ตอนที่ 2 คู่หมั้นจอมปลอม
เมื่อกลับจากโรงพยาบาล โดยที่ทุกคนในครอบครัวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งยังเห็นด้วยกับการที่นิพาดาจะสวมรอยเป็นนิภาธรจนกว่าจะตามเจ้าตัวเจอ แล้วลากกลับบ้านโดยด่วน นิพาดาก็เอาจดหมายพร้อมกับแหวนหมั้นที่น้องสาวทิ้งไว้มาให้บุพการีดู พวกท่านอ่านแล้วถึงกับส่ายหน้าทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกให้เธอสวมแหวนหมั้นเอาไว้ให้ชิน
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นนิ้วนางข้างซ้ายที่เคยเว้นว่างมาตลอดสามสิบสามปีก็มีแหวนเพชรน้ำงามมาประดับ นิพาดาก้มมองดูแหวนพลางลูบคลึงมัน แล้วถอนหายใจ ดีนะที่ใส่ได้พอดีไม่งั้นคงได้มีปัญหาเพิ่มมาอีกแน่
ก็อย่างว่าเธอกับน้องสาวเป็นฝาแฝดกันนี่นา แถมเป็นฝาแฝดที่นอกจากหน้าตาจะเหมือนกันแล้ว รูปร่างสรีระก็แทบจะไม่ต่างกันเลย สามารถใช้ข้าวของเครื่องใช้เกือบทุกอย่างร่วมกันได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นรวมถึงแหวนหมั้นวงนี้ด้วย
เมื่อเสื้อผ้าหน้าผมพร้อม แหวนหมั้นก็สวมเรียบร้อย นิพาดาในคราบนิภาธรก็เดินออกจากห้องลงมาข้างล่างเตรียมตัวจะไปเยี่ยมรามิลที่โรงพยาบาล แต่เธอไม่มั่นใจเอาเสีย และจนกระทั่งทุกคนในครอบครัวทัก
“เจ้นีน่า…” ธนภูมิเรียกเสียงลากยาว…พร้อมกับเดินเข้าไปดึงพี่สาวเข้ามามองใกล้ๆ ตั้งหัวจรดปลายเท้า จากนั้นก็เดินเอามือไพล่หลังเดินมองวนไปจนรอบร่างเพรียวระหงในแบบที่แตกต่างไปจากทุกวันอย่างพิจารณาหาข้อแตกต่างระหว่างพี่สาวฝาแฝดสองคน แต่ก็ไม่มีเลย “เหมือนสุดๆ เลยพี่รีน่า มองยังงั้ยยังไงก็เจ้นีน่ามิผิดเพี้ยน”
“จริงเหรอไทนี่” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกำลังใจมาเป็นกอง แม้คนอื่นๆ จะบอกว่าเธอกับน้องสาวนั้นหน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ แต่พอมาเป็นแบบนี้ไม่รู้ทำไมมันรู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย
“จริงสิครับ ถ้าไม่รู้ว่าเจ้นีน่าหนีเที่ยวผมคงคิดว่าพี่รีน่าเป็นเจ้นีน่าแน่ๆ” พอธนภูมิบอกย้ำความมั่นใจ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“พ่อเองเห็นแล้วยังตกใจเลยนะ ไม่คิดว่าพอแต่งตัวแบบนี้แล้วรีน่ากับนีน่าแทบจะหาความต่างไม่เจอเลย”
“แม่ว่านานๆ รีน่าเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวก็สวยดีนะ” นางประณาลีเอ่ยชมพลางมองลูกเลี้ยงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดเดรสสั้นแขนกุด ตัวเสื้ออัดพลีทตัดต่อกระโปรงเข้ารูปสีน้ำตาลบวกกับการแต่งหน้าออกโทนสีดำเน้นความคมชัดโฉบเฉี่ยวของดวงตาทำให้สาวหวานกลายเป็นสาวเปรี้ยวทันที
“ขอบคุณค่ะ” คนถูกชมยิ้มรับแบบเขินๆ กำลังใจมาเต็ม เอาละปัญหาเรื่องรูปลักษณะภายนอกตัดไป ต่อไปเธอก็แค่พยายามทำตัวให้เป็นนิภาธรให้แนบเนียนที่สุด และหวังว่าอีกไม่นานพ่อของเธอจะตามตัวน้องสาวสุดแสบเจอ
