บท
ตั้งค่า

บทที่4

ยิ่งเวลาผ่านไปความรู้สึกหงุดหงิดโกรธตัวเองก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความกลัว...ทั้งนี้เพราะไม่ว่าจะเดินต่อไปอีกไกลสักแค่ไหนก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่จะใช้เป็นเครื่องสังเกตได้อีกต่อไป และในฤดูหนาวเช่นนี้ตะวันจะรอนแสงลงรวดเร็วมาก ซึ่งฉันรู้ว่าถึงแม้ฉันจะพอมองเห็นรอยทางเดินได้แต่ความมืดที่คลี่คลุมลงช่วงตะวันชิงพลบเช่นนี้ก็ทำให้มองไม่เห็นอยู่ดี

ฉันจึงเริ่มออกวิ่ง ปุยหิมะหยาบหยุ่นที่ทับถมกันขึ้นมาท่วมถึงครึ่งน่องก็คอยแต่จะฉุดรั้งไว้ราววังวนกลางทะเลที่คอยแต่จะดึงดูดร่างลง เรื่องราวเกี่ยวกับนักปีนเขาที่หลงทางผุดขึ้นมาในสมอง พร้อมๆ กันมากมาย เหมือนหมาป่าที่วิ่งไล่กวดไล่ขย้ำ ฉันต้องพยายามต่อสู้กับความรู้สึกตื่นกลัวอย่างสุดความสามารถ

แต่แล้วฉันก็สะดุดเข้ากับรากไม้ที่จมลึกอยู่ใต้หิมะ ซึ่งทำให้ถึงกับหน้าคะมำไม่อาจยั้งได้ทันร่างกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามแนวเนินจนปะทะเข้ากับเฟอร์ใหญ่ต้นหนึ่งจึงได้หยุดลงได้ ฉันทั้งงุนงงตกใจและตื่นกลัวได้แต่นอนหอบหายใจอยู่ตรงนั้นหูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นมือที่สวมถุงหนาๆ ยื่นมาตรงหน้า

“คุณไม่เป็นไรมากใช่ไหม?” เสียงทุ้มลุ่มลึกเอ่ยถามขึ้น

“เจ็บตรงไหนหรอเปล่า...?” น้ำเสียงนั้นช่างห้าวลึกเสียเหลือเกิน จนคล้ายกับฉันกำลังได้ยินเสียงที่สะท้อนก้องๆ อย่างไรบอกไม่ถูก

“ไม่...เอ้อ...ก็คงนิดหน่อย...คิดว่าไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ” ฉันรับมือที่ยื่นมาให้พร้อมกับดึงตัวขึ้นยืน

แล้วฉันก็ได้เห็นใบหน้าที่แปลกรูปแปลกร่างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต...ต่อให้บุคคลประสบอุบัติเหตุอย่างน่าสยดสยองที่สุด ก็ยังไม่อาจทำให้ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ได้ ความพิการทางร่างกายที่เป็นมาแต่กำเนิดเท่านั้น จึงจะทำให้ใบหน้าผิดรูปมากมายได้ คิ้วเข้มเป็นกรอบอยู่เหนือดวงตาที่ลึกลงไปในเบ้า โหนกแก้มทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ซึ่งทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยว สันกรามไม่สมส่วนกับโครงหน้า ศีรษะที่ไม่ได้สวมหมวกใหญ่โตกว่าคนทั่วไปมาก มองดูคล้ายถุงกระดาษใบใหญ่ๆ ที่พวกเด็กๆ ชอบเอาไปเขียนหน้าตาบิดๆ เบี้ยวๆ แล้วก็เอามาสวมหัวเล่นไม่มีผิด จมูกของเขาค่อนข้างใหญ่ ส่วนใบหูที่อยู่ใต้เรือนผมหนาสีน้ำตาลแกมเทานั้นแทบไม่ต่างจากจานรองถ้วย มันคล้ายกับหุ่นไล่กาที่กลายร่างมาเป็นคนเช่นนั้น ฉันคงแสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา เขาจึงปล่อยมือลง...

“บ้านอยู่ตรงข้างหน้าเลยป่าสนไปหน่อย...ไม่เกินร้อยหลา” พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงเท่าไรนัก ขณะเดียวกันสุนัขตัวใหญ่ก็กระโจนออกมาจากราวป่า วิ่งตามเขาไปติดๆ ฉันรู้สึกอับอายกับความไร้มารยาทของตัวเองอย่างที่สุด จึงร้องตามหลังเขาไปว่า

“ขอบคุณมากนะคะ”

เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นโบกรับโดยไม่ได้หันหน้ามามอง ราวกับเขาไม่หวังที่จะเห็นฉันแสดงความรู้สึกต่อเขาดีขึ้นกว่าในตอนแรก

เมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว มิสซิสกรีฟก็โบกไม้โบกมือวุ่นวาย ตำหนิความเขลาของฉันที่ทำให้ตัวเองหลงทางได้ถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าฉันก็เป็นนักผจญภัยคนหนึ่ง

“เพราะมัวแต่ไปหลงทางอยู่เลยทำให้เสียเวลาไปตั้งมาก...” ฉันตบกระเป๋าเสื้อและกางเกง

“ตายแล้ว...!”

