บทที่ 2 ความเพ้อฝันของสองแม่ลูก
2
ความเพ้อฝันของสองแม่ลูก
แล้วเรื่องที่อเนกกังวลก็เป็นจริง นับวันความรักใคร่กันอย่างพี่น้องของอัสมากับยลดาก็ค่อยๆ ลดน้อยลง เพราะน้ำมือของมยุรีที่คอยเสี้ยมสอน ตอนนี้มีแต่การแข่งขัน ความต้องการเอาชนะ และความอิจฉาริษยาที่เจริญเติบโตตามวัย จนกระทั่งทั้งคู่เรียนจบมหาวิทยาลัย
อัสมาจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ในขณะที่ยลดาจบจากมหาวิทยาลัยเปิดชื่อดังพ่วงด้วยตำแหน่งเกียรตินิยม ไม่เท่านั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาหญิงสาวยังทำงานพาร์ทไทม์ทำตลอด ด้วยรู้จากคำพูดของทั้งป้าและอัสมาว่าเธอเป็นแค่ผู้อาศัย เลยจะพยายามพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด
“ก็แค่เกียรตินิยมมันกินไม่ได้หรอก” มยุรีมองค้อนเมื่อหลานสาวเอาเรื่องนี้มาบอก
“ถ้าฉันไปเรียนที่เดียวกับแกก็คงได้เหมือนกันแหละ แต่ที่ฉันไม่ได้ก็เพราะที่มหาลัยที่ฉันเรียนมีแต่หัวกะทิทั้งนั้น” แม้จะเป็นการเรียนที่แบบทุลักทุเลเกือบจะไม่รอดเพราะมัวแต่เที่ยวเล่น แต่อัสมาก็หาเหตุผลขึ้นมาพูดข่มญาติผู้น้องเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย
ทั้งที่ผ่านมาด้อยกว่าทุกเรื่อง
ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องใช้เงิน
อัสมาชนะเลิศ!
“คงอย่างนั้นมั้ง” ยลดาไม่อยากต่อปากต่อคำ เธอไม่ได้หวังคำชมจากป้าแค่มาบอกให้รู้เท่านั้น
“แล้วนี่จะไปหางานทำเมื่อไหร่ล่ะ”
“ตอนนี้หยีสมัครทิ้งไว้บ้างแล้วค่ะ แต่ก็ทำพาร์ทไทม์ที่เดิมรอไปด้วย แล้วไอวี่ล่ะไปทำงานวันไหน แกเคยบอกว่ามีบริษัทใหญ่มาจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบไม่ใช่เหรอ” ยลดาถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นคุยอะไรกันอยู่ แต่มีช่วงหนึ่งเธอบ่นเรื่องจบมาไม่รู้จะหางานได้ไหม อัสมาก็พูดขึ้นมาเลยว่าตัวเองไม่ต้องหาเพราะมีคนจองตัวไว้แล้ว ตอนนั้นเธอยังบอกไปว่าอิจฉาอยู่เลย
“เอ่อ...” อัสมาถึงกับหน้าเหวอไม่คิดว่ายลดาจะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแถมอยู่ต่อหน้าแม่ด้วย
“จริงเหรอลูก ทำไมแม่ไม่เคยรู้” มยุรีหันมาถามลูกสาวพลางเปิดยิ้มกว้าง
“เอ่อ...ก็วี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนี่คะ แค่เรื่องปกติทั่วไป” อัสมายิ้มแหยๆ ให้แม่ ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ยลดา
“ปกติทั่วไปตรงไหน เอาไว้พ่อกลับมาแม่ต้องอวดซะหน่อยแล้ว จะได้รู้เสียทีว่าลูกตัวเองก็เก่ง เอาแต่ชมลูกคนอื่นอยู่ได้” ว่าแล้วก็มองค้อนใส่หลานสาวอีกครั้ง
“มะ...ไม่ต้องหรอกค่ะ จริงๆ มันยังไม่ชัวร์เลยค่ะ” พ่อของเธอเป็นคนทำงานถ้าบอกไปต้องถามแน่ว่าบริษัทที่จองตัวคือบริษัทไหน และตรงนี้แหละที่ความจะแตกว่าเรื่องทั้งหมดถูกกุขึ้นเพื่อเอาชนะยลดาเท่านั้น
เธอน่ะแค่จบก็บุญแล้ว