“แต่ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกัน พี่รีน่าก็อย่าประมาทไปนะ เพราะว่าที่พี่เขยหน้าตายนั่นน่ะดูท่าทางฉลาดทีเดียว และยิ่งเงียบเราก็ยิ่งไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ระวังให้ดีละ” คำเตือนของธนภูมิ ทำให้ความประหม่าของนิพาดากลับมาอีกครั้ง
“ไทนี่ก็อย่าไปพูดให้พี่เขาหมดความมั่นใจสิ จะไปเยี่ยมคุณรามไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะนี่มันก็สายมากแล้วนะ” นางประณาลีไล่ เพราะยิ่งอยู่ลูกชายก็ยิ่งพูดมาก
“จริงด้วย” นิพาดาพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วหันไปสะกิดน้องชายที่วันนี้เธอลากตัวไปโรงพยาบาลด้วย เพราะยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับรามิลในนามของนิภาธรเพียงลำพัง อีกทั้งเผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน ยังไงสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียว และน้องชายของเธอคนนี้ก็ได้ชื่อว่าลื่นเป็นปลาไหล โกหกเป็นไฟ เรียกทั่วไปก็คือ ‘ตอแหล’ เก่งนั่นเอง
“ไปกันเถอะไทนี่ เอ่อ พ่อคะถ้าได้ความคืบหน้าเรื่องนีน่ายังไงโทร.บอกหนูด้วยนะคะ” หันมาบอกย้ำเรื่องสำคัญกับคนเป็นพ่อ
“ได้ ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวพ่อจะรีบโทร.บอกทันที”
“งั้นหนูไปนะคะ ไปไทนี่” ว่าแล้วก็ลากแขนน้องชายที่ไม่ค่อยจะเต็มใจไปด้วยเท่าไหร่นัก เพราะต้องยกเลิกนัดกับสาวๆ ไปถึงสองคน ไปที่รถ แล้วตรงไปยังโรงพยาบาล
โดยตลอดเส้นทางธนภูมิที่ทำหน้าที่พลขับก็จะคอยชวนคุยเรื่องสัพเพเหระตลกขบขันไปเรื่อย ทั้งนี้ก็เพื่อหวังให้พี่สาวได้ผ่อนคลายและลดความประหม่าลงบ้าง
สองพี่น้องไปถึงก็พบเพียงคุณอาทั้งสองส่วนรามิลนั้นคุณหมอนำตัวไปตรวจเช็กอย่างละเอียดอีกครั้ง ตามความต้องการของคนเป็นญาติ และนั่นทำให้นิพาดาที่หวาดหวั่นการเผชิญหน้ากับรามิลลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกแม้เล็กน้อยก็ตามที
“ผมว่าพี่ทำตัวตามปกติก็ได้นะ อย่าเกร็งนักเลย เชื่อเถอะไม่มีใครรู้หรือคิดระแคะระคายหรอกน่าว่าพี่นะไม่ใช่เจ้นีน่า เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอย่างนี้” ธนภูมิกระซิบปลอบ เมื่อเห็นพี่สาวนั่งตัวเกร็งแทบจะลืมหายใจ สีหน้าก็ดูกังวลเกินเหตุ แถมมือก็ยังเย็นเฉียบราวกับซากศพ
“พี่จะพยายาม” บอกเสียงแผ่วพลางหลับตา ก่อนจะรีบลืมตาขึ้น และปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด เมื่อนางธยานีเดินมาคุยด้วย
“ทั้งสองคนนั่งอ่านหนังสือดูทีวีก่อนนะ อีกไม่นานคุณหมอคงพาตารามมาส่งแล้วละ…อาว่าเดี๋ยวอาไปเอาผลไม้มาให้กินเล่นด้วยดีกว่านะ”
“หนูช่วยค่ะ” ว่าแล้วนิพาดาก็ลุกขึ้นเดินตามนางธยานีไปปอกผลไม้ใส่จาน หวังให้การที่ได้ทำโน่นทำนี่จะช่วยลดความประหม่าลงดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ และมันเหมือนจะได้ผล เธอลืมเรื่องที่ทำให้กังวลใจไปพักใหญ่จนกระทั่งบุรุษพยาบาลเข็นรามิลกลับเข้ามาในห้อง โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามมาไม่ห่าง