“อะไรหรือคะ?”

“ฉันทำสมุดโน้ตหาย”

“ก็เลยไม่มีอะไรมาแสดงเหตุผลหรือคำอธิบายว่าเพราะอะไรถึงได้หลงทางสินะคะ”

“เห็นจะไม่มีแล้วละค่ะ” ฉันตอบเสียงอ่อย

“มิสเตอร์ลีบอกว่าค่ำวันนี้เขาจะลงมาร่วมทานอาหารด้วยนะคะฉันว่าคุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ได้แล้วละค่ะเดี๋ยวฉันจะเอาน้ำชาตามขึ้นไปให้”

“มิสเตอร์ลี...ใครกันคะ?” ที่ถามเพราะฉันรู้จักแต่มิสเตอร์ครอมพ์ตัน

“อ๋อ ก็มิสเตอร์ครอมพ์ตันนั่นแหละค่ะฉันเรียกท่านว่ามิสเตอร์ลีมาตั้งแต่ตอนที่ท่านอายุสิบสี่แล้วละค่ะ” มิสซิสกรีฟวางถาดน้ำชาลงบนเคาน์เตอร์

“เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”

มิสซิสกรีฟเดินไปหยุดอยู่ตรงอ่าง เปิดก๊อกน้ำร้อนอยู่ ใบหน้าของนางสะท้อนอยูในกระจกหน้าต่างที่มืดดำ ทำให้ฉันเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่น ขณะนางใช้ความคิดเลือกสรรคำตอบอยู่

“คุณอยากรู้ว่ารูปร่างหน้าตาท่านเป็นยังไงหรือเขาคล้ายใครยังงั้นใช่ไหมคะ?”

“ฉันอยากรู้จักนิสัยใจคอเขามากกว่าค่ะ เพราะเรื่องรูปร่างหน้าตาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ฉันก็คงจะได้เห็นแล้ว”

ฉันอดคิดไปถึงการเผชิญหน้ากับใครบางคนในป่าโปร่งที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ใหญ่ไม่ได้ มันมีอะไรบางอย่างในความบังเอิญนั้น ที่คล้ายจะหลอกหลอนฉันอยู่

“มิสเตอร์ลีเป็นคนดีเหลือเกินฉันคิดว่าการใช้คำนี้อธิบายถึงเขาคงไม่ผิดหรอก ท่านไม่เคยแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกออกมาให้ใครเห็นเลยเป็นคนรักสงบไม่ช่างพูดหรอกค่ะ”

“แล้วเขาทำมาหากินอะไรล่ะคะที่ถามนี่ไม่ช่อะไรหรอกนะคะ ฉันอยากรู้จักคนที่จะเป็นแบบก่อนที่จะเขียนรูปเขาเท่านั้น และฉันก็ไม่อยากรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้จากปากของเขาเองด้วยผู้ที่แวดล้อมหรือคนใกล้ชิด มักให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าเสมอ”

“ท่านเขียนหนังสือนะคะ...ก็เขียนนิยาย...แต่งเรื่องราวต่างๆ อะไรทำนองนั้นละค่ะ ซึ่งท่านสามารถทำได้ดีทีเดียวฉันคิดว่าท่านเขียนหนังสือเพื่อความสนุก แล้วก็ขายได้เงินมาพร้อมๆ กัน แต่บอกตามตรงว่าในชีวิตนี้ท่านไม่จำเป็นต้องหาเงินสักเพนนี ก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายแล้วละค่ะ” นางไหวไหล่เบาๆ ราวจะบอกว่า สิ่งที่นางพูดอยู่นั้นมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งความเป็นจริงในชีวิตของเจ้านาย

“ไปอาบน้ำเตรียมตัวได้แล้วค่ะ”

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนฉันอดแวะเวียนชมภาพเหมือนของบุคคลในตระกูลครอมพ์ตันที่รายเรียงอยู่บนผนังไม่ได้ มันเป็นความชื่นชมยินดีแบบเด็กๆ ที่ได้เห็นชื่อที่จารึกอยู่บนแผ่นทองเหลืองเล็กๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อบรรพบุรุษในตระกูล อาทิ อัลเฟร็ด มิลเลอร์ 1723, อีซีเกียล ในปี 1752,อีซีเกียลคนที่ 2 ในปี 1767 เป็นต้น

บุคคลในตระกูลครอมพ์ตัน ซึ่งอยู่ในศตวรรษที่สิบแปดล้วนแล้วแต่นั่งในท่าเดียวกัน เสื้อผ้ามีสีสันออกทางเข้ม อาทิ น้ำเงิน น้ำตาลและบางคนก็ใช้สีครีมฉันชอบงานของอีซีเกียล เพราะเขาจะให้สีที่มีความลึกมากกว่าคนอื่นๆ จะเห็นได้ชัดว่าสไตล์การเขียนรูปของเขามีอิทธิพลของการวาดภาพแบบดัชท์อย่างสูง

ผลงานชิ้นแรก เป็นภาพรวมของครอบครัวครอมพ์ตัน ซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่และลูกชายสามคน ที่อายุตั้