บทที่ 3
ตลอดสองฟากฝั่งของห้องแกลเลอรี่ มีภาพเหมือนของบุคคลในตระกูลครอมพ์ตันแขวนประดับไว้เป็นระยะๆ ทั้งความตื่นเต้นความภาคภูมิใจที่ได้มาเห็นงานฝีมือของบรรพบุรุษในตระกูลขึ้นมาอัดแน่นอยู่ในอก ใจจริงแล้วฉันอยากจะหยุดเพื่อชื่นชมงานแต่ละชิ้นนั้น แต่ฝีเท้าที่ค่อนข้างเร็วของมิสซิสกรีฟทำให้ฉันไม่อาจเถลไถลได้
“ที่นี่รับประทานอาหารค่ำตอนสองทุ่มตรง” มิสซิสกรีฟบอก ขณะเปิดประตูห้องที่จัดเตรียมไว้ให้พอฉันก้าวเข้าไปในห้องนั้นนางก็รีบปิดประตูตามหลังลงอย่างแรง
ฉันได้พบว่าทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า ผ้าใบและกล่องสี ได้ขึ้นมาอยู่บนห้องเรียบร้อยแล้วราวปาฏิหาริย์ มันเป็นห้องที่ใหญ่โตกว้างขวางมาก หน้าต่างบานคู่เต็มผนังด้านหนึ่ง เตียงนอนขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าสีน้ำเงินตั้งอยู่ทางด้านปีกซ้าย โต๊ะเครื่องแป้งที่ประกอบด้วยกระจกเงาบานใหญ่ตั้งอยู่ฟากตรงข้าม แผ่นภาพแกะสลักฝีมือล้ำเลิศสองภาพ ดูจะเป็นเครื่องประดับตกแต่งเพียงอย่างเดียวภายในห้องนี้พื้นห้องปูไว้ด้วยพรมสั้น ซึ่งมีทั้งสีน้ำเงินและสีแดงมารูนผนังห้องเป็นสีฟ้าอ่อน
ทั้งหมดนี้ คือการตกแต่งห้องสำหรับผู้ชายโดยแท้ ทั้งยังมีกลิ่นไม้สนซีดาร์กรุ่นอยู่ด้วยจากที่ใดที่หนึ่งภายในบ้านหลังนี้ ฉันแว่วเสียงเพลงคลาสสิก แต่เพียงครู่ก็เงียบหาย และหลังจากนั้นแล้วฉันก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
ฉันยังมีเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่จะจัดเสื้อผ้าและชำระล้างร่างกาย อาหารค่ำเวลาสองทุ่มตรง และฉันก็มีชุดดีที่สุดติดตัวมาเพียงแค่ชุดเดียว ซึ่งฉันหวังว่าการรับประทานอาหารค่ำที่นี่น่าจะต้องมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แต่เจ้าภาพคงจะไม่รังเกียจ ถ้าจะต้องเห็นฉันแต่งตัวด้วยชุดซ้ำๆ สักสองสามวัน
ฉันปัดแก้มแต่เพียงบางเบา แล้วก็จ้องมองดูดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนของตัวเองอยู่ สัมผัสความเครียดที่พยายามเน้นขอบตาด้วยอายไลน์เนอร์ อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าเขาเป็นเช่นเดียวกับบ้านหลังนี้ เจ้าภาพของฉันจะต้องเป็นบุรุษผู้มีความสง่างามอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ฉันพยายามที่จะไม่วาดภาพของลีแลนด์ ครอมพ์ตัน เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว ฉันไม่มีความรู้เลยว่าเขาอายุเท่าไร...จะสี่สิบหรือหกสิบ...จะเป็นคนดีมีอัธยาศัยหรือเคร่งขรึม พูดน้อย ซึ่งความไม่รู้นี้ทำให้ฉันอดนึกเคืองพ่อไม่ได้ ที่ทำให้ฉันต้องมาตกอยู่ในสถานะเช่นนี้อย่างช่วยไม่ได้ ถ้าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในบอสตันหรือนิวบูรี่พอร์ท ซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างทันสมัยในยุคกลางมันยังจะง่ายเสียกว่า แต่คฤหาสน์อังกฤษที่มาตั้งอยู่ในเมืองชนบทแวดล้อมด้วยป่าเขาลำเนาไพร ห่างไกลจากผู้คนเป็นไมล์ๆ เช่นนี้ มันทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างไรพิกล แถมยังมีมิสซิส กรีฟ แม่บ้านผู้ชาเย็นและยังวิลลี่ผู้เงียบงันซึ่งทั้งสองคนนี้ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกคลายใจขึ้นได้เลย
ฉันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตอนทุ่มครึ่งพอดี มีเสียงเคาะดังขึ้นตรงหน้าประตูก่อนที่มิสซิสกรีฟจะเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบอกว่า
“มิสเตอร์ครอมพ์ตันต้องขออภัยคุณอย่างมากเลยค่ะ วันนี้ท่านไม่ค่อยสบายก็เลยไม่สามารถลงมาร่วมทานอาหารกับคุณได้”
ความรู้สึกโล่งใจที่เกิดขึ้นในยามนี้ราวจะอำพรางความผิดหวังไว้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ฉันบอกกับตัวเองว่า...บางที การได้พบกับเจ้าของบ้านผู้มีอุปการคุณต่อตระกูลของเราในตอนกลางวันน่าจะดีกว่า
แสงจันทร์สาดสว่างเข้ามาในห้องนอน อาบไล้ทุกสิ่งให้เปลี่ยนเป็นสีเงินยวง แสงจันทร์ปลุกให้ฉันตื่นและลุกขึ้นไปรูดม่านปิด
ในช่วงเวลานั้น ฉันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่กั้นด้วยลูกกรงหิน ทอดสายตามองออกไปยังเทือกเขาที่โอบล้อม ซึ่งดูราวกับฉากสีดำที่ตัดอยู่กับแสงนวลอร่ามของดวงจันทร์ ที่อาบพื้นลานหญ้าเบื้องล่าง...