ธนภูมิหรี่ตามองคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างพิจารณา เขาไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน เธอเป็นใคร จะว่าพยาบาลก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้ใส่ชุดพยาบาล หุ่นก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ผมเกล้ารัดตึงไว้ตรงท้ายทอยกับแว่นตาราวกับคนแก่นั่นมันอะไร การแต่งตัวเรียบร้อยได้อีก กระโปรงทรงเอสีดำยาวคลุมเข่าเสื้อคอปิดสีขาวแขนยาวที่มีเข็มขัดเล็กๆ รัดที่เอวเดิน ครูระเบียบหลุดมาจากโรงเรียนไหนเนี่ย
แต่ทั้งหมดทั้งมวลโดยรวมของหญิงสาวก็ไม่ทำให้เขาขัดหูขัดเท่ากับมือของเจ้าหล่อนที่วางอยู่บนท่อนแขนของรามิลตลอดเวลา แถมรามิลที่หน้าตาที่เคยนิ่งเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กลับมีรอยยิ้มบางๆ ให้เห็น ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน และเขาแน่ใจว่ายังไงก็ไม่ใช่ญาติของว่าที่พี่เขยหน้าตายแน่นอน เพราะตอนงานหมั้นที่จัดขึ้นเล็กๆ มีเฉพาะคนในครอบครัวไม่มีผู้หญิงคนนี้ในงาน ธนภูมิคิดพลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“อ้าว กะทิมาด้วยเหรอจ๊ะ…แล้วไปไงมาไงถึงได้มาพร้อมตารามล่ะเนี่ย” นางธยานีทักคนมาใหม่ด้วยท่าทีสนิทสนม
ธิษณามดีผละจากรามิลที่ถูกเข็นเข้าห้องพัก แล้วยกมือไหว้นายอชิตพลและนางธยานี “เจอกันหน้าห้องพอดีค่ะ”
“แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ”
คนถูกถามก้มลงมองตัวเองยิ้มๆ “หนูเพิ่งกลับมาจากไปพบผู้ปกครองของเด็กน่ะค่ะ เขาอยากฝากลูกให้ทางโรงเรียนดูแลแต่อยากคุยด้วยเพื่อเพิ่มความมั่นใจ หนูเลยต้องไปคุยกับเขาหน่อย” ธิษณามดีเจ้าของโรงเรียนเตรียมอนุบาล ‘ธิษณามดี’ แต่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกสั้นๆ ว่าโรงเรียน ‘ครูกะทิ’ มากกว่า ซึ่งรับดูแลและสอนเด็กตั้งแต่อายุสองขวบครึ่งไปจนถึงหกขวบบอกกับผู้สูงวัยที่รักและเคารพเสมือนญาติผู้ใหญ่ด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ มิน่าล่ะ” นางธยานีพยักหน้ารับอย่างรู้กันว่าธิษณามดีต้องแต่งตัวอย่างนี้ก็เพราะเป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาลที่อายุยังไม่มากเท่าไหร่กอปรกับใบหน้าที่เด็กกว่าอายุจริง เวลาไปโรงเรียนหรือไปพบผู้ปกครองของเด็กเป็นการส่วนตัวหญิงสาวก็จะแต่งตัวในลักษณะนี้เพื่อให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือ ก่อนนางจะหันมาแนะนำหนุ่มสาวที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนให้ได้รู้จักกันเอาไว้
“กะทิ ป้าขอแนะนำให้รู้จัก นี่หนูนีน่าเป็นคู่หมั้นของตาราม และนี้น้องชายของหนูนีน่าชื่อไทนี่จ้ะ แล้วก็หนูนีน่า ไทนี่นี่หนูกะทิเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกับครอบครัวของอามากๆ จ้ะ”
