แก้วตา

89.0K · จบแล้ว
Readed
40
บท
595
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คฤหาสน์ของตระกูลครอมพ์ตัน ไม่ต่างไปกว่าปราสาท ประกอบด้วยปล่องไฟมหึมา หน้าต่างกระจกสี ประตูกำแพงเป็นเหล็กดัดลวดลายเถากุหลาบ แม่บ้านที่ออกมาต้อนรับ ไม่ได้แสดงความยินดียินร้ายในตัวเธอแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น ลีแลนด์ ครอมพ์ตัน ประมุขของบ้าน ยังถูกคุกคามด้วยโรคร้าย ที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตจนผิดรูปทรง มีศีรษะใหญ่โต ใบหน้าโหนกนูน มือเท้าใหญ่ผิดปกติ ต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่เขาคือนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค... สิ่งที่อเล็กซานดร้าหรืออลิกซ์ ได้พบก็คือ ภายใต้เรือนร่างอัปลักษณ์นั้น ลี ครอมพ์ตัน คือเจ้าชายผู้มีดวงจิตงดงามอย่างแท้จริง และแล้ว...ความรักก็บังเกิด...

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักเศรษฐีรักหวานๆดราม่าโรแมนติก

บทที่ 1

พ่อยื่นจดหมายที่ถืออยู่ในมือมาให้มือของพ่อสั่นระริกอันเป็นอาการที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่แม่ตายไปและทำให้กระดาษแผ่นนั้นพลอยสั่นไปด้วยราวใบไม้ที่สะท้านอยู่ด้วยแรงลมฉันเช็ดมือที่เปื้อนสีอยู่กับกางเกงยีนที่บัดนี้แทบจะกลายเป็นสีรุ้งไปแล้วก่อนจะรับจดหมายฉบับนั้นมากวาดสายตาอ่านข้อความสองย่อหน้าที่พิมพ์มาอย่างเรียบร้อย เป็นข้อความที่กะทัดรัดและตรงต่อประเด็นทีเดียว

“ลูกคิดว่ายังไง อลิกซ์?”

“หนูคิดว่าคนในตระกูลครอมพ์ตันตายไปหมดแล้วเสียอีก”

“ยังหรอก นี่คงจะต้องเป็นจดหมายจากลูกชายของคนที่ปู่ของลูกเคยเขียนรูปให้แน่” พ่อยักไหล่เบาๆ

“น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจจะปฏิบัติตามธรรมเนียมของตระกูล ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ...”

“อ้าว...ทำไมล่ะคะพ่อ?”

“อลิกซ์...ลูกก็รู้ว่าพ่อไม่ใช่ศิลปินที่เขียนภาพเหมือน”

ซึ่งเรื่องนั้นฉันเองก็รู้อยู่อัจฉริยะอันโดดเด่นที่สืบทอดมาตลอดเวลาสี่ร้อยปีได้คลายความเข้มและอ่อนเบาลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเพราะพลังแห่งตำนานประจำตระกูลแท้ๆที่เรายังพอใช้งานศิลปะสาขานี้เลี้ยงชีวิตให้รอดมาได้ เราเป็นศิลปินที่เขียนรูปขายเท่านั้นซึ่งแม้ว่าพ่อของฉันจะไม่ได้รับพรสวรรค์นี้มามากเท่าไรนักแต่ท่านก็สามารถหา เงินเลี้ยงชีพได้อย่างมีความสุขและฉันเองก็ซื่อสัตย์พอที่จะลงความเห็นตามท่านไปด้วยว่าแม้ว่าท่านจะสามารเขียนรูปหากินได้ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่า รูปธรรมดาๆ ที่วางขายกันอยู่ทั่วไป

“ถ้าอย่างนั้นพ่อจะทำยังไงล่ะคะ ตัดตอนธรรมเนียมประเพณีนี้เสียเลยอย่างนั้นหรือคะ?”

พ่อรับจดหมายกลับคืนไป กรีดเล็บรีดรอยพับอยู่

“พ่อคิดว่า...ลูกนั่นแหละไป...เพราะลูกเป็นศิลปินที่แท้จริงในครอบครัวเรา”

“ไม่ละค่ะ หนูทำไม่ได้หรอกค่ะพ่อเขาจ้างพ่อนะคะและยิ่งกว่านั้นบุคคลที่เขาต้องการตัวคืออเล็กซานเดอร์ มิลเลอร์ส์ต่างหาก”

“เขาเขียนจดหมายมาถึงอเล็กซานเดอร์ก็จริง แต่เขาจะต้องพอใจกับผลงานของอลิกซ์มากกว่า”

