บทที่8
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำฉันบอกให้ลีได้รับรู้ไว้ว่า ฉันจะกลับบอสตันตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันเล่าเรื่องงานเลี้ยงอาหารค่ำของมาร์กให้เขาฟัง รวมทั้งความเป็นไปได้ที่เขาจะได้รับรางวัลในครั้งนี้ด้วย
“คุณคงภูมิใจในตัวเขามาก” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ โดยไม่ได้เงยขึ้นมองหน้าฉัน
ฉันจับตาอยู่กับซุปตรงหน้าเป็นครู่ก่อนจะตอบออกไปว่า...
“ก็...ทำนองนั้น”
“ฟังเหมือนไม่เต็มใจพูด” เขากล่าว
“งั้นหรือคะ?” ฉันย้อนถามพร้อมกับเหลือบตาขึ้นมองเขา
“ไม่เลย...เพราะอะไรล่ะ?”
“บางครั้งฉันเคยคิดว่ามันน่าจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นถ้าเราจะไม่คบหากันอีก”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?” หางเสียงของเขาบอกความแปลกใจเต็มที่
“คือ...ฉันมีความรู้สึกว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันรบกวนการทำงานด้านศิลปะอย่างมากพูดง่ายๆ ก็คือเขาจะไม่พอใจเลยทุกครั้งที่ฉันให้ความสำคัญกับงานมากกว่าเขา”
“เขาพูดออกมาตรงๆ เลยอย่างนั้นหรือ?”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะคะ แต่บางครั้งมาร์กทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่าเขามีความเชื่อว่างานของเขาสำคัญกว่างานของฉันมาก เขามักจะพูดเป็นทำนองว่างานที่ฉันทำอยู่มันเป็นสิ่งที่มีโอกาสจับต้องได้น้อยกว่างานของเขา ฉันไม่เคยออกไปสัมภาษณ์ผู้คนที่เดินอยู่ตามถนนในเมืองนัสซูอย่างเขา และภาพเขียนแอ๊บสแทร็คของฉันก็ขายได้ไม่บ่อยนัก...”
ฉันแทบจะกัดลิ้นตัวเองให้หยุดพูดไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องเอาเรื่องแบบนี้มาเล่าให้ลีฟังด้วย
“นี่แสดงให้เห็นว่า เขาได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาให้มีความเชื่อว่างานที่ผู้ชายทำจะต้องมีความสำคัญกว่างานของผู้หญิงเสมอ เพราะฉะนั้นถึงมีผู้ชายจำนวนมากที่ตกหลุมความหลงใหลในอัตตาตนเองยังไงล่ะ”
“ลีคะ คุณกำลังจะกลายเป็นนักเรียกร้องเพื่อสิทธิสตรีแล้วนะคะ” ฉันเย้า
“การต้องอยู่ที่นี่คนเดียวมีเพียงแม่บ้านใจแข็งกับคนสวนใจอ่อนอยู่เป็นเพื่อน เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องเห็นด้วยกับการเรียกร้องสิทธิสตรี ต้องการเห็นการปฏิรูปสังคม มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ผมพอจะใช้อำนาจเงินเข้าไปแตะต้องได้”
ฉันวางช้อนที่ถืออยู่ในมือลงลีสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้เสิร์ฟอาหารชุดที่สองได้
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่า คงออกเดินทางวันศุกร์” ฉันเอ่ยออกไปรู้อยู่แก่ใจว่ามาร์กต้องการพบฉันวันศุกร์แต่ก็ยังลังเลอยู่
“แต่ก็คงจะรีบกลับมาอันที่จริงฉันไม่อยากพูดหรือคิดอะไรในทางลบหรอกนะคะแต่ยอมรับว่าไม่รู้จะแต่งตัวยังไงที่จะไปดินเนอร์ครั้งนี้”
“ที่นี่มีแค๊ตตาล๊อกเป็นร้อยคุณลองไปเลือกดูสิถ้าชอบชุดไหนรับรองว่าทางร้านสามารถจัดส่งได้ทันทีเลย”
เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหารแล้วเราก็เข้าไปในห้องโทรทัศน์ด้วยกันรายการภาพยนตร์คืนวันอาทิตย์น่าสนใจไม่น้อย แต่เราก็เพียงแค่เปิดไว้เป็นแบ็คกราวนด์ขณะช่วยกันหยิบแค๊ตตาล็อกออกมาพลิกดูแบบเสื้อ
“ชุดนี้เป็นยังไง?”
“ใส่แล้วดูเด็กเกินไปค่ะ”
“งั้นก็ชุดนี้...”
“ไม่เอาหรอก ใส่แล้วแก่จะตาย”
“ผมว่าคุณน่าจะสวยมากเลยนะถ้าใส่ชุดนี้”
“ไม่เอาค่ะ หรูเกินไป...คุณว่าชุดนี้เป็นยังไงคะ?”
“ไม่หรูพอผมว่าคุณน่าจะสวมใส่อะไรที่มันดูเฉี่ยวๆ สะดุดตาหน่อยไม่ใช่หรือ?”
และการเลือกชุดที่จะสั่งซื้อของเราก็ดำเนินต่อไป จนในที่สุดก็ได้ชุดที่เหมาะกับฉันที่สุด
“เยี่ยม...” ลีว่า
“ค่ะ เข้าท่าที่สุดแล้ว”
“แบ้ดด๊อก...เจ้าหมาเลว...กลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้...!” ลีตะโกนใส่สุนัขพันทางที่คอยติดตามเขาอยู่เป็นเงา
“เจ้าแบ้ดด๊อก...! บอกว่าให้มานี่เดี๋ยวนี้...!”
สุนัขแสนรู้ตัวนั้นเงยหน้าขึ้นจากซากนกที่นอนตายอยู่บนพื้นถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะก่อนจะวิ่งกลับมาหาลี
“อา...เจ้าหมาเลวที่แสนดี...” ลีโน้มตัวลงตบสะโพกมันอย่างรักใคร่
“คุณเรียกมันว่าหมาเลวที่แสนดี...มันไม่ฟังขัดกันไปหน่อยหรือคะ?”
“ถ้าเมื่อไหร่มันได้ออกมาแบบนี้ละก็มันจะกลายเป็นหมาเลวไปในทันที ชื่อจริงๆ ที่ผมตั้งให้มันก็คือราล์ฟ แต่ผมว่าถ้าเรียกมันว่าเจ้าหมาเลวดูจะเหมาะสมกับมันที่สุด
ท้องฟ้าที่ขุ่นครึ้มบอกให้รู้ว่าหิมะจะต้องตกหนักกว่าวันวาน เราออกมาเดินเล่นกันตั้งแต่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ขณะเดินอยู่นั้นลีจะชี้ให้ฉันดูจุดที่เขาจะแวะดูนกซึ่งมีอยู่มากมายหลายแห่ง ทั้งยังเล่ารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับนกแต่ละพันธุ์ให้ฟังด้วยอากาศก่อนหน้าหิมะจะตกอุ่นกว่าปกติซึ่งทำให้เรายังไม่อยากกลับเข้าบ้านแม้จะออกมานานแล้วก็ตาม แต่เราก็เพียงแค่เดินไปด้วยกันช้าๆ มีสถานที่ให้พักชมวิวทิวทัศน์หลายจุด
แม้ว่าเขาจะแสดงความเป็นห่วงฉันอยู่ แต่ฉันก็รู้ว่าความพยายามที่จะประคองร่างพิกลพิการไปเสียทุกส่วนอย่างนั้นทำให้ลีอ่อนเพลียมาก ฉันยินดีที่จะเดินเคียงข้างเขาไปช้าๆ อากาศที่สดชื่นทำให้ทั้งแก้มและใบหูของเขาเป็นสีชมพูเข้มขึ้น
“โอ...ดูนั่นสิคะ...” ฉันชี้มือไปยังหุบเขาเบื้องล่าง
“ตรงนั้นมีบึงขนาดใหญ่ด้วย มันเหมือนกับมีใครมาขุดไว้อย่างนั้นละ”
“เราเรียกตรงนั้นว่าแวกกี้ พอนด์ เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง...” เขาก้าวนำไปข้างหน้า
“ว่าแต่คุณเคยเล่นสเก็ตบ้างหรือเปล่า?”
“ฉันพอเล่นได้เท่านั้นละค่ะ ไม่ดีเท่าไรนักหรอก” ฉันเร่งฝีเท้าลงไปตามทางลาดของแนวเนินที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เต็ม
“ดูนั่นสิคะ...มีพวกเด็กๆ มาเล่นสเก็ตกันด้วย เราไปดูกันดีกว่า...” แต่พอฉันหันกลับมาปรากฏว่าลีหายตัวไปจากตรงนั้นแล้ว...!
ฉันรีบกระโดดกลับขึ้นมาและออกเดินแกมวิ่งตามเขาไป
“เดี๋ยว...รอด้วยสิคะ”
เขาเพียงแค่ลดฝีเท้าลงแต่ไม่ยอมหยุดเดินจนเมื่อฉันตามไปทันและเดินอยู่เคียงข้างเขาเหมือนเดิมแล้ว เขาจึงได้เอ่ยออกมาว่า
“ผมต้องขอโทษอย่างมากเลยนะ ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกนอกจากผมไม่อยากให้เด็กพวกนั้นเห็นผมเท่านั้น ถ้าพวกเขาเห็นแล้วจะกลัว”
“แต่ว่านั่นไม่ใช่พวกเด็กเล็กๆ แล้วนะคะ...ลี นั่นน่ะพวกวัยรุ่นทั้งนั้นเลย”
“ซึ่งยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก เพราะพวกวัยรุ่นจะไม่วิ่งหนี แต่จะยิ่งสนใจหนักขึ้น”
กว่าเราจะกลับถึงบ้าน อากาศก็เพิ่มความหนาวเย็นขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มิสซิสกรีฟเตรียมช็อคโกแล็ตร้อนไว้ให้เราแล้ว เราถอดรองเท้าบู๊ทกับถุงมือไว้ในครัว ถอดเสื้อคลุมทิ้งไว้ในห้องโถงกลาง ก่อนจะเข้าไปรับไออุ่นจากเตาผิงกันในห้องสมุด ยืดขาที่สวมถุงเข้าไปรับความร้อนจากตรงนั้นอย่างเต็มที่
“ผมไม่ได้คิดจะแสดงความหยาบคายตอนที่อยู่บนภูเขาหรอก” ลีซึ่งทอดร่างอยู่ในเก้าอี้นวมเอ่ยขึ้นช้าๆ “ตอนแรกๆ ที่เริ่มมีสัญญาณว่าผมกำลังถูกคุกคามด้วยโรคบ้านี่ มันยังไม่มีอะไรปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจนเท่าไรนัก ผมยังไปไหนมาไหนได้ แต่ยิ่งนานวัน...เมื่อมันปรากฏชัดขึ้นและชัดขึ้นเรื่อยๆ ...บอกตามตรงกว่าการใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป มันเริ่มยากขึ้นเป็นเงาตามตัว...ผู้คนเริ่มมองผมอย่างสงสัยอย่างอยากรู้แต่ส่วนใหญ่เขาก็แสดงความสงสารเห็นใจกันทั้งนั้น...”
“มีอยู่วันหนึ่ง...ตอนนั้นผมกำลังเดินอยู่ที่ถนนบอยเยิลสตัน สายตาก็สอดส่ายดูสินค้าที่เขาโชว์ไว้ตามหน้าร้านอย่างเพลิดเพลิน ไม่สนใจหรอกว่าขาจะพาเดินไปทางไหน ผมก็เลยชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่จูงลูกสาวตัวเล็กๆ มาด้วยพอเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองผมก็ร้องไห้ออกมาดังลั่น ไม่ว่าผมจะขอโทษขอโพยสักแค่ไหนแม่ของเด็กก็ไม่ยอมเข้าใจแถมยังชี้หน้าต่อว่าผมอีกด้วยว่า...แกกล้าดียังไงถึงได้ออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ตามถนนหนทางทำให้เด็กเล็กกลัวกันไปหมดอย่างนี้...!”
“ผมไม่มีทางตอบโต้อะไรผู้หญิงคนนั้นได้เลย เพราะมันเป็นความจริงอย่างที่เขาพูด ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปเดินตามถนนอีกต่อไป...นับแต่นั้นผมก็ได้แต่เก็บตัวเงียบ”
“ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณไม่เคยออกจากที่นี่ไปไหนเลยใช่ไหมคะ?”
“ไม่เลย เพราะมันทำไม่ได้ ผมถึงต้องสร้างใครอีกคนหนึ่งที่ชื่อไทเลอร์ เบนท์ขึ้นมาเพื่อให้เขาได้ดำเนินชีวิตแทนผมต่อไปอลิกซ์...ถ้าคุณได้เห็นความหวาดกลัวในแววตาของเด็กคนนั้น ผมว่าความรู้สึกของคุณคงไม่แตกต่างไปกว่าผมหรอก” เขายิ้มให้ฉัน...เป็นยิ้มมุมปากที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้า
“น่าดีใจที่คุณเพียงแค่ใช้จินตนาการเท่านั้น ก็ต้องถือว่าโชคดีอย่างมากแล้ว ที่คุณไม่เคยเห็นภาพอย่างนั้น”
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนเราถึงได้ใจร้ายกันได้ขนาดนั้น”
“ผมจะบอกให้นะอลิกซ์ใครก็ตามที่ได้เห็นผมเป็นครั้งแรก จะต้องแสดงปฏิกิริยาแบบเดียวกันหมดมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หรอก”
อีกครั้งหนึ่งที่คำพูดของเขาทำให้ฉันต้องหวนคิดไปถึงปฏิกิริยาของตัวเอง ตอนที่เห็นเขาเป็นครั้งแรกและอดนึกละอายใจไม่ได้เลย...