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้คนที่นางธยานีเพิ่งแนะนำให้รู้จักด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่มันเป็นมิตรกับเฉพาะคนพี่ เพราะตอนหันไปไหว้คนน้องหน้าตาบ่งบอกเลยว่าไม่ได้ยินดีที่จะรู้จักกับเธอสักเท่าไหร่ แล้วใครสน เธอคิดแล้วหันไปยิ้มให้กับนิพาดา “ได้ยินชื่อพี่นีน่าจากคุณลุงคุณป้าและพี่รามมาหลายครั้งแล้ว ดีใจมากๆ เลยค่ะที่วันนี้ได้เจอตัวจริงเสียที สวยอย่างที่กะทิคิดเอาไว้เลยนะคะเนี่ย” ธิษณามดีเอ่ยปากชมนิพาดาอย่างจริงใจ
หากแต่ในสายตาธนภูมิกลับคิดว่าหญิงสาวกำลังเสแสร้งแกล้งทำดีตบตามากกว่า ไว้พี่สาวเขาเผลอเมื่อไหร่แม่ครูระเบียบคงแทงข้างหลังแน่ๆ แอ๊บแบ้วใสซื่ออย่างนี้ละตัวดี
“กะทิเองก็สวยเหมือนกันนะจ๊ะ” นิพาดาเอ่ยชมกลับจากใจ แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งตัวให้ดูแก่กว่าวัย แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าเห็นเค้าโครงความสวยของธิษณามดีที่ชุดและแว่นตาแสนเชยนั้นปิดไม่มิดอยู่
“ตรงไหน โอ๊ย!” ธนภูมิร้องเสียงหลง ยกมือกุมสีข้างที่โดนพี่สาวบิดและดึงเต็มแรงอย่างไม่ปรานี โทษฐานที่ปากเสียกับผู้หญิง ขณะที่กำลังจะอ้าปากเถียงว่าก็มันเรื่องจริง เห็นพี่สาวถลึงตาใส่ ชายหนุ่มจึงหุบปากฉับ แล้วมองเมินไปทางอื่นอย่างขัดใจ
“พี่ขอโทษแทนน้องชายปากเสียด้วยนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ กะทิชินแล้วกับพวกที่มองคนแค่รูปลักษณ์” ธิษณามดีบอกเหมือนไม่ถือสาแต่ก็แอบแขวะธนภูมิผู้ชายปากไม่ดีที่รู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ “กะทิขอตัวไปหาพี่รามก่อนนะคะ” หญิงสาวยิ้มให้นิพาดาเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองธนภูมิแล้วสะบัดหน้าเดินหนีเข้าไปในห้องพักคนเจ็บ
นิพาดามองตามอย่างรู้สึกผิด ถึงจะบอกว่าชินแต่ผู้หญิงเราถ้าโดนผู้ชายว่าตัวเองไม่สวยต่อหน้ามันก็ต้องรู้สึกแย่อยู่แล้วล่ะ คิดแล้วก็โมโหแทน เธอจึงหันไปเล่นงานน้องชายปากเสียทันที
“ปากดีนัก ไปขอโทษน้องเขาเลยนะ” นิพาดาฟาดฝ่ามือเข้าที่ต้นแขนแข็งแรงของน้องชายไปสองสามที จากนั้นก็ดันร่างสูงของธนภูมิให้ตามธิษณามดีไปเพื่อขอโทษหญิงสาวซะ
ธนภูมิเดินเอื่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องพักคนเจ็บแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นภาพธิษณามดีกำลังป้อนน้ำว่าที่พี่เขยของเขา ดวงตาคมหรี่มองอย่างไม่ชอบใจจากนั้นก็จงใจปิดประตูเสียงดัง แล้วเดินเข้าไปหาทั้งสองคน ไม่ใช่จะเข้าไปขอโทษตามที่พี่สาวบอกหรอกนะ แต่จะไปเป็นก้างขวางคอต่างหาก
“สวัสดีครับคุณราม เป็นยังไงบ้างครับ” ถามคนบนเตียงแต่สายตากลับจ้องคนข้างเตียงเขม็ง
ส่วนธิษณามดีนั้นแค่ปรายตามองแล้วเดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างไม่สนใจ
