๑ แม่เหล็กต่างขั้ว (๒)
“คุณธามคะ ขอบคุณนะคะ” ยิ้มให้เขาเมื่อพูดจบ ชายหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่แววตากลับพราวระยับยามมองดวงหน้ารูปหัวใจของผู้หญิงร่างเล็ก
ตอนเห็นครั้งแรกค่อนข้างสะดุดตากับความน่ารักของอีกฝ่าย กรอบหน้ารูปหัวใจกับดวงตากลมโต จมูกโด่งเชิดและริมฝีปากกระจับ เครื่องหน้าของหล่อนดูรับกันไปเสียหมด น่ารักกว่านางเอกบางคนเสียอีกจนนึกสงสัยว่าทำไมมาเป็นแค่ฝ่ายเสื้อผ้า
ถ้าอยากเข้าวงการบันเทิงก็คงเข้าได้สบาย แต่เราไม่ได้สนิทกันจนสามารถถามไถ่ได้ เขาจึงเลือกมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น นึกสนุกตอนที่เห็นคนตัวเล็กมีอาการตระหนก
“ขอบคุณอะไรครับ”
“เรื่องชุดน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้คุณคงแย่แน่เลย” หล่อนถูกด่าบ่อยครั้งเรื่องความสะเพร่า จะว่าชินก็ไม่ได้เพราะยังรู้สึกเจ็บยามได้ยินคำด่าเหมือนทุกครั้ง สงสัยคงต้องรอบคอบให้มากกว่านี้
สายตาของหล่อนมัวแต่เหลียวมองหาผู้กำกับ จนลืมฟังว่าตัวเองต้องรับผิดชอบงานอะไร พอรู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็ผิดพลาดไปหมด
“เรื่องเล็กครับ...ว่าแต่คุณผูกเนกไทเป็นไหมครับ ผมขี้เกียจผูกเองช่วยทำให้หน่อยได้หรือเปล่า” ยื่นเส้นเนกไทสีเข้มให้หล่อน มองตาปริบเล่นเอาร่างบางต้องรีบหลบสายตาแล้วพยักหน้า ยอมรับเรื่องความหล่อของเขาที่ทำให้ใจเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
ยิ่งได้อยู่ใกล้แล้วมีกลิ่นหอมจากกายหนาโชยเข้าจมูก นิราแทบจะหยุดหายใจกลัวจะเผลอหลงใหลพระเอกหนุ่มมากกว่าเดิม
คนในวงการหน้าตาดีมีก็มา ทว่าคนที่มีเสน่ห์แม้เพียงอยู่เฉยเห็นจะมีแค่เขาเพียงคนเดียวในสายตาของเธอ
“ได้ค่ะ” รับเนกไทมาถือไว้
เนื่องจากว่าตนตัวเล็กกว่าเขามาก จึงต้องเขย่งปลายเท้าเพื่อคล้องคอเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาพอดี ทำให้ปลายจมูกโด่งเฉียดหน้าผากมนจนเธอชะงัก ดวงตากลมเบิกกว้างขณะที่หลุบตามองพื้นไม่กล้าสู้หน้า
หัวใจเต้นแรงกลัวว่าเขาจะได้ยิน บอกตัวเองให้ตั้งสติและเพ่งสมาธิไปที่การผูกเนกไทแม้มือจะสั่นแค่ไหนก็ตาม
นิราไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ไม่เคยมีความรักฉันชู้สาวกับใคร ตั้งใจเรียนตามความปรารถนาของมารดา และมุ่งมั่นกับการทำงานเพื่อหาเงินช่วยแม่อย่างเดียว กระทั่งท่านจากไปทิ้งลูกสาวไว้ลำพังก็สู้ดิ้นรนเอาตัวรอดจนเรียนจบปริญญาตรีเมื่อเดือนก่อน
รีบสมัครเข้ามาทำงานที่กองถ่ายละคร หวังจะใกล้ชิดใครบางคนก่อนจะออกไปใช้ชีวิตเดินตามทางของตัวเองบ้าง...