“แต่แกบอกฉันว่าจบแล้วก็ไปทำเลยไม่ใช่เหรอ” ยลดายังถามต่อ
“นี่แกจะขยี้ทำไม”
“นั่นซิ อิจฉาหรือไงที่ตัวเองได้แค่ทำงานพาร์ทไทม์” มยุรีเบ้ปากใส่หลานสาวที่นั่งทำหน้านิ่ง
“ก็นิดหน่อยค่ะ”
“ก็ใครบอกให้แกไม่เก่งเท่าไอวี่ล่ะ” นานๆ มีเรื่องจะได้อวดทีก็เลยเชิดใส่เสียหน่อย แม้จะไม่ได้เอ็นดูหลานคนนี้นักเพราะรู้สึกว่าเป็นภาระ แต่ก็ต้องยอมรับอีกฝ่ายเก่งในการเอาตัวรอดมาก และนี่ไงคือเหตุผลที่ให้ทำทุกอย่างแทนอัสมา
สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
“นั่นไงพ่อแกมาแล้ว ต้องไปอวดเสียหน่อย”
“แม่ค่ะวี่ว่าอย่าเพิ่งดีกว่า” อัสมาดึงแม่ให้กลับลงมานั่งที่เดิม
“ทำไมล่ะ”
“ก็เดี๋ยวพ่อว่าหาว่าหนูขี้โม้ไงคะ เอาไว้วันที่หนูไปทำงานเลยดีกว่านะคะ พ่อจะได้พูดไม่ออก” เธอรู้ดีว่าการจะหลอกพ่อนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“งั้นก็ได้ แม่ล่ะคันปากยิบ ๆ แล้วเนี่ย”
“รอเซอร์ไพรส์ดีกว่านะคะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้” มยุรีถอนหายใจที่ไม่ได้อวดความเก่งของลูกสาว ก่อนจะเดินเข้าครัวไปเอาน้ำดื่มมาให้สามีที่กำลังเดินเข้ามา
“อยู่พร้อมหน้ากันพอดีเลย”
“น้ำค่ะ” มยุรีวางมันตรงหน้าสามีที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ลูกสาว “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ”
“นิดหน่อยน่ะ พอดีได้รับมอบหมายงานมาจากเจ้านายน่ะ” อเนกที่ดื่มน้ำเสร็จและกำลังวางแก้วน้ำลงมองไปที่ยลดา
“งานอะไรคะ เจ้านายคุณเนี่ยชอบสั่งงานนอกเวลาจริงเชียว”
“ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ยาหยีตอนนี้ได้งานประจำทำหรือยัง”
“ยังค่ะ แต่หยีสมัครไปหลายที่อยู่นะคะ ตอนนี้ก็ทำพาร์ทไทม์รอๆ ไปก่อนค่ะ” นอกจากนี้พรุ่งนี้เธอยังคิดว่าจะออกไปเดินสมัครตามบริษัทต่างๆ ดูอีกทาง
“สนใจลองไปทำงานกับเจ้านายลุงไหม”
“งาน...” ยลดายังไม่ทันจะพูดอะไร มยุรีก็แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดี๋ยวนะ ลูกสาวนั่งหัวโด่อยู่ทั้งคนไม่คิดจะถามความสมัครใจก่อนเลยหรือไง อะไรๆ ก็ยัยหยี” ว่าแล้วก็มองค้อนหลานสาวไปอีกครั้งเหมือนเดิม
“ก็มันเป็นงานดูแลคนป่วย ทำได้ไหมล่ะ ดูแลตัวเองให้มันได้ก่อนไหม อะไรๆ ก็เรียกหยีมัน” อเนกส่ายหน้า และที่เป็นอย่างนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากมยุรีที่เสี้ยมสอน จนตอนนี้ยลดาแทบจะไม่ใช่ญาติแต่เป็นเหมือนคนรับใช้ส่วนตัวของอัสมาไปแล้ว
“ไม่ลองจะรู้ได้ไงล่ะ”
“งั้นให้ไอวี่ทำก็ได้ค่ะ ยังไงหยีก็มีงานพาร์ทไทม์อยู่แล้ว” ยลดายิ้มอย่างไม่เรื่องมาก แม้ใจอยากจะไปลองทำดูก็ตาม เพราะเธออยากหางานประจำให้ได้ไวๆ จะได้มีเงินและแยกตัวออกไปอยู่คนเดียวได้เสียที
“วี่ขอฟังรายละเอียดงานก่อนแล้วกันนะคะค่อยตัดสินใจ”
“งานดูแลลูกชายของท่านประธานน่ะ พอดีเกิดอุบัติเหตุทำให้เขาเดินไม่ได้...”