“ก็ดีครับ” ตอบรับสั้นๆ ด้วยสีหน้าไม่ได้บึ้งตึงแต่ก็ไม่ถึงกับยิ้ม
“พี่นีน่าก็มานะครับ อีกเดี๋ยวคงเข้ามา” เขารู้ว่ารามิลรู้ แต่ที่บอกเนี่ยเพื่อต้องการตอกย้ำให้ใครบางคนในห้องนี้สำนึกว่ามีคนที่ต้องเกรงใจอยู่ ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำ
“ครับ”
ธนภูมิยักไหล่ แล้วหมุนตัวเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆ ธิษณามดีอย่างตั้งใจ “นั่งด้วยคนนะครับ”
“เชิญ!” บอกเสียงกระแทกกระทั้น แล้ววางหนังสือนิตยสารที่กำลังเปิดดูฆ่าเวลาลงบนโต๊ะแรงๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นบอกลารามิลทั้งที่เพิ่งมาถึง
“พี่รามคะวันนี้กะทิขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ ไว้พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่” ธิษณามดียกมือไหว้รามิลที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแล้วเดินหน้าบึ้งตึงเดินออกจากห้องไป โดยมีร่างสูงของธนภูมิเดินตามไปแบบติดๆ ซึ่งหญิงสาวก็ไม่เข้าใจว่าจะตามมาทำไม ไม่รู้หรือไงว่าที่หนีกลับบ้านเร็วก็เพราะเขานี่แหละ
“คุณลุงคุณป้าคะ กะทิขอตัวกลับก่อนนะคะ ไว้พรุ่งนี้เย็นๆ จะแวะมาเยี่ยมใหม่ กะทิกลับก่อนนะคะพี่นีน่า เสียดายนะคะเรายังไม่ได้คุยกันเลย” ธิษณามดีที่พยายามไม่สนใจคนตัวโตข้างหลัง บอกลาผู้สูงวัยทั้งสองและนิพาดาสาวสวยที่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าถูกชะตาผิดกับคนน้องที่ก็หล่อดีอยู่หรอกแต่พูดจาสุนัขไม่รับประทาน
“ไว้วันหลังก็ได้จ้ะ พี่ว่าเราคงได้พบกันอีกแน่นอน” นิพาดาบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ก่อนจะมองน้องชายที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างจับผิดและคิดว่าธนภูมิคงมีส่วนไม่มากก็น้อยที่ทำให้ธิษณามดีขอตัวกลับทั้งที่เพิ่งมาถึง
“งั้นกะทิลานะคะ” ธิษณามดียกมือไหว้ทุกคนแล้วรีบออกจากห้อง จะได้ไม่ต้องทนเห็นใบหน้ายียวนกวนประสาทของผู้ชายปากสุนัข
“เดี๋ยวสิไทนี่ จะไปไหน” นิพาดาถามน้องชายที่กำลังจะเดินตามหลังธิษณามดีออกจากห้อง
“ไปธุระแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวกลับมาครับ” ธนภูมิบอกผ่านๆ แล้วรีบเดินตามคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป
“อะไรของเขานะ” นิพาดาพึมพำพลางมองตามหลังน้องชายไปอย่างไม่เข้าใจ ก็ไหนบอกว่าเคลียร์ธุระและนัดทุกนัดหมดแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงมีขึ้นมา หรือแอบไปนัดสาวที่ไหนไว้อีก
“ผู้ชายก็อย่างนี้แหละชอบทำอะไรหุนหันพลันแล่น เอ้อ เมื่อกี้ตารามบอกให้หนูเข้าไปหาเขาหน่อย ใช่ไหมคะคุณ” ตอนท้ายนางธยานีหันไปถามสามีที่เพิ่งออกมาจากห้องพักหลายชาย
“ใช่ๆ คงอยากให้หนูไปเอาใจมั้ง” นายอชิตพลบอกเสียงกลั้วหัวเราะอย่างเคย