“มือสั่นนะครับ ไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ” ไม่รู้ว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไรตอนถามเพราะเธอเอาแต่จ้องเนกไทที่ตนกำลังผูก พยายามเร่งมือให้เสร็จเร็วโดยเร็ว จนสุดท้ายก็เสร็จสิ้นในเวลาต่อมา จึงได้ขยับถอนห่างจากเขา ทว่ายังรู้สึกถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดหน้าผากของตน
อันตรายเกินไปแล้วกับความรู้สึกตอนนี้...หรือจะเป็นเพราะชื่นชอบเขาในฐานะนักแสดงและความเป็นสุภาพบุรุษกันนะ
“เอ่อ ค่ะ” ค้อมศีรษะแล้วรีบเดินหนีทันที ปล่อยให้เขามองตามพลางหัวเราะร่วนกับท่าทีเขินอายของเจ้าหล่อน
ร่างสูงเดินกลับเข้าห้องเมื่อแต่งกายเรียบร้อย พร้อมสำหรับการถ่ายทำตลอดทั้งวันลากยาวไปจนถึงหนึ่งทุ่ม เล่นเอาร่างเขาแทบแหลกเมื่อต้องปล่อยพลังทั้งอารมณ์สุขและเศร้าในวันเดียว อยากรีบกลับไปนอนเป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่หางตาเหลือบเห็นคนที่กำลังยืนรอรถเมล์ ไม่รอช้ารีบตีไฟเลี้ยวขนาบข้างฟุตบาท ด้วยหน้าตาที่ทุกคนรู้จัก ทำให้มือหนาต้องหยิบหน้ากากอนามัยขึ้นมาสวมปิดบังใบหน้าช่วงล่าง
“กลับด้วยกันไหมครับ” คนที่กำลังปิดปากหาวอย่างง่วงงุนถึงกับตื่นเต็มตา หล่อนเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อสำรวจว่าเขาคุยกับใคร ก่อนพบว่าข้างกายไร้ผู้คนมีเพียงเธอคนเดียวที่นั่งรอรถเมล์ ร่างบางรีบเดินมาหาเขาแล้วเกาะขอบหน้าต่างด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ รออีกแป๊บเดียวรถน่าจะมา”
“ขึ้นมาเถอะครับ นี่ก็ค่ำแล้วอยู่คนเดียวมันอันตราย” เขาหว่านล้อมทันที
นิราทราบว่าคนตรงหน้าคือพระเอกรูปหล่อที่มีน้ำใจต่อตนเป็นอย่างยิ่ง แต่กลัวว่าหากขึ้นรถไปกับเขาจะมีคนเอาชายหนุ่มไปพูดในทางเสียหาย ไม่อยากเป็นปัญหาต่ออีกฝ่ายในอนาคต จึงส่ายหน้าไม่ขอรับความหวังดี ถึงตอนนี้จะอยากกลับไปนอนมากแค่ไหนก็ตาม
“ฉันเกรงใจค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะคะ” กำลังจะก้าวกลับไปยืนที่เดิม กลับต้องชะงักเมื่อคนในรถประกาศเสียงดังถึงความแน่วแน่ จนหล่อนตกใจเผลอเรียกชื่อชายหนุ่ม ไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“ถ้าคุณไม่ขึ้นมาผมก็ไม่ไปนะ จอดรออยู่นี่แหละ” ดวงตาแน่วแน่คล้ายว่าจะทำจริงดังปากพูด
“คุณธาม”
“เร็วครับ จะขึ้นหรือไม่ขึ้น” เร่งให้เธอตัดสินใจพร้อมปลดล็อคประตู ร่างบางนิ่งคิดครู่เดียวก่อนเห็นมีคนเดินมารอรถ แล้วอย่างนี้จะปฏิเสธได้อย่างไร รีบตอบรับพลางเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถมาเซราตีสี่ประตู เน้นใช้งานมากกว่าขับเพื่อความหรูหราของตัวรถ
“ขึ้นค่ะ”
ขึ้นมานั่งก็รีบคาดเข็มขัดนิรภัย พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุด เหลือบมองคนข้างกายที่ถอดหน้ากากอนามัยพลางยกยิ้มมุมปากแล้วเคลื่อนตัวออกจากข้างทาง ตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นที่พักอาศัยของหล่อนตามที่นิราบอกเส้นทาง
โชคดีที่คอนโดมิเนียมของหล่อนเป็นทางผ่านที่พักของเขาพอดี จึงไม่ต้องเดินทางอ้อมมาอ้อมไปให้ลำบากและเปลืองน้ำมัน
เขาชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งกำเข็มขัดนิรภัยไว้แน่นเหมือนกลัวนักหนา ลำตัวก็ตั้งตรงดูแข็งทื่อไม่ยอมเอนหลังพิงเบาะด้วยซ้ำ กลัวทำเป็นรอยหรืออย่างไร
นิราพอจะทราบถึงความร่ำรวยของเขา ครอบครัวเอกนฤนเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง บิดาเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก เก่งเรื่องการผ่าตัดหัวใจเป็นอย่างมาก ขณะที่มารดานั่งตำแหน่งประธานบริหารโรงพยาบาลที่มีสาขาทั่วประเทศ
เขามีพี่ชายสองคนทำอาชีพเดียวกับบิดาเพียงแค่ต่างสาขา มีเพียงร่างสูงที่แตกต่างเพียงคนเดียวเพราะเลือกจะทำอาชีพนักแสดง
กล้าที่จะแตกต่าง...แน่ล่ะ หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้หากไม่ออกทีวีก็เสียดายแย่
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ ผมไม่พาคุณไปขายหรอกน่า” หลุดหัวเราะกับท่าทีของหล่อน
นิราเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเกร็งมากขนาดนี้จึงปล่อยมือจากสายเข็มขัดนิรภัย เอนกายพิงพนักเบาะนุ่มแล้วพึมพำเสียงเบา “ค่ะ” ใครจะคิดว่าคนธรรมดาอย่างหล่อนจะได้นั่งรถของดาราดังระดับประเทศ แค่ได้คุยกับเขาก็เหมือนฝันแล้ว
แม้ตอนแรกจะไม่ได้รู้จักหรือปลาบปลื้มเขาเป็นการส่วนตัว มองว่าธามนิธิเป็นเพียงนักแสดงคนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อได้รู้จัก เห็นความใจดีมีน้ำใจของเขา...
กลายเป็นมองชายหนุ่มด้วยแววตาชื่นชมไปโดยปริยาย
“พรุ่งนี้ไปกองกี่โมงครับ” ระหว่างที่ขับรถไปส่งเธอแล้วติดไฟแดง จึงมีโอกาสหันมาชวนเธอคุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้สนิทสนมกันกว่าเดิม
หล่อนไม่อยากเข้าข้างตัวเองเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะมาจีบคนอย่างตน จึงคิดว่าที่อีกฝ่ายพยายามชวนคุย คงมาจากความอัธยาศัยดีของเขา
“เจ็ดโมงค่ะ ทำไมเหรอคะ”