“เดินไม่ได้!” อัสมาอุทานเสียงดัง แล้วเบ้ปาก “หยี๋ จะให้วี่ไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวไม่เอาหรอก”
“ไม่ได้ขนาดนั้นเสียหน่อย เดินไปเองไม่ได้แต่ช่วยพยุงก็เดินได้ อยู่ในช่วงกายภาพบำบัดน่ะ คนเคยเดินได้ ทำงานเก่ง พอมาอยู่แบบนี้อารมณ์เลยค่อนข้างแปรปรวนมั้ง คนที่มาดูแลคนก่อนๆ ถึงได้หนีไปหมด” นี่คือเหตุผลที่เขาต้องรับหน้าที่นี้มา และพอได้รับมอบหมายคนที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือหลานสาวไม่ใช่ลูกสาว
“ไม่ใช่เด็กเหรอ” มยุรีถามพลางขมวดคิ้วเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“เด็กที่ไหน ลูกชายท่านประธานเป็นผู้ชายที่หล่อและทำงานเก่งมาก เชื่อว่าอีกไม่นานท่านประธานวางมือก็เขานี่แหละที่จะมาแทนที่”
“โสดไหมคะ” พอได้ยินคำว่าหล่อและรวยอัสมาก็ตาเป็นประกาย
“โสดสิ บ้างานมากด้วย ท่านประธานบ่นเรื่องนี้ประจำ”
“หนุ่มหล่อรวย วี่จะทำงานนี้ค่ะ” เหตุผลที่ใช้ในการตัดสินใจของลูกสาวทำเอาอเนกถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ “แกแน่ใจนะ พ่อว่าให้หยีไปไม่ดีกว่าเหรอ”
“เอะ คุณนี่ยังไงลูกบอกว่าจะไปก็ยังจะให้ยัยหยีไปอยู่นั่นแหละ” มยุรีมองค้อนสามีกับหลานสาวไปคนละที ก่อนจะหันมายิ้มยกมือจับผมทัดหลังใบหูให้อย่างชื่นชมในความสวยของลูกสาวตัวเอง
“เอ่อ...ถ้าไอวี่อยากจะทำก็ให้ไปทำเถอะค่ะ หยียังพอมีงานพาร์ทไทม์รองรับอยู่” ยลดาปฏิเสธย้ำเรื่องเดิมอีกครั้งอย่างไม่อยากให้มีปัญหา
“เห็นไหม มันไม่ได้อยากไปสักหน่อย มีแต่คุณนั่นแหละ...”
“โอเคๆ ไปก็ไป อย่าร้องไห้กลับมาล่ะ” อเนกตัดบท ส่ายหน้า อยากจะทำก็ทำแต่เขาคิดว่ายังไงก็ไม่รอด
“คนก่อนหน้าจะยังไงไม่รู้ แต่วี่ว่าวี่เอาอยู่ค่ะ ผู้ชายที่ไหนจะไม่ชอบคนสวย ดีไม่ดีพ่ออาจจะได้ลูกเขยเป็นลูกชายของเจ้านายก็ได้นะคะ” อัสมาลุกขึ้นยืน โพสต์ท่าอวดความสวยให้ทุกคนดูอย่างมั่นใจ
“นั่นสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็จะรวย ใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ แม่จะไปเที่ยวรอบโลก ชอปปิงให้ฉ่ำปอดไปเลย” มยุรีเออออ
“วี่ก็จะเหมากระเป๋าและเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้หมดร้านไปเลย”
อเนกมองสองแม่ลูกที่กำลังเพ้อฝันแล้วได้แต่ส่ายหน้า ถ้าไปขัดคงได้โดนด่า จึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนยลดาที่ก็ไม่คิดจะขัด หนีไปตั้งโต๊ะมื้อเย็นรอทุกคน