“เอ่อ…คุณอาทั้งสองไม่เข้าไปด้วยกันเหรอคะ” ถามด้วยความหวัง เพราะตอนนี้น้องชายของเธอไม่อยู่ อย่างน้อยก็มีเพื่อน แต่ดูเหมือนทุกอย่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย
“ไม่ละจ้ะ ตารามคงอยากจะคุยกับหนูตามลำพังมากกว่า พวกอาขอดูทีวีอยู่ที่นี่ละกัน ฝากด้วยนะจ๊ะหนูนีน่า” นางธยานีบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันไปสนใจรายการโทรทัศน์ เมื่อเป็นอย่างนี้นิพาดาจำต้องรับคำและเข้าไปพบรามิลเพียงลำพังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ค่ะ” นิพาดาลุกกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแล้วเดินเข้าไปในห้อง เธอยืนมองร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆ ก็เหมือนเดิมเขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างและยังคงไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาในห้อง จากนั้นสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เตียง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ก่อนจะกลั้นใจพูดขึ้นมา “คุณอาบอกว่าคุณต้องการพบฉัน”
“ครับ” รามิลหันมาตอบ แล้วจะขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันปรับเตียงให้” นิพาดารีบเดินไปปรับระดับเตียง แล้วเข้าไปพยุงร่างสูงที่ขยับตัวค่อนข้างลำบากให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน “โอเคไหมคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับเปิดยิ้มกว้าง ทำให้นิพาดาที่ไม่เคยเห็นโมเม้นนี้มาก่อนถึงกับใจเต้นระรัวหน้าร้อนผ่าว จนต้องท่องเอาไว้ คู่หมั้นน้องสาว…คู่หมั้นน้องสาว
“อะ…เอ่อ ตอนนี้คุณเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บมากหรือเปล่า” นิพาดาชวนคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ของตัวเอง
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ โชคดีที่ผมขับไม่เร็วเพราะรู้ตัวว่ากำลังง่วง แต่จะจอดงีบข้างทางก็ยังไงอยู่ เลยตั้งใจว่าถึงปั๊มค่อยงีบ แต่ก็ไปไม่ถึงแวะข้างทางซะก่อน” พูดจบรามิลก็หัวเราะน้อยๆ อย่างชอบใจ ไม่ได้รู้สึกกังวลกับอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุครั้งนี้มากนัก
นั่นทำให้นิพาดาถึงกับนิ่งอึ้ง มองชายหนุ่มที่พูดไปหัวเราะไปราวกับไม่เคยเห็น การแสดงอารมณ์แบบนี้มันคืออะไร ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างนั้นเหรอ คงไม่ใช่หรอกมั้ง เพราะนายอชิตพลรวมไปถึงคุณหมอก็ไม่เห็นจะบอกว่ามีอะไรผิดปกติ ถ้าอย่างนั้นคงเพราะ…ใช่! เพราะรามิลคงคิดว่าเธอคือนิพาดาแน่ๆ ไม่น่าเชื่อว่าน้องสาวของเธอจะทำให้ผู้ชายหน้าตายเปลี่ยนเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มสดใสได้ นี่หรือที่เขาเรียกว่า ‘มหัศจรรย์แห่งรัก’ น่ะ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ จู่ๆ ก็เงียบไป วันนี้ผมว่าคุณดูแปลกๆ นะ”
