บทที่ 2
ลีแลนด์ ครอมพ์ตัน พำนักอยู่ตรงปลายเหนือสุดของรัฐ เลยสวนพฤกษชาติใน เดอะ ไว้ท์ เมาเท่น ไปอีก ดังนั้น จากเมืองที่ฉันอยู่ทางตอนใต้ มันหมายถึงการที่จะต้องขับรถไปตามเส้นทางหลวงอย่างน้อยสองชั่วโมงกับอีกหนึ่งชั่วโมงหรือกว่านั้น ตามเส้นทางสายที่สอง
“ตอนที่ปู่ของลูกเขียนรูปให้วอลเตอร์ ครอมพ์ตันนั่นน่ะ พวกเขาอยู่กันในบอสตัน” พ่อบอกขณะพิจารณาแผนที่ฝานแว่นแบบตัดครึ่ง “คือที่เบค่อน ฮิลล์...พ่อยังเคยแวะที่บ้านนั้นตอนออกจากเมืองเลย”
“แต่โรส์ โบโร่ นี่มันไกลกว่าเบค่อน ฮิลล์มากนะคะพ่อ” ฉันเก็บแผนที่พับใส่กระเป๋าถือไว้ ไม่เป็นไร...เดี๋ยวก็หาพบ
ฉันไม่ถึงกับจะรำคาญใจ เมื่อพ่อเตือนให้ฉันเติมน้ำมันให้เต็มถัง เช็คยางทั้งสี่ล้อให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทางถึงสองครั้ง ฉันรู้ว่านั่นคือความรักความห่วงใยของคนที่เป็นพ่อแม่
เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันหุบปากสนิทไม่ได้โต้แย้งออกไปว่า
“แหม...พ่อขา...หนูอายุตั้งสามสิบหกแล้วนะคะ” และฉันก็ไม่ได้ประชดออกไปด้วยว่า” งั้นพ่อก็ไปเสียเองสิ”
สิ่งที่ฉันทำคือโผเข้าไปกอดพ่อไว้
“ไม่ต้องห่วงเลยนะคะ รับรองว่าหนูจะเรียบร้อยสบายดีทุกประการ”
เช้าวันนี้ฉันรู้สึกใจคออ่อนไหวอย่างไรบอกไม่ถูก เราเดินออกไปที่รถด้วยกัน พ่อต้องเกาะฉันไว้ตอนที่เดินตัดสนามหญ้าเล็กๆ ที่ปกคลุมอยู่ด้วยหิมะ ราวเกรงว่าจะลื่นล้มลง เมื่อฉันกอดลาท่านอีกครั้ง พ่อก็จูบฉันอย่างรักใคร่ ขณะเดียวกันสัญญาณอันตรายก็กริ่งเตือนขึ้นมาเบาๆ
“พ่อคะ นี่พ่อสบายดีหรือเปล่า?”
“พ่อสบายดีมากเลยละ อลิกซ์ แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อยเท่านั้น”
ก่อนที่ฉันจะถอยรถออกจากตรงนั้น ฉันยังคงนั่งจับตามองพ่อที่เดินช้าๆ กลับขึ้นไปยังระเบียงบ้านด้านหน้า ถามตัวเองอยู่ว่า...นี่พ่ออ่อนกำลังลงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...?เพียงแค่ข้ามคืนเดียว พ่อเปลี่ยนจากผู้ชายวัยกลางคนที่แคล่วคล่องว่องไว กลายเป็นคนแก่ไปถนัดตา...ฉันรู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้กล่าวคำพูดประชดประเทียดพ่อออกไปตอนนั้น
แสงอาทิตย์สะท้อนวาบอยู่กับหิมะที่โรยละอองลงมาไม่ขาดสาย ก่อนจะถึงวอเตอร์วิลล์ ซึ่งเป็นที่หมายครึ่งทางของฉัน การจราจรหนาแน่นมาก ฉันอนุญาตให้ตัวเองหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันเร็วๆ พร้อมกับหยิบแผนที่ซึ่งลีแลนด์ ครอมพ์ตัน ได้ส่งมาให้พร้อมคำอธิบายออกมาอ่านและพิจารณาเส้นทางอีกครั้ง เส้นทางที่แน่ชัดถูกเขียนทับไว้ด้วยหมึกสีน้ำเงิน