มันทำให้ฉันต้องนึกไปถึงครั้งแรกที่พ่อเห็นงานของฉันซึ่งไม่ใช่การเขียนรูปแบบที่ทำๆ กันอยู่แต่เป็นความพยายามที่จะเขียนภาพเหมือนของแม่ฉันแอบสเกตช์ด้วยสีถ่านอย่างเป็นความลับแอบเข้าไปในห้องศิลป์หลังจากโรงเรียนเลิกแล้วโดยไม่ยอมให้ใครเห็นรูปนั้นเลยฉันเขียนรูปแม่ในวัยสาวจากความทรงจำใบหน้าที่ไม่แสดงให้เห็นความเจ็บปวดและความร่วงโรยที่เกิดอยู่ในตอนนั้นเลย มันเป็นรูปที่เขียนขึ้นอย่างคนที่พยายามมองโลกในแง่ดี ด้วยความรู้สึกที่ราวกับว่าแม่ไม่เคยจากเราไปไหนเลย

พ่อถือรูปเล็กๆ แผ่นนั้นไว้และยืดออกไปสุดปลายแขน มือสั่นน้อยๆ ซึ่งทำให้ฉันเริ่มนึกรู้เป็นครั้งแรกว่า มันจะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไปในยามนั้นมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน ไม่อาจอ่านทั้งสีหน้าและแววตาของท่านออก มันทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากอยู่ ขณะรอฟังคำตัดสินจากท่านในที่สุดพ่อก็วางรูปนั้นลงส่ายหน้าไปมาอยู่ช้าๆ ...พระเจ้า...ฉันคิดอยู่ในใจ...นี่แสดงว่าพ่อจะต้องไม่ชอบรูปนี้เลย แต่แล้ว แววตาของท่านก็เปล่งประกายสดใสขึ้นมา พ่อรวบร่างฉันเข้าไปกอด...

“ลูกเอาเงินค่าจ้างนั่นไป” พ่อกล่าวย้ำ

“แต่พ่อก็รู้นี่คะ ว่าหนูไม่ชอบเขียนภาพเหมือน”

“ความชอบหรือไม่ชอบมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย...” พ่อสอดจดหมายฉบับนั้นกลับคืนเข้าในซอง ก่อนจะโยนลงรวมไว้ในกอง” เขาจ้างเราด้วยราคาแพงมาก”

เมื่อครั้งยังเด็ก พ่อไม่เคยเอ็ดตะโรใส่ฉันเลย แต่ทุกคำพูดของท่านจะมีความหมายเสมอ สามารถเรียกเราให้กลับเข้าแถวได้ และขณะนี้คำพูดของท่านยิ่งกว่าชัด

นับแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย ที่ฉันถูกปลดออกจากโรงเรียน ที่ฉันเป็นครูวาดเขียนอยู่ พ่อได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินมาโดยตลอด เมื่อฉันพยายามทำงานแบบศิลปินเต็มตัวให้จงได้ อันที่จริงมันก็มีการแลกเปลี่ยนกันอยู่ในเรื่องนี้ คือฉันรับทำงานและดูแลบ้านโดยพ่อเป็นผู้จ่ายค่าจ้าง

“คนที่เป็นศิลปินอาชีพ ไม่จำเป็นจะต้องทำงานแต่เฉพาะแบบที่ตนรักเสมอไป”

ใจจริงแล้ว ขณะนั้นฉันไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าได้นั่งลงทำงานต่อ กล่องสีที่เปิดค้างอยู่ ทั้งผ้าใบก็ขึงตึงอยู่บนขาตั้ง ขณะที่แสงภายในสตูดิโอเล็กๆ ที่ฉันใช้ร่วมกับพ่อตอนนั้นกำลังพอดีทีเดียว ฉันเอานิ้วแตะลงบนซองจดหมาย

“ก็ได้ค่ะ หนูไปทำแทนพ่อก็ได้ แต่ถึงยังไงหนูก็ว่าพ่อคิดผิดนะคะ หนูเชื่อว่าพ่อต้องเขียนภาพเหมือนได้แน่ๆ”

พ่อค้อมไหล่ มือทั้งสองทาบลงบนโต๊ะ

“กลับไปทำงานเถอะอลิกซ์ สีจะแห้งหมดแล้ว”

“แล้วผู้ชายคนนั้นเขาเป็นใครกันล่ะ?” มาร์กหยิบสเวตเตอร์ขนสัตว์ขึ้นมาสวม

“เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง แบบเดียวกับเมดิซี่นั่นแหละพร้อมที่จะให้การสนับสนุนงานของศิลปินทั้งหลาย” ฉันรวบผมเอาหวีสับไว้ รินน้ำลงในกา

“ฉันน่ะไม่ได้อยากทำอะไรพรรค์นั้นเลย แต่ที่ต้องทำเพราะพ่อทำไม่ได้” ฉันไม่อยากโต้แย้งอะไรกับมาร์คอีก แค่พ่อคนเดียวก็เกินพอแล้ว

“แล้วคุณจะต้องไปอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่?”

