฝ่ายต่ำไปต้องเบิกตากว้างพร้อมๆ กับกระโดดหลบรถโฟคที่พุ่งเข้าใส่ตัวเองในระยะประชิด “ยายบ้า! ยายป้าเฉิมเชยคิดจะฆ่ากันหรือไง” ชายหนุ่มตะโกนด่าอย่างหัวเสีย
ธิษณามดีชะลอรถแล้วก็โผล่หน้าออกมาเยาะเย้ย “ถ้ายังปากดีไม่เลิก เจอคุณที่ไหนจะขับรถชนให้ตายไปเลย ไอ้ผู้ชายปากปีจอ” ขู่จบเธอก็บึ่งรถจากไปอย่างอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ปล่อยธนภูมิตีอกชกลมที่ทำอะไรยายผู้หญิงแสนเชยคนนั้นไม่ได้ แต่คิดเหรอว่าเขาจะยอม วันนี้ต่อให้ก่อน คราวหน้าจะได้เห็นดีกัน ‘ยายป้า’ ธนภูมิคาดโทษหญิงสาวก่อนจะเดินกลับขึ้นไปหาพี่สาว
ทันทีที่ได้รับโทร.ศัพท์แจ้งข่าวความคืบหน้าจากคนเป็นพ่อว่าตอนนี้นิภาธรอยู่อิตาลี ด้วยความร้อนใจอยากรู้รายละเอียดทั้งหมด นิพาดากับธนภูมิจึงรีบขอตัวกลับบ้านทันที
“คุณพ่อคะ ตอนนี้รู้หรือยังว่ายายนีน่าอยู่ส่วนไหนของอิตาลี”
เสียงถามจากลูกสาวคนโตที่ดังมาก่อนเจ้าตัวจะโผล่ ทำให้นายนิธิภัทรที่วางหนังสือที่อ่านอยู่ลงแล้วเอี้ยวตัวหันไปมองลูกๆ ทั้งสองเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าที่ร้อนรน
“พ่อโทร.บอกโทนี่กับญาติๆ ของเราที่โน่นให้ช่วยกันสืบหาแล้วละ คิดว่าไม่นานหรอกคงเจอตัว แล้วที่น้องบอกว่าจะโทร.หาน่ะโทร.มาบ้างไหม”
นิพาดาส่ายหน้าพลางเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนเป็นพ่อ “ยังเลยค่ะ ไม่รู้เมื่อไหร่ คุณพ่อไม่ต้องรอหรอก เผลอๆ เที่ยวเพลินลืมไปแล้วมั้งคะ รีบตามตัวให้เจอและลากกลับมาคุยให้รู้เรื่องน่าจะดีที่สุด” หญิงสาวบอกอย่างรู้จักนิสัยของน้องสาวเป็นอย่างดี ไอ้ที่ว่าจะติดต่อกลับมาเองไม่รู้ชาติไหน ดีไม่ดีญาติที่โน่นอาจจะตามตัวนิภาธรเจอก่อนจะได้โทร.ติดต่อกันก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี เธอจะได้เลิกเป็นร่างทรงเสียที แค่วันเดียวก็ทำเอาเกร็งจนเหนื่อยไปหมดแล้ว
“ใช่ต้องรีบตามตัวกลับมา” ธนภูมิรีบเอ่ยเสริมคนเป็นพี่สาว ‘ก่อนคู่หมั้นจะโดนยายป้ากะทิงาบ’ ประโยคหลังเขาต่อในใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ จนคนเป็นพ่ออดที่จะถามไม่ได้
“เป็นอะไรไทนี่”
“เปล่าครับ ผมขอออกไปข้างนอกนะครับ” ว่าแล้วธนภูมิก็เดินออกจากบ้านไปอีกครั้งทั้งที่เพิ่งกลับมา นิพาดามองตามน้องชายพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย ไม่รู้เป็นอะไรตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ธนภูมิทำหน้าตาเคร่งเครียดตลอด ถามก็บอกว่าไม่มีอะไร
“แล้วคู่หมั้นเราล่ะเป็นไงบ้าง”
“คุณพ่อ!” นิพาดาหันกลับมาอุทานเรียกคนเป็นพ่อเสียงดัง ใบหน้าสวยบูดบึ้งบ่งบอกว่าเธอไม่พอใจและไม่ขำกับมุกฝืดๆ นี้สักนิดเดียว
“พ่อล้อเล่นน่า อีกอย่างช่วงนี้ก็ฝึกพูดเอาไว้จะได้ชิน ว่าแต่ตารามเป็นไงบ้าง”
“ก็อย่างที่เห็นเมื่อวานแหละค่ะ วันนี้หมอพาไปตรวจเพิ่มเติมก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร บาดเจ็บแค่ภายนอกคิดว่าอีกไม่นานคงได้กลับบ้าน”
“อย่าลืมไปทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดีละ อย่าลืมนะว่าเป็นฝ่ายเราขอหมั้นเขาเอง” คนเป็นพ่อแกล้งล้อเสียงกลั้วหัวเราะ
“นีน่าไม่ใช่รีน่าซะหน่อย” พูดมาถึงตรงนี้แล้วเธออดที่จะหงุดหงิดให้คนเป็นน้องสาวไม่ได้
“ก็ตอนนี้เราเป็นตัวแทนก็ทำให้มันเนียนๆ ละ ทางโน้นจับได้แย่เลย พ่อเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เล่นหนีเที่ยวไม่บอกไม่กล่าวใครสักคน แถมยังทิ้งแหวนหมั้นให้ดูต่างหน้าอีก จะให้คิดว่าไง อยากยกเลิกการหมั้นเหรอ...” นายนิธิภัทรพูดเหมือนถามความคิดเห็นของลูกสาวคนโต เมื่ออีกฝ่ายเงียบเขาจึงพูดต่อ “ถ้าอยากยกเลิกจริงๆ ทำไมไม่พูดไม่บอกดีๆ ทำอย่างนี้มันไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเลยว่าไหมล่ะ”
“ที่คุณพ่อพูดมาก็ถูกค่ะ เอาเป็นว่าเพื่อป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจจะตามมา รีน่าจะทำตัวเป็นนีน่าให้เนียนที่สุด”
“ขอบใจมากลูก พ่อเชื่อว่าหนูทำได้” มือใหญ่ตบที่ไหล่บางเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
นิพาดายิ้มรับฝืนๆ ก่อนจะขอตัวขึ้นห้องพลางคิดไปถึงเรื่องเมื่อสามเดือนก่อน
วันนั้นเป็นวันหยุด คนเป็นพ่อและน้องชายของเธอมีนัดไปออกรอบตีกอล์ฟกับคุณอาและรามิลรวมถึงนายอชิตพลด้วย ไม่รู้คิดยังไงนิภาธรขอติดสอยห้อยตามและลากเธอไปด้วย ทั้งที่ไม่ได้ชอบหรือพิสมัยการตีกอล์ฟแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงสนามจึงทำได้แค่นั่งดู
และเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในตอนพัก นายอชิตพลเอ่ยปากชมเธอกับน้องสาวถึงความสวยและน่ารักรวมไปถึงการทำงาน พร้อมกับพูดทีเล่นทีจริงว่าถ้าได้มาเป็นหลานสะใภ้สักคนคงดี แต่ไม่มีใครคาดคิดว่านิภาธรจะเอาจริงถึงขั้นเอ่ยปากว่าจะให้หมั้นกับรามิลก็ไม่มีปัญหา
ทุกคนตกใจแทบจะทำขวดน้ำในมือหล่น มีเพียงคนที่โดนขอหมั้นอย่างรามิลเท่านั้นที่นั่งหน้านิ่ง ส่วนคนต้นเรื่องอย่างนิภาธรยังคงนั่งยิ้มแฉ่งมองว่าที่คู่หมั้นตาเป็นประกาย
นายอชิตพลคนที่เริ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกถามย้ำกับนิภาธรอีกครั้ง พร้อมทั้งขยายความต่อไปว่าเรื่องนี้ไม่มีการบังคับ แต่ถ้ามันเป็นไปได้มันก็จะเป็นอะไรที่ดีมากๆ และคำตอบที่หลุดออกจากปากนิภาธรก็คือถ้าทั้งสองตระกูลอยากเกี่ยวดองกันเธอยินดี เพราะรามิลนั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจแม้แต่น้อย ทั้งหล่อและเก่ง เรียกได้ว่าเพียบพร้อมไร้ที่ติ
ด้านรามิลเมื่อโดนถามความสมัครใจ ชายหนุ่มก็ตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่าไม่มีปัญหา ถ้าทำแล้วเป็นประโยชน์กับบริษัทเขายินดีทำทั้งนั้น
เมื่อมีคนเห็นด้วยก็ย่อมมีคนคัดค้านและคนคนนั้นก็คือ นิพาดาและนายนิธิภัทรที่ค้านหัวชนฝา เขากับภรรยาแต่งงานกันด้วยความรัก ประเภทแต่งเพราะธุรกิจนั้นเขาไม่เห็นด้วยที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นสุดท้ายเมื่อลูกสาวยืนยันว่าที่อยากจะหมั้นหมายกับรามิลนั้นหาใช่เรื่องของธุรกิจเพียงอย่าเดียว แต่เธอนั้นถูกใจรามิล แถมฝ่ายนั้นก็ไม่ปฏิเสธด้วย
ว่าจะไม่ยอมเลยต้องยอม...
แต่พอหมั้นได้ไม่กี่เดือนก็มาก่อเรื่องซะแล้ว ยายนีน่านะยายนีน่า ถ้าจะเลิกชอบอะไรง่ายๆ ขนาดนี้จะไปหมั้นกับใครให้ยุ่งยากทำไม นิพาดาคิดพลางถอนหายใจและกำลังจะเดินเลยห้องนอนของน้องสาวไป จู่ๆ ก็คิดได้ว่าน่าจะเข้าไปค้นดูสักหน่อยเผื่อมีเบาะแสอะไรให้ตามตัวได้บ้าง
ว่าแล้วเธอก็หมุนลูกบิดดันบานประตูให้เปิดออก และปิดมันลงอย่างเบามือเมื่อพาตัวเองเดินเข้าไปด้านในแล้ว
เมื่อช่วงเช้าเธอเข้ามาในห้องนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นมาเอาแค่ชุดในตู้เสื้อผ้าไปใส่ยังไม่รื้อค้นให้ละเอียด ร่างเพรียวระหงยืนกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเรื่องแป้งเป็นอันดับแรกจากนั้นก็ค่อยๆ รื้อและค้นดู เมื่อไม่พบสิ่งที่น่าจะเป็นเบาะแสเธอก็เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ย้ายไปค้นที่ใหม่จนครบทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่มีอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสได้เลย
“เฮ้อ…” หญิงสาวถอนหายใจอย่างผิดหวังพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงขนาดหกฟุตที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าปูลายการ์ตูนที่แม้เจ้าตัวจะเป็นสาวเปรี้ยวแต่ก็ยังมีส่วนที่ชอบอะไรๆ น่ารักๆ คิกขุอาโนะเนอยู่บ้างไม่ต่างกับเธอ
นิพาดาหยิบหมอนขึ้นมาล้วงเข้าไปด้านในปลอกหมอนทุกใบไม่เว้นแม้แต่หมอนข้างอย่างมีความหวังแต่ก็ยังไม่พบอะไร
“อะไรน่ะ” หญิงสาวถามตัวเองเมื่อปลายเท้าข้างหนึ่งที่ใช้แตะพื้นในการทรงตัวขณะรื้อค้นหมอนบนเตียงของน้องสาวก็ไปเหยียบถูกกระดาษลื่นๆ
เธอใช้เท่าเขี่ยมันออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ กลัวว่ามันจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่กระดาษอย่างที่ตนคิด ก่อนจะถอนหายใจเมื่อมันเป็นกระดาษ แต่...ไม่ใช่กระดาษธรรมดา มันเป็นภาพของผู้ชายหล่อเหลา นัยน์ตาสีควันบุหรี่ คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน บอกได้เลยว่าคนคนนี้หน้าตาดีอย่างร้ายกาจ แน่นอนผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนไทย และจะเกี่ยวข้องกับการหนีไปอิตาลีโดยไม่บอกไม่กล่าวของนิภาธรหรือไม่...
มันต้องสืบ...
“มาเฟีย!!! ” สองพี่น้องอุทานออกมาพร้อมกัน ธนภูมิคว้าภาพชายหนุ่มที่คนเป็นพ่อเพิ่งบอกเมื่อครู่ว่าเป็นมาเฟียมาดูชัดๆ
“ใช่ ส่งภาพคนคนนี้ไปให้ญาติเราที่อิตาลีดู รอไม่กี่นาทีเขาก็ตอบกลับมาว่านายคนนี้ชื่อมาร์โก ซอฟฟ์มาเฟียชื่อดังเลยละ คนในวงการธุรกิจไม่มีใครไม่รู้จัก”
“ฉันอยากจะเป็นลม” นางประณาลีว่าพลางกุมขมับตัวอ่อนปวกเปียกจนคนเป็นสามีต้องรีบถลาเข้าไปรับร่างบาง ส่วนลูกสาวนั้นรีบวิ่งหายาดม “ทำไมนีน่าต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคนอันตรายแบบนี้ด้วยนะ” นางพูดเสียงอ่อนแรง
“เรื่องที่นีน่าจะไปเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้หรือไม่ ยังตอบไม่ได้หรอกคุณ มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้” นายนิธิภัทรปลอบภรรยา
“ใช่ค่ะ นีน่าอาจจะแค่เปิดเน็ตแล้วเห็นว่าผู้ชายคนนี้หล่อ เลยปริ๊นมาดูเล่นๆ ก็ได้นะคะ” นิพาดาช่วยคนเป็นพ่อปลอบอีกแรง ทั้งที่ในใจนั้นคิดไม่ต่างจากแม่เลี้ยงเลยสักนิด หรือนี่จะเป็นคนรักใหม่ของนิภาธร...
“ผมว่ามันเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างแหละครับ ผู้ชายคนนี้จะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับเจ้นีน่า ยังไงคงต้องรอข่าวคราวจากทางโน้นก่อน คืบหน้ายังไงเราค่อยมาว่ากันอีกที ดีไหมครับ” ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ส่วนคุณแม่” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือบางมีรอยเหี่ยวย่นไปตามวัยของมารดา แล้วเอ่ยปลอบ “อย่าคิดมากนะครับ ถึงเจ้นีน่าจะเป็นผู้หญิงกล้าได้กล้าเสียยังไงก็คงไม่มีทางไปมีเรื่องกับมาเฟียหรอกครับ”
“แม่ก็หวังอย่างนั้น”