ขณะนี้ฉันลงจากเส้นทางหลวงแล้ว กำลังเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางที่วิ่งย้อนเข้าไปในระหว่างอ้อมอกของภูเขาสองลูก ฉันหักพวงมาลัยแซนทร้าเข้าข้างทาง หยิบแผนที่ขึ้นมาดูในท่ามกลางแสงสว่างที่หม่นมัวลง
ในแถบถิ่นนี้ดูเหมือนตะวันจะชิงพลบเร็วกว่าที่อื่นๆ ทั้งนี้เพราะมีภูเขาสูงตระหง่าน เป็นตัวบดบังแสงอาทิตย์ในยามบ่ายไว้นั่นเอง
ขณะนี้กลุ่มเมฆเริ่มเคลื่อนเข้ามาลอยเรี่ยอยู่เหนือยอดเขา บางกลุ่มก็ลดต่ำลงมาบรรจบกับกลุ่มหมอกที่ลอยตัวขึ้นปกคลุมอยู่ระหว่างยอดสน ความหม่นมัวของแสงทำให้ฉันต้องเปิดไฟในรถขึ้น แล้วก็ก้าวลงจากรถกอบหิมะขึ้นมาเช็ดไฟหน้า เสร็จสรรพก็บิดตัวสูดอากาศเย็นเยือกในบริเวณภูเขาเข้าไว้ สายลมอ่อนทำให้เส้นผมทางด้านหลังปลิวไสว ทั้งยังช่วยกระชับปกเสื้อให้ปิดเข้าหากัน
เพียงครู่ บริเวณนั้นก็ปกคลุมด้วยความมืด แสงสีน้ำเงินเข้มแทรกซึมเข้าไปในหัวใจฉัน ในบริเวณนี้และขณะนี้ไม่มีแสงสว่างอื่นใดอีก นอกจากแสงไฟหน้ารถของฉันเท่านั้น ฉันสามารถผสมสีเฉดน้ำเงิน-ดำ ให้เหมือนกับบรรยากาศในขณะนี้ โดยไม่ต้องอำพรางความหนาแน่น หรือสูญเสียความลุ่มลึกได้หรือไม่...?ฉันจะสามารถวาดภาพเหมือนของคนแปลกหน้าได้ไหมหนอ...?ฉันรู้สึกเหน็บหนาวจนขนลุก ต้องรีบกลับเข้าไปในรถ หิมะที่ถมทับกันอยู่ตรงขอบถนน มองดูคล้ายไข่มุกเมื่อต้องแสงไฟหน้ารถ
เมื่อขับไปตามเส้นทางเลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ทันใดฉันก็เห็นแสงไฟวามแวมอยู่ไกลๆ ประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่เปิดกว้าง มีแท่งเหล็กแหลมเสียบอยู่เป็นระยะๆ ฉันรีบก้มลงตรวจแผนที่ในมืออีกครั้ง ใช่แล้ว...ที่นี่ละคือจุดสังเกตอันสำคัญ ฉันเลี้ยวรถเข้าไปตามทางวิ่งซึ่งมีระยะทางประมาณหนึ่งไมล์ อันเป็นเส้นทางที่ลัดเลี้ยวขึ้นไปตามเนินเขาระหว่างป่าสน
ทางวิ่งนั้นอ้อมเลี้ยวเป็นวงกลม เลยลึกเข้าไปตรงหน้าคฤหาสน์ที่สร้างขึ้นด้วยศิลา มีหลังคาที่ประกอบด้วยอกไก่เอียงลาด ฉันสามารถมองเห็นปีกที่แผ่กางออกมาทางด้านข้างของตัวคฤหาสน์ทั้งสองด้าน ปล่องไฟขนาดมหึมาที่สูงเด่นอยู่ตรงกลาง มีม่านควันบางเบาลอยเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่วนหน้าของตัวบ้านมีหน้าต่างที่ประกอบด้วยลูกกรงหินรายเรียงอยู่สิบสองช่อง แต่มีเพียงสองช่องของชั้นล่างเท่านั้นที่มีแสงไฟส่องสว่างออกมา
ทันใด ประตูหน้าบ้านก็เปิดออก พร้อมกับร่างของผู้หญิงวัยสูงอายุคนหนึ่ง มือไม้บิดไปมาขณะนางเดินแกมวิ่งเข้ามาที่รถ
“เชิญค่ะ...เชิญ...ไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวของนะคะ เดี๋ยววิลลี่จะมาช่วยจัดการให้เอง”
ภายหลังจากที่ต้องผจญกับความเงียบมานาน คำทักทายที่พรั่งพรูของนาง ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกโจมตี...!
“คุณคงจะไม่...” นางหยุดชะงักเมื่อเห็นฉันเข้า” ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าคุณเป็นช่างวาดรูปคนนั้น...คุณมีธุระอะไรที่นี่คะ?”
“ฉันนี่แหละค่ะ ช่างวาดรูปที่คุณว่า”
สีหน้าของนางในยามนี้บอกความไม่อยากเชื่อ นางถอยห่างจากรถเพื่อเปิดทางให้ฉันก้าวลง
“เดี๋ยววิลลี่จะมาเอารถคุณเข้าโรงเองค่ะ” นางออกเสียงคำว่า” การาข” (Garage-โรงรถ) ด้วยสำเนียงอังกฤษชัดเจน ซึ่งไพเราะกว่าสำเนียงนิว แฮมเชอร์ที่ฉันคุ้นเคย
ฉันยื่นกุญแจรถให้วิลลี่โดยอัตโนมัติ เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคน หลังงองุ้ม ที่ไม่ได้พูดจาอะไรเลย เพียงแค่ผงกศีรษะหงึกหงัก แถมยังไม่ยอมมองหน้าฉันอีกด้วย
ตอนที่ฉันปิดท้ายรถลง ฉันได้เหลือบตามองขึ้นไปชั้นบนของตัวบ้าน และทันเห็นผ้าม่านตรงหน้าต่างบานหนึ่งที่มืดสนิทส่ายไหว...
มิสซิสกรีฟ เดินนำฉันเข้าไปในบ้าน นางคว้าแขนข้างซ้ายของฉันไว้เหมือนนกพิราบที่กำลังฉกเศษขนมปัง...!
“เราไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นคุณ...แล้วนี่คุณเป็นใครกันล่ะ?” มือไม้ของนางอ่อนนุ่ม เส้นสายลายมือเรียบราวเส้นที่ขีดไว้ชัดเจนบนแผ่นกระดาษ
“ฉันชื่ออลิกซ์ มิลเลอร์ส์ค่ะ บังเอิญพ่อฉันมาทำงานนี้เองไม่ได้ ก็เลยให้ฉันมาแทน” ขณะพูดฉันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันมาที่นี่เพื่อมาเขียนรูปมิสเตอร์ครอมพ์ตันยังไงคะ” ฉันขยับดึงมือออกแต่นางกลับจับมือฉันไว้แน่น
“แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกให้เรารู้เสียก่อนล่ะคะว่าคุณจะมาแทน?” มือของนางบีบกระชับแน่นเข้า
“ฉันไม่เห็นจะเป็นเรื่องสำคัญตรงไหนเลยนี่คะ” ฉันตอบออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันสำคัญอะไรนักหนา
“ฉันก็คือมิลเลอร์ส์คนหนึ่ง แล้วก็เป็นศิลปินด้วย”
“แต่คุณสวยเกินไป” มิสซิสกรีฟปล่อยมือจากการเกาะกุม
“ยังไม่แต่งงานใช่ไหมคะนี่?”
คงจะเป็นเพราะความแปลกใจที่นางถามออกมาตรงๆ เช่นนั้น ฉันจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
หลังจากนั้น ฉันก็เดินตามมิสซิสกรีฟขึ้นบันไดยาวเหยียดตรงไปยังห้องที่นางจัดไว้ให้ ราวบันไดที่กลึงจากไม้มะฮอกกานีวาดโค้งช้าๆ ขึ้นไปยังห้องแกลเลอรี่ ฉันไล้ปลายนิ้วไปพลาง ขณะเดียวกันก็ชื่นชมในความอบอุ่นและความเรียบลื่นที่ไม่ได้ขาดตอนตลอดความยาวนั้นเลย ทั้งยังไม่พบรอยต่อตรงส่วนใดอีกต่างหาก คล้ายกับว่าราวบันไดที่ยาวเหยียดนั้น กลึงมาจากไม้ท่อนใหญ่ท่อนเดียวกันเช่นนั้น