และในตอนนั้นเอง ที่ฉันได้เห็นอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่...เป็นความเคลื่อนไหวคล้ายเงาที่วูบวาบก่อนจะหายไป ซึ่งฉันไม่อาจบอกได้ ว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นั้นเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของตนเอง
“วันนี้ มิสเตอร์ครอมพ์ตันก็ยังจะไม่ลงมาหรอกนะคะแต่สั่งมาว่าขอให้คุณทำตัวตามสบายที่สุด ขอให้ถือเสมือนว่าบ้านหลังนี้เป็นของคุณเองก็แล้วกัน ถ้าคุณอยากจะเดินชมบริเวณก็เชิญได้นะคะมีเส้นทางที่ไม่อันตรายอะไรเลย”
มิสซิสกรีฟกล่าว ขณะเก็บจานอาหารเช้าของฉันอยู่ ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าหล่อนจะห้ามไม่ให้ฉันล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณบ้านส่วนใดส่วนหนึ่งเสียอีก
“ถ้าเขายังไม่สบายอยู่ ฉันมาใหม่วันหลังก็ได้นะคะ”
ฉันวางถ้วยกาแฟลงในจานรอง รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นมาบ้าง เหมือนเด็กนักเรียนที่หวังจะได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด
“อย่าเลยค่ะ” มิสซิสกรีฟถอนหายใจ
“ท่านอยากให้คุณอยู่ก่อน”
ในจินตนาการของฉันยามนี้ ฉันมองเห็นภาพบุคคลทุพพลภาพ มองเห็นภาพตัวเองที่ตั้งขาตั้งขึงผืนผ้าใบ อยู่ภายในห้องที่มีแสงเพียงสลัวลางเพราะเป็นห้องคนป่วย ภาพพ่อเฒ่านิสัยประหลาที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ล้อเลื่อนกำลังจ้องมองมาทางฉันด้วยสายตาดุดัน ร่างกายท่อนล่างมีผ้าขนสัตว์คลุมไว้เห็นเพียงหัวรองเท้าแตะที่ยื่นออกมา
ฉันสลัดภาพต่างๆ เหล่านั้นออกเสียจากสมอง เมื่อผงกศีรษะอย่างยอมรับในคำพูดของมิสซิสกรีฟ
“ก็ได้ค่ะ ฉันอยู่ต่อไปก่อนก็ได้”
ทัศนียภาพของบริเวณโดยรอบภายใต้แสงตะวันยามเช้าช่างสวยงามจับตาฉันคันมือคันไม้ยิบๆ อยากจะหยิบกระดาษดินสอขึ้นมาสเก็ตช์ไว้ ฉันชอบที่จะใช้แนวความคิดตามธรรมชาติ แล้วนำมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นรูปร่าง สีสัน เพิ่มความเข้มหรือทำให้บางเบาลง ซึ่งบ่อยครั้งที่ใครหลายคนแสดงความชื่นชมผลงานของฉันว่า เป็นภาพที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจดี เช่นเมื่อภาพที่ร่างขึ้นในตอนแรกสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์แบบ เทือกเขาที่เห็นอยู่ตรงหน้า อาจจะเหลือเพียงรูปเงาก็จริง แต่ทั้งความเป็นตัวตนและจิตวิญญาณของมันจะคงอยู่อย่างแน่นอน
ดังนั้น ฉันจึงเอาสมุดเล่มเล็กติดตัวไปด้วยไม่ลืมที่จะห่อร่างให้อบอุ่นเข้าไว้เพื่อต่อสู้กับอากาศที่หนาวเย็น ก่อนที่จะออกจากบ้านทางประตูหลัง
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อล่วงพ้นประตูออกไปก็คือ โรงรถขนาดใหญ่รถคันของฉันจอดแอบอยู่ตรงกลางระหว่างรถสเตชั่นแว้กก้อนกับรถสปอร์ตคันหนึ่งที่มีผ้าใบคลุมอยู่เรียบร้อย ฉันหยิบถุงมือหนาๆ ออกมาจากช่องใส่ของหน้ารถ หลังจากนั้นจึงได้เริ่มออกเดินทาง