และคำว่า ‘แปลกๆ’ ของรามิลทำให้นิพาดาหลุดออกจากภวังค์ความคิดทำหน้าตื่นตกใจ ถอยห่างออกจากเตียงของชายหนุ่มโดยอัตโนมัติ รีบยกมือแตะๆ ใบหน้าพร้อมกับรีบก้มสำรวจตัวเอง แล้วละล่ำละลักถาม
“ยะ…ยังไงเหรอคะ เสื้อผ้าหน้าตา การพูดจาหรือท่าทางล่ะคะที่ว่าแปลกๆ”
“อืม…ผมว่าวันนี้คุณดูเกร็งๆ ไปนะ ทั้งที่ปกติ…”
“ปกติฉันเป็นยังไงเหรอคะ” นิพาดารีบถามแทรกขึ้นอย่างอยากรู้ จ้องหน้าอีกฝ่ายรอคอยคำตอบด้วย
ใจเต้นระทึก
คิ้วเข้มที่พาดเฉียงเหนือดวงตาสีนิลเลิกขึ้น ขณะที่ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ก็แบบนี้แหละ”
เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปนิพาดาถึงกับหน้าเหวอ อ้าว ไหนเมื่อกี้บอกว่าเธอแปลกๆ ไปไง ตกลงตอนนี้เธอแปลกไปหรือไม่แปลกกันแน่เนี่ย ชักจะทำตัวไม่ถูก
แล้วนิภาธรเวลาอยู่ต่อหน้ารามิลทำตัวยังไง ปกติหรือมีอะไรเป็นพิเศษ เรื่องแบบนี้เธอไม่เคยคิดจะถามและไม่ใช่เรื่องที่จะต้องถามน้องสาวด้วยซิ แต่ถ้ารู้ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ซักให้ละเอียดก็ดีหรอก
“เหรอคะ งั้นฉันไม่กวนแล้ว ให้คุณพักผ่อนดีกว่าจะได้หายไวๆ” นิพาดาที่กลัวตัวเองจะเผลอปล่อยพิรุธหาทางเลี่ยง
“ผมอยากอ่านหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ช่วยหยิบให้หน่อยได้ไหมครับ” รามิลพยักพเยิดไปที่โต๊ะรับแขกเล็กๆ มุมห้อง ที่มีหนังสือพิมพ์ที่คุณลุงของเขาซื้อมาอ่านฆ่าเวลาวางอยู่
นิพาดายิ้มแหยๆ แล้วรีบเดินไปหยิบมันวางบนตักของคนที่สั่งทันที “นี่ค่ะ ฉันขอตัวนะคะจะได้ไม่กวนเวลาคุณอ่านหนังสือพิมพ์” ว่าแล้วก็จะเดินออกจากห้อง หากก็ต้องชะงักเพราะคำพูดทักท้วงของคนบนเตียง
“วันนี้คุณดูแปลกไปจริงๆ ปกติชอบ...มาคลอเคลียชวนคุยจนบางครั้งต้องไล่หนี”
“คลอเคลีย...” นิพาดาครางพลางเบิกตากว้าง ตกลงระหว่างนิภาธรกับรามิลไปถึงขั้นไหนกัน แล้วไอ้ที่ว่าคลอเคลียมันต้องคลอเคลียยังไงขนาดไหน แต่จะขนาดไหนก็ช่างเธอไม่ทำมันเด็ดขาด “ไม่แปลกหรอกค่ะ แค่คิดว่าคุณเจ็บอยู่ขืนไปเอ่อ...คลอเคลียมันคงจะทำให้คุณเจ็บแผลหนักกว่าเดิม” หญิงสาวพยายามพูดแก้ไขสถานการณ์ และเปลี่ยนใจจากที่จะเลี่ยงหนีมาเป็นลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียงแทน หวังกลบเกลื่อนพิรุธ
“จริงด้วย มิน่าถึงว่าคุณดูแปลกไป” รามิลพยักหน้าออเออ ดูเหมือนไม่ติดใจอะไรแปลกๆ ที่เขาเคยตั้งข้อสังเกตมาก่อนหน้านั้น
“เอาอย่างนี้ ถึงฉันจะคลอเคลียคุณไม่ได้ แต่เรื่องพูดก็ยังทำมันได้อยู่นะคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฉันจะคุยกับคุณเรื่องในหนังสือพิมพ์นี้ก็แล้วกันนะคะ” นิพาดาเปิดยิ้มกว้างเมื่อรามิลพยักหน้ารับ ถึงเธอจะเป็นคนคุยไม่เก่งเท่าน้องสาว แต่ถ้าคุยเรื่องงานหรือข่าวสารเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจบอกเลยว่าเธอก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน