บทย่อ
น้องสาวตัวแสบก่อวีรกรรมหนีไปเที่ยวต่างประเทศกับใครก็ไม่รู้ ทิ้งแหวนหมั้นพร้อมกับกระดาษโน๊ตที่ระบุข้อความว่าให้เธอซึ่งเป็นพี่สาวฝาแฝดทำหน้าที่ทุกอย่างแทนชั่วคราว รวมถึงการเป็นคู่หมั้นของ ‘รามิล’********“ปะ...ปล่อย อื้อ...” นิพาดาห้ามเสียงกระเส่าทันทีที่ปากเป็นอิสระ ทว่าร่างกายกลับถูกจู่โจมอย่างหนักทั้งปากและมือของรามิล แรงพูดแทบจะไม่มี“ถ้าจะห้ามขอเสียงดังๆ ฟังชัดๆ มากกว่านี้สิที่รัก แล้วผมจะทำตาม” รามิลท้าทายขณะที่มือนั้นลูบไล้รุกล้ำต่ำหายเข้าไปใต้กระโปรงพลิ้ว แม้จะยาวคลุมเข่า แต่ตอนนี้มันถูกร่นขึ้นไปจนถึงหน้าท้อง“อย่ามาทำบ้าๆ ในนี้นะ” นิพาดาพยายามข่มความเสียวซ่านที่วิ่งพล่านทั่วสรรพางค์กาย สั่งห้ามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นจากเดิมนิดหน่อย“เสียงไม่ดัง ฟังไม่น่าเชื่อถือ ผมไม่ทำตามครับ”
ตอนที่ 1 หน้าที่ที่ได้รับจากน้องสาว
ฝากดูแลทุกอย่างแทนด้วยนะคะพี่สาวที่น่าร๊ากกก (ย้ำ! ทุกอย่าง) ไม่ต้องโทร.ตาม…ไว้จะติดต่อกลับเอง ฝากบอกทุกคนด้วยนะคะว่าไม่ต้องเป็นห่วง เที่ยวเบื่อเมื่อไหร่จะรีบกลับบ้านทันทีค่า…
ขอบคุณล่วงหน้านะคะพี่สาวที่น่ารักที่สุดในโลก
นีน่า
ร่างเพรียวระหงที่ยืนอ่านข้อความในกระดาษที่ถูกนำมาวางทิ้งไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมแหวนเพชรน้ำงามตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกร้อนรนจากคนเป็นแม่เลี้ยงที่เธอและน้องสาวฝาแฝดรักและเคารพดุจดังแม่บังเกิดเกล้า
“รีน่า! รีน่า! อยู่ไหมลูก”
“คะแม่” นิพาดาขานรับ เก็บจดหมายและแหวนเพชรลงลิ้นชัก แล้วรีบเดินมาเปิดประตูด้วยสีหน้าที่พยายามปรับให้เป็นปกติ
“เห็นนีน่าไหมลูก แม่เดินหาทั่วบ้านไม่เจอ ไปหาที่ห้องเมื่อกี้ก็ไม่มี” นางประณาลีในวัยห้าสิบเจ็ดปีที่ดูแลรักษาตัวเองเป็นอย่างดีทำให้นางดูราวกับว่าเพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ แต่ยังคงมีเค้าของความงามในวัยสาวให้เห็นว่าอดีตนั้นสวยเพียงใดเอ่ยถามลูกเลี้ยงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” นิพาดาถามอย่างระแวง กลัวว่ามันจะเกี่ยวกับข้อความในกระดาษและแหวนหมั้นที่น้องสาวฝาแฝดจอมแสบทิ้งไว้
“ก็คุณรามน่ะสิ…” พูดยังไม่ทันจะจบประโยค นิพาดาก็ถามแทรก
“คุณรามทำไมคะแม่”
“คุณรามเกิดอุบัติเหตุ เมื่อช่วงเช้ามืดนี้เอง บ้านโน้นโทร.มาบอกว่าเขาขับรถกลับจากต่างจังหวัดแล้วเผลอหลับใน รถเลยแฉลบลงข้างทางไปชนกับต้นไม้”
“คุณรามเกิดอุบัติเหตุ!” นิพาดาอุทานเสียงหลง แล้วรีบละล่ำละลักถามต่อ “ละ…แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ รถพังยับแต่คนเจ็บไม่หนักเท่าไหร่เห็นคุณยาว่ามาอย่างนั้น ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล แม่เลยว่าจะมาชวนนีน่ากับรีน่าไปเยี่ยมซะหน่อย แล้วนี่ตกลงนีน่าล่ะไปไหน” ถามพลางชะเง้อคอมองข้ามไหล่ลูกเลี้ยงเข้าไปด้านในห้องหวังจะเห็นคู่แฝดอีกคนที่ชอบมาหมกตัวอยู่ห้องพี่สาวประจำ ทว่าคราวนี้กลับไม่พบแม้เงา
“นีน่าไม่อยู่หรอกค่ะ”
“อ้าวแล้วไปไหน”
“ไป...เอ่อ...ไป...ทำธุระแต่เช้าน่ะค่ะ เรื่องนีน่าเอาไว้ก่อนเราค่อยโทร.บอกที่หลังก็ได้ ตอนนี้เรารีบไปเยี่ยมคุณรามก่อนดีกว่านะคะ” นิพาดาดึงความสนใจของแม่เลี้ยงไปที่เรื่องของรามิล
“นั่นสิ จริงด้วย งั้นแม่ลงไปรอข้างล่างนะ”
“ค่ะ แล้วรีน่าจะรีบตามลงไปนะคะ”
“จ๊ะ”
และทันทีที่แม่เลี้ยงเดินผละออกไป นิพาดาก็รีบปิดประตู หยิบโทรศัพท์ต่อสายหาน้องสาวตัวแสบทันที แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ต้องโทรก็ตาม แต่เรื่องรามิลเกิดอุบัติเหตุ คู่หมั้นอย่างนิภาธรควรรู้และกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง
ถึงจะตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นเบอร์ของนิภาธรติดต่อไม่ได้เลย เธอลองพยายามต่อสายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเผื่อบังเอิญมันอาจจะติดแต่ก็ต้องผิดหวัง
“แกเล่นอะไรของแกนะยายนีน่า” หญิงสาวบ่นอย่างหนักใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก หยิบกระเป๋าแล้วรีบออกจากห้องก่อนที่แม่เลี้ยงจะรอนานมากไปกว่านี้
และทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งสองแม่ลูกก็ตรงดิ่งไปที่ห้องพักคนป่วยที่นางธยานีซึ่งเป็นอาสะใภ้ของรามิลได้บอกเอาไว้ตั้งแต่โทร.มาแจ้งเรื่องหลานชายประสบอุบัติเหตุ
นิพาดาเคาะประตูเบาๆ เป็นสัญญาณให้คนข้างในได้รู้ ก่อนจะค่อยๆ เปิดมันเข้าไปภายในห้องพักฟื้นที่ดูหรูหราราวกับไม่ใช้โรงพยาบาล
“สวัสดีค่ะคุณชิต ตารามเป็นยังไงบ้างคะ” นางประณาลีทักทายและถามถึงคนเจ็บอย่างเป็นห่วง
“สวัสดีครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ได้แผลใหญ่มาสองแผลที่แขนกับต้นขา โดนกระจกรถบาด แต่แค่นี้ถือว่าปาฏิหาริย์แล้วเมื่อเทียบกับสภาพรถ” นายอชิตพลตอบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี หลังจากที่รับไหว้สองแม่ลูก
“ถือว่าโชคดีนะคะเนี่ย ตอนคุณยาโทร.ไปบอกฉันละใจหาย ว่าแต่ขอไปดูตารามหน่อยได้ไหมคะ” นางขออนุญาตอย่างเกรงว่าจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคนเจ็บ
“ได้ๆ เชิญครับเชิญ” ว่าแล้วร่างสูงออกจะท้วมเล็กน้อยก็เดินนำสองแม่ลูกเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ซึ่งแยกเป็นคนละส่วนกับห้องนั่งเล่น
“คุณลีกับหนูนีน่ามาเยี่ยมแน่ะ” นายอชิตพลพูดกับหลานชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง และมันคงมีอะไรน่าสนใจมากๆ มีคนเข้ามาในห้องถึงสามคนแต่รามิลก็ยังไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งเขาทักด้วยนั่นแหละถึงได้หันมา
“สวัสดีครับ” รามิลรีบยกมือไหว้แม่เลี้ยงของคู่หมั้นแต่ก็ต้องนิ่วหน้า
“ไม่ต้องก็ได้จ้ะ เจ็บอยู่...เหมือนแผลจะใหญ่อยู่นะเนี่ย เจ็บมากไหม” นางประณาลีถามอย่างเป็นห่วงพลางมองแขนขวาที่มีผ้าพันแผลอันใหญ่ปิดไว้ รวมไปถึงแผลเล็กๆ น้อยๆ ตามลำคอและใบหน้า
“พอทนได้ครับ” ชายหนุ่มตอบและยิ้มให้ผู้สูงวัยเล็กน้อย ก่อนจะมองเลยไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่ง เขาพยักหน้ารับเมื่อเธอส่งยิ้มให้
“ดีนะไม่เป็นอะไรต่อไปขับรถขับราต้องระวังมากๆ รู้ไหมจ๊ะ โดยเฉพาะเวลาง่วงหรือเมานี่ห้ามขับเลย”
“ครับ”
“ดีจ้ะ ไม่เป็นอะไรมากป้าก็โล่งใจ เอาเป็นว่าไม่กวนแล้ว พักเยอะๆ จะได้กลับบ้านไวๆ”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อีกครั้งแต่คราวนี้เขายกเพียงมือซ้ายข้างเดียว แล้วนั่งมองทุกคนเดินออกจากห้องพลางขมวดคิ้ว เมื่อรู้สึกว่าวันนี้คู่หมั้นสาวดูเงียบเรียบร้อยผิดปกติ
“สวัสดีค่ะคุณยา”
“อ้าว สวัสดีค่ะคุณลี” นางธยานีหันมาทักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มพร้อมกับปิดตู้เย็น ก่อนจะยกมือรับไหว้ว่าที่หลานสะใภ้ “สวัสดีจ้ะหนู...นีน่าสินะจ๊ะ” นางออกอาการลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าที่เรียกชื่อไปนั้นถูกคนหรือเปล่า เพราะตัวเองยังแยกคู่พี่น้องฝาแฝดไม่เคยจะออก ก็หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่พอคิดว่าถ้ามาเยี่ยมรามิลก็คงไม่ผิดคน
“คือมะ…” นางประณาลีพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด แต่ก็โดนลูกเลี้ยงพูดแทรกขึ้น
“ค่ะ เมื่อกี้หนูเพิ่งเข้าไปดูคุณรามมา แผลเต็มตัวเลยไม่มีอะไรร้ายแรงแน่นะคะ”
นางประณาลีหันไปขมวดคิ้วมองหน้าลูกเลี้ยงอย่างไม่เข้าใจและต้องการคำอธิบาย แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือสายตาข้อร้องระคนอ้อนวอน เห็นแล้วนางจึงได้ถอนหายใจและพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนกลับค่อยคุยกันอีกทีว่าทำไม หวังว่าคงได้ฟังเหตุผลที่ดีพอ
“หนูนีน่าไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หนักๆ ก็จะมีแค่แผลที่แขนและต้นขานั่นแหละที่เย็บไปหลายเข็มเลย ช่วงนี้คงทำอะไรๆ เองไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ถ้ายังไงเพื่อความสบายใจอาจจะให้คุณหมอพาตารามไปตรวจเช็กอย่างละเอียดอีกทีนะ”
“เอ่อ…ค่ะ” นิพาดารับคำพลางยิ้มแห้งๆ
“ยังไงเชิญคุณลีกับหนูนีน่าตามสบายนะครับ ผมขอกลับบ้านไปเอาของก่อน เมื่อเช้าเด็กที่บ้านเอามาให้แค่เสื้อผ้าคนละชุดเอง”
“ทำไมไม่ให้เขาเอามาให้อีกล่ะคะ” นางประณาลีเสนอแนะอย่างเป็นห่วง แม้จะเดินทางด้วยรถยนต์แต่ด้วยอายุอานามที่มากแล้วการเดินเหินก็ใช่จะสะดวกกระฉับกระเฉงเหมือนสมัยก่อน
“มีของที่ต้องใช้หลายอย่างครับ จะใช้เด็กให้มาอีกก็กลัวเสียเวลาไปเอาเองน่าจะดีที่สุด นอกจากเสื้อผ้าแล้วคุณจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม” ตอนท้ายนายอชิตพลหันไปถามภรรยาที่ง่วนอยู่กับการจัดของกินที่เพิ่งซื้อมาใส่จาน โดยมีว่าที่หลานสะใภ้เป็นผู้ช่วย
“ไม่รู้สิคุณ อะไรที่คิดว่าจำเป็นก็เอามาเถอะ อย่าลืมนะเอาชุดสีเขียวลายดอกมาให้ด้วยนะคะ” นางธยานีกำชับ
“ชุดเขียวลายดอก ดอกแบบไหนล่ะ ชุดเขียวลายดอกคุณนะมีเต็มตู้ไปหมด” นายอชิตพลแอบบ่น รู้ว่าถ้าเอามาผิดคนที่จะโดนด่าโดนบ่นก็คือเขานั่นแหละ
“ก็ลายดอกไม้เล็กๆ สีขาวๆ กางเกงมันน่ะเอามาด้วยให้ถูกชุดด้วยนะ ไม่ถูกฉันไม่ใส่และจะไล่ให้คุณกลับไปเอามาใหม่จริงๆ ด้วย”
“เอ้อๆ จะพยายามไม่ให้ผิด ไปละนายหนุ่มโทร.ตามคงมาถึงแล้ว” เขาหมายถึงคนขับรถที่โทร.บอกให้มารับตั้งแต่ภรรยาของเขาออกไปซื้อของ จนป่านนี้เพิ่งจะมาถึงการจราจรคงติดน่าดู
“เอ่อ…ขอโทษนะคะ ถ้าไม่ว่าอะไร คุณยาจะกลับบ้านไปเอาของพร้อมกับคุณชิตก็ได้นะคะ ส่วนทางนี้ฉันกับลูกสาวจะดูแลให้เอง…” นางประณาลีเสนอหลังจากนั่งฟังสองสามีภรรยาคุยกันเรื่องชุดครู่ใหญ่
“จะดีเหรอคะ” นางธยานีบอกอย่างเกรงใจ
“ดีสิคะ จะได้ไม่เสียเวลาเผื่อคุณชิตเอาของมาไม่ถูก ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะคนกันเองทั้งนั้น อีกอย่างพวกเราไม่ได้รีบกลับอะไร เพราะอีกเดี๋ยวคุณธีกับไทนี่ก็จะตามมาเยี่ยมคุณรามด้วยเหมือนกัน ไปเถอะค่ะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณคุณลีมากนะคะ” นางบอกอย่างซึ้งใจ แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อย “หนูนีน่าอาฝากดูแลตารามด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ ไปนะคะ” ตอนท้ายนางหันมาพูดกับนางประณาลีแล้วรีบเดินตามสามีออกจากห้องไป
และทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลงปุ๊บ นางประณาลีก็หันมามองหน้าลูกเลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่านะคะ” เอ่ยจบร่างเพรียวระหงก็เดินนำแม่เลี้ยงออกไปที่ระเบียง เมื่อนางประณาลีเดินออกมา เธอก็ปิดประตูเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงพูดคุยดังเล็ดลอดเข้าไปในห้องอย่างกลัวว่าความลับจะรั่วไหล
“คุณแม่อย่ามองอย่างนั้นสิคะ หนูมีเหตุผล” ยังไม่ทันทีคนเป็นแม่เลี้ยงจะเอ่ยปากถาม นิพาดาที่รู้ตัวว่าผิด ก็รีบชิงเป็นคนพูดออกมาก่อน
“มีเหตุผล งั้นก็ว่ามาสิจ๊ะ” นางประณาลีพยักหน้าพร้อมกับทรุดลงนั่งกอดอกที่เก้าอี้ รอคอยฟังเหตุผลของลูกเลี้ยงสาวอย่างตั้งใจ
“คือ...ยายนีน่าหนีเที่ยว ทิ้งจดหมายกับแหวนหมั้นไว้บอกให้หนูดูแลทุกอย่างแทน” พูดจบนิพาดาก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนเป็นแม่เลี้ยง รู้สึกโล่งใจที่ได้บอกความจริงกับท่าน แต่ก็หนักใจกับหน้าที่ที่น้องสาวทิ้งไว้ให้
“อ้าว ก็ไหนเราบอกว่านีน่าออกไปทำธุระข้างนอกไง” นางประณาลีถามอย่างตกใจระคนงงงวย
“หนูขอโทษค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้แม่เลี้ยงอย่างสำนึกผิด “ก็ตอนนั้นหนูไม่รู้นี่คะว่าคุณรามจะเกิดอุบัติเหตุ คิดว่าจะหาวิธีตามยายตัวแสบนั้นกลับมาเอง แต่พอมาถึงที่นี่ จากคำพูดของคุณยารู้เลยว่าทางนี้คงหวังพึ่งจะคนของเรามาดูแลคุณรามแน่ๆ”
“ก็ใช่นะสิ ถ้าคู่หมั้นไม่ดูแลแล้วจะให้ใครดูแลล่ะ ทางนั้นคงอยากดูละมั้งว่าคนของเราจะพึ่งพาได้มากแค่ไหน” ว่าแล้วนางประณาลีก็ถอนหายใจ เริ่มคิดถึงเค้าความยุ่งยากลอยมารางๆ แล้ว “เดี๋ยวแม่จะลองโทร.หาน้องเอง” ไม่พูดเปล่านางประณาลีหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเตรียมจะต่อสายหานิภาธร ที่ต้องยอมรับเลยว่ามักก่อวีรกรรมให้ปวดหัวเป็นประจำตั้งแต่เด็กจนโต แต่นิพาดาก็ห้ามเอาไว้ก่อน
“โทร.ให้ตายก็ไม่ติดหรอกค่ะ ยายนีน่าบอกว่าจะติดต่อกลับมาเอง หนูลองโทร.แล้ว”
“ติดต่อกลับมาเอง! โอ๊ย…แม่จะเป็นลม” นางประณาลีว่าพลางกุมขมับด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี ทำให้นิพาดาต้องรีบหายาดมในกระเป๋าของท่านมายื่นให้
“เป็นไงบ้างคะ”
คนถูกถามพยักหน้าเบาๆ สูดกลิ่นหอมเย็นๆ เข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะหันมามองหน้าลูกเลี้ยง นิพาดากับนิภาธรคู่แฝดที่หน้าตาเหมือนกันมาก แต่ไม่รู้ทำไมนิสัยถึงได้ต่างกันลิบลับ คนหนึ่งเก่ง เรียบร้อย งานนอกบ้านในบ้านเป็นเลิศ แต่อีกคนกลับเปรี้ยวจี๊ด เอาแต่ใจ และชอบก่อเรื่องให้ทุกคนในบ้านปวดหัวเป็นประจำ ส่วนเรื่องงานบ้านน่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึง เคยระเบิดห้องครัวมาแล้ว
“นีน่านะนีน่าเล่นอะไรก็ไม่รู้ ทิ้งแหวนหมั้นไว้ให้แบบนี้ แม่ว่านีน่าคงคิดจะให้ลูกเป็นตัวแทนระหว่างที่ตัวเองไม่อยู่แน่ๆ เลย เอาไงล่ะทีนี้” นางถามคนที่ต้องมารับกรรมกับสิ่งที่นิภาธรก่อ
“ไม่รู้สิคะ” นิพาดาที่ทำหน้าหนักใจส่ายศีรษะ