“ฉันหวังว่าเขาจะให้ฉันถ่ายรูปด้วยกล้องโพลารอยด์สักสองสามใบ แล้วก็เอากลับมานั่งทำงานที่บ้านนี่ แต่ถึงยังไงฉันก็คงจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยที่จะสัมภาษณ์เขาบ้าง เพื่อจะได้รู้จักเขาดีพอที่จะเก็บเป็นข้อมูล มาเขียนรูปสวยๆ ให้เขาได้ ฉันไม่ชอบเขียนรูปคนที่ฉันไม่รู้จัก”

“เพราะยังงี้ใช่ไหมล่ะ คุณถึงไม่ยอมเขียนรูปผม?”

“ใครบอกว่าฉันไม่เคยเขียน?” ฉันเถียงออกไปทันที ขณะเดียวกันก็เอื้อมไปหยิบถ้วยกาแฟลงมาจากชั้น “ก็คุณอยู่ในรูปไก่ที่ฉันเพิ่งขายไปไงล่ะ จำดวงตาตัวเองไม่ได้หรือ?”

เขายิ้มแหยๆ แล้วก็ตีหน้าบึ้งซึ่งรู้สึกจะเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันจะไม่อยู่หลายวันมากกว่าจะไม่พอใจคำพูด

มาร์กมีอาชีพเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ วัยสามสิบสอง มีความสามารถสูงพอที่จะหาเงินเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย ด้วยการรับเป็นช่างภาพอิสระ ให้กับหนังสือพิมพ์หลายฉบับในเมือง นิว แฮมเชอร์ของเรานี้ เขาเป็นคนรักงาน แต่เมื่อใดที่ดวงตก เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มบ่น อยากหางานที่มั่นคงถาวรทำ บางครั้งฉันเองก็เกือบจะถูกดูดเข้าไปในความคิดที่ว่า ความตั้งใจของฉันที่อยากจะเป็นจิตรกรผู้ประสบความสำเร็จ น่าจะควบคู่ไปได้กับการมีสามีและลูก แต่แล้วฉันก็ได้สติ ผู้หญิงจะเจริญรุ่งเรืองในงานศิลปะทีตนทำอยู่ได้อย่างไร ตราบใดที่ยังต้องคอยสนองความต้องการของบุคคลในครอบครัวอยู่...?

ฉันวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าเขา โน้มตัวเข้าไปจูบตรงหน้าผาก

“ฉันไปไม่นานหรอกน่า”

เขาไม่ตอบ พลิกหน้านิตยสารนิวยอร์ก ไทม์เล่มเก่า กำตรงมุมจนยับขณะเปิดดูไปตามหน้าต่างๆ

วันที่ฉันออกเดินทางเป็นวันกลางฤดูหนาว...ที่บรรยากาศเรืองใสราวประกายแก้วผลึก อากาศเย็นเฉียบจนรู้สึกเจ็บเมื่อหายใจเข้าไป ท้องฟ้าสีครามโปร่งใสและว่างเปล่าปราศจากเมฆหมอก โชคดีอย่างมากที่เครื่องยนต์ติดทันทีที่สตาร์ทครั้งแรก ฉันเข้าเกียร์หนึ่ง เปลือกน้ำแข็งที่ฉาบถนนโรยกรวดกระจายขึ้นจากใต้ยางล้อรถ เมื่อฉันถอยออกมาจากทางวิ่ง ฉันเห็นมาร์กที่ขับรถบรรทุกเล็กของเขาตรงเข้ามา เราจอดเทียบข้างกันบนถนนสายเปลี่ยวของเมืองชนบท

“อย่าไปนานนักนะ อลิกซ์”

“มันเป็นงานนะมาร์ก ฉันคงไปนานเท่าที่จำเป็นเท่านั้นละ”

“คุณเป็นคนวาดรูปช้าจะตาย”

“ก็เฉพาะเวลาฉันทำงานสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ว่านี่เป็นการเขียนรูปเหมือน ซึ่งมันก็แค่ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง”

“แล้วคุณจะไปพักที่ไหนล่ะ...เผื่อบางทีผมจะตามไป” ทุกคำพูดของเขาลอยเป็นควันออกมาระหว่างริมฝีปาก

“คงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันจะไปพักที่บ้านเขา”

“จำเป็นขนาดนั้นเชียวเรอะ?”

“มาร์ก ขอร้องเถอะ อย่าไปสนใจกับเรื่องนี้เลย เอาเป็นว่า ฉันจะกลับมาทันทีที่ทำได้ก็แล้วกัน” ฉันพยายามสะกดความขุ่นใจไว้มากที่สุดเมื่อส่งจูบให้เขา แต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะรับจูบนั้นจากฉันเลย…