ฉันสังเกตเห็นรอยเท้าบนหิมะ เป็นรอยเท้าที่ค่อนข้างใหญ่และที่เคียงข้างอยู่คือรอยเท้าสุนัข ซึ่งรอยเท้าทั้งของคนและสุนัขพัวพันกันอยู่ไปมาคล้ายกับเจ้าสุนัขตัวนั้นวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ระหว่างเส้นทาง เพื่อคอยดูแลบุคคลผู้เป็นเจ้านายของมัน ขณะเดินลงไปตามแนวลาของเนินเขาสู่ป่าโปร่ง หลังจากนั้นรอยเท้าทั้งสองก็แยกห่างจากกันและเลือนหายไปใต้ป่าสน ที่ขณะนี้ทุกกิ่งก้านของมันมีหิมะจับอยู่ขาวโพลนฉันยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับคอยมองสิ่งที่จะใช้เป็นเครื่องสังเกตไปด้วย
ฉันคงจะมาถึงเนินเขาอีกลูกหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองต้องใช้กำลังขาดึงร่างให้สูงขึ้นไป...สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ลมหายใจเป็นไอชื้นอยู่กับผ้าที่ใช้ทั้งพันคอและปกปิดส่วนล่างของใบหน้า
แต่ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นขนาดนั้น ฉันก็ยังรู้สึกร้อนจนต้องรูดซิปเสื้อคลุมลง ให้อากาศบริสุทธิ์เย็นชื่นสัมผัสเนื้อตัวฉันถอดหมวกสยายผมให้กระจายออก เสียงสนส่ายใบไหวกระซิบกระซาบอยู่เหนือหัว มันต่างโน้มกิ่งเข้าหากันราวจะเตือนอีกฝ่ายหนึ่งให้รับรู้ว่า ขณะนี้กำลังมีใครบางคนได้บุกรุกเข้ามาถึงในอาณาจักรของมันแล้ว
เมื่อขึ้นมาถึงชะง่อนผาที่ยื่นออกไปจากบริเวณป่าสนที่สามารถมองลงไปเห็นวิวหุบเขาที่ต่ำลงไปทางเบื้องล่างได้ ฉันก็หยิบสมุดออกมาและลงมือสเก็ตช์ภาพไว้
ฉันสเก็ตช์ภาพในแง่มุมต่างๆ จนนิ้วชา แทบจะเป็นเหน็บชาไปทั้งตัวจึงได้สังเกตเห็นว่าขณะนี้แสงได้เปลี่ยนไปแล้ว และตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ตัวเองออกจากบ้านมานานหลายชั่วโมงทีเดียว รู้สึกใจคอไม่ใคร่ดีเมื่อไม่เห็นต้นไม้ที่ตั้งใจใช้เป็นจุดสังเกต ชักสงสัยว่าตัวเองเดินมาเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะสังเกตอะไรไว้เลยนานเท่าไรแล้ว...
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ รอยเท้าของตัวเองตามทางเดินได้เลือนหายไปหมดสิ้นด้วยแรงลมที่พัดพาเอาปุยหิมะจากกิ่งสนตกลงมาปกคลุม
“เดือดร้อนแล้วไหมล่ะ...”
ฉันพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองก่อนจะดุ่มเดินลงเนินไปเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อที่ว่าการลงจากเนินเช่นนี้ย่อมจะต้องลงไปถึงถนนเบื้องล่างได้ในที่สุด
ขณะนี้ฉันทั้งหิวทั้งหนาว มองเห็นความเบาปัญญาของตัวเองได้อย่างชัดเจนทีเดียวทั้งเริ่มเกิดมีคำถามขึ้นในใจว่า...นี่ฉันจะต้องเดินไปอีกนานสักเท่าไร กว่าที่จะมีใครสักคนออกมาให้ความช่วยเหลือ...?