“แม่ว่ารีน่าไม่ต้องไปบ้าจี้ตามน้องหรอกนะลูก เดี๋ยวถ้าทางคุณชิตกับคุณยาถามถึงนีน่าแม่จะบอกพวกเขาเองว่านีน่าไปทำธุระที่ต่างประเทศ คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร” นางประณาลีบอกอย่างเห็นใจลูกสาวคนโตที่รักน้องๆ ทุกคนยิ่งชีวิต อยากได้หรืออยากให้ทำอะไรให้บอกมาเถอะ นิพาดาคนนี้พร้อมจะทำและหามาให้ทุกอย่าง
“มันก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะคะ ถ้านีน่าไปเที่ยวอย่างที่บอกจริงๆ แต่หนูลองคิดทบทวนมาตั้งแต่ได้อ่านจดหมายแล้วว่า ถ้าแค่ไปเที่ยวทำไมต้องทิ้งแหวนหมั้นไว้ด้วย ยายนีน่าแค่ไปเที่ยวจริงๆ หรือไปไหนกับใครกันแน่” นิพาดาพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“นี่รีน่ากำลังจะบอกแม่ว่า นีน่าอาจจะหนีตาม…ไม่ใช่สิหนีไปเที่ยวกับเอ่อ…เพื่อนผู้ชายอย่างนั้นเหรอ” นางประณาลีเปลี่ยนคำพูดให้มันฟังดูดีขึ้น แต่ภายในใจนั้นคิดไปในทางที่เลวร้ายกว่าคำพูดหลายเท่านัก และไม่เข้าใจว่าทำไมนิภาธรถึงทำอย่างนี้ การหมั้นหมายที่เกิดขึ้นก็ใช่จะโดนบังคับเสียเมื่อไหร่ เอ่ยปากอยากจะหมั้นเองแท้ๆ
“แค่คาดเดาค่ะแม่”
“แต่แม่ว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก” นางประณาลีที่เพิ่งจะนึกถึงประเด็นนี้เอ่ยพลางถอนหายใจอีกครั้ง ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วยกยาดมขึ้นจ่อปลายจมูกสูดเอากลิ่นหอมๆ หวังให้มันบรรเทาอาการรู้สึกเหนื่อยอกเหนื่อยใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ผล
“หนูก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ เลยตั้งใจว่าเรื่องนี้คุณรามกับครอบครัวยังไม่ควรรู้ จนกว่าเราจะตามหานีน่าเจอ แล้วเอาตัวกลับมาสอบถามความจริงว่าแค่ไปเที่ยวหรือไปไหนกับใครกันแน่”
“ถ้าอย่างนั้นรีน่า…” นางประณาลีไม่พูดต่อแต่หันไปมองหน้าลูกเลี้ยง
“ค่ะ จากนี้ไปต่อหน้าคุณรามและครอบครัวหนูคือนีน่า” นิพาดาบอกเสียงหนักแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างต้องการเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อก่อนเธอเผชิญหน้ากับรามิลที่เงียบขรึมติดจะเย็นชาแทบจะไม่เสวนากับใครถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็อึดอัดแทบตายอยู่แล้ว แต่จากนี้ไปจะต้องเอาตัวเข้าไปดูแลเขาอย่างใกล้ชิดสนิทสนมชายหนุ่มในฐานะคู่หมั้น เธอจะทำได้ไหมเนี่ย คิดพลางกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ
“แม่ตามใจรีน่าแล้วกันนะจ๊ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูความเห็นของพ่อเขาด้วยละนะว่าจะเอายังไง ระหว่างนี้แม่ว่าแม่โทร.หาโทนี่ให้ช่วยตามหาน้องอีกแรงดีกว่า ว่าแต่ตอนนี้โทนี่อยู่ไหนนะ” นางถามอย่างไม่แน่ใจในที่อยู่ของลูกชายอีกคน
“อิตาลีค่ะแม่”
ได้ยินคำตอบจากลูกเลี้ยงสาวแล้วนางประณาลีก็หัวเราะเสียงขึ้นจมูก ลูกของนางแต่ละคน นิภาธรตอนนี้ไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ ส่วนธนภัทรหรือโทนี่คู่แฝดของธนภูมิที่ชอบการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจก็เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ นางจำไม่ได้แล้วว่าลูกชายคนนี้กลับบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ก็ยังดีมีนิพาดาที่เป็นห่วงน้องชายพยายามคอยติดต่อถามข่าวคราวกันอยู่เสมอ
แต่ยังไม่ยังทันทีจะต่อสายหาลูกชาย เสียงทักจากคนที่นางและลูกเลี้ยงสาวรออยู่ก็ดังแทรกขึ้น
“มาแอบคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้ครับ” ธนภูมิที่เปิดประตูและยื่นเฉพาะศีรษะออกไปที่ระเบียงถามคนเป็นแม่และพี่สาวอย่างล้อเลียน ก่อนเขาจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของทั้งคู่ “มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ หรือคุณรามเจ็บหนัก” ชายหนุ่มถามต่อพร้อมกับเปิดประตูให้พี่สาวและคนเป็นแม่ได้เดินเข้ามาด้านในห้อง
“คุณรามไม่เป็นอะไรมากหรอก มีแผลใหญ่ที่แขนและต้นขาแต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร ตอนนี้เขานอนพักอยู่ในห้องแน่ะ” นิพาดาบอกน้องชายและแอบชำเลืองมองคนเป็นพ่อ ก่อนจะหลบสายตาท่าน
“งั้นเดี๋ยวผมกับไทนี่ขอเข้าไปดูคนเจ็บแป๊บหนึ่งนะ แล้วเราค่อยคุยกัน” ไม่ใช่แค่ธนภูมิเท่านั้นที่สังเกตเห็นความผิดปกติของสองแม่ลูก หากแต่นายนิธิภัทรก็เห็นและรู้สึกได้จากสีหน้าและแววตา โดยเฉพาะกับคู่ชีวิตที่อยู่กันมานานหลายสิบปี
นางประณาลีพยักหน้ารับพลางยิ้มบางๆ และเมื่อลูกชายกับสามีหายเข้าไปในห้องพักคนป่วย นางจึงหันมายิ้มให้กับลูกเลี้ยงที่ดูเหมือนจะมีสีหน้ากังวลหนักขึ้นกว่าเดิม และนางก็รู้ว่าเพราะอะไร
“กลัวคุณพ่อจะโกรธนีน่าเหรอจ๊ะ แม่ว่าไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณพ่อเขาเป็นคนมีเหตุผล” นางพูดปลอบ
“แต่คราวนี้คุณพ่ออาจจะโกรธเอามากๆ จนไม่คำนึงถึงเหตุผลก็ได้นะคะ คุณแม่ก็รู้ว่าเวลาท่านโกรธน่ะน่ากลัวขนาดไหน” ไม่พูดเปล่าหญิงสาวยังทำท่าขยาด เห็นหน้าตาใจดีอย่างนั้นน่ะนะ แต่คุณพ่อของเธอเวลาโกรธละก็น่ากลัวอย่าบอกใคร แม้นานๆ จะเห็นโกรธทีก็เถอะ แถมวิธีลงโทษก็สุดแสนจะโบร้าณโบราณ…
ไม้เรียว ใช่ คุณพ่อของเธอจะลงโทษด้วยการหวดด้วยไม้เรียวประจำตำแหน่ง และหวดโดยไม่เลือกด้วยว่าตอนนี้ลูกๆ นั้นโตกันหมดแล้ว ล่าสุดเมื่ออาทิตย์ก่อนคนที่โดนหวดก้นในวัยยี่สิบเจ็ดปีก็คือธนภูมิ น้องชายจอมเจ้าชู้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็รถไฟเกิดมาชนกันที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย ก็เลยเกิดศึกชิงนาย แต่เรื่องแค่นั้นก็คงไม่โดนลงโทษหรอกนะหากว่ามันไม่ทำให้คุณแม่สุดรักสุดสวาทขาดใจดิ้นของคุณพ่อโดนลูกหลงจนได้เลือดแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
“แม่ว่าไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย” นางบอกเสียงกลั้วหัวเราะ นั้นทำให้ลูกเลี้ยงคนสวยค้อนคุณแม่ตาคว่ำ ก็จะน่ากลัวได้ยังไงละ คุณพ่อน่ะกล้าหือกับคุณแม่เสียที่ไหน
“ถือว่าโชคดีมากๆ เลยนะที่ได้แผลมาแค่นั้น” นายนิธิภัทรเปรยลอยๆ เมื่อเดินออกมาจากห้องพักคนเจ็บ “ว่าแต่คุณชิตกับคุณยาไปไหนครับเนี่ย” เขาถามภรรยาที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ ลูกสาวที่นั่งหน้าตูมอย่างสงสัย
“ทั้งสองคนกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าและเตรียมของมานอนเฝ้าคุณรามน่ะค่ะ”
คนเป็นสามีพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปมองลูกชายที่ทำท่าหันซ้ายหันขวาชะโงกหน้าชะโงกหลังคล้ายกับกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่ ว่ากำลังจะถามแต่ดูเหมือนจะช้ากว่าลูกสาว
“หาอะไรไทนี่”
“เจ้นีน่าครับ เจ้แกไปไหนครับพี่ คู่หมั้นนอนเจ็บทำไมไม่มาดูแล แต่คิดไปคิดมาถ้าขืนให้เจ้แกดูแลมีหวังคนเจ็บได้เจ็บหนักกว่าเดิมแน่ มือหนักอย่างกับช้างสาร ไม่ไหว ไม่ไหว” ธนภูมิพูดล้อพี่สาวอีกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างสนุกปาก ตั้งใจจะให้เป็นเรื่องตลกขบขันเหมือนทุกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับเงียบไร้ซึ่งการตอบรับ ซ้ำหน้าตาแต่ละคนก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม
“เรื่องนีน่า ไทนี่กับคุณพ่อถามคุณแม่แล้วกันนะคะ รีน่าขอตัวเอากระเช้าไปเก็บและขอเข้าไปอยู่ในห้องเป็นเพื่อนคุณรามจนกว่าคุณอาทั้งสองจะกลับมา และถ้าสงสัยอะไรไว้เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะคะ” พูดจบร่างเพรียวระหงก็ลุกขึ้นหิ้วกระเช้าที่คนเป็นพ่อซื้อมาเยี่ยมรามิลเดินเลี่ยงออกไป นายนิธิภัทรเอี้ยวตัวมองตามลูกสาวเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งจากตรงข้ามไปเป็นข้างๆ ร่างบอบบางไม่เปลี่ยนแปลงของภรรยา ขณะที่ธนภูมิอ้าปากหวอมองตามหลังพี่สาวตาปริบๆ แล้วหันขวับมาถามคนเป็นแม่อย่างสงสัย
“พี่รีน่าเขาเป็นอะไรครับแม่ ดูไม่เครียดๆ ตั้งแต่ผมกับคุณพ่อมาถึงแล้ว”
“มีเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่เขาทำใจยอมรับมันได้แล้ว และตอนนี้ก็คงจะเริ่มทำตัวให้ชินกับหน้าที่ใหม่ ที่ได้รับมอบหมายจาก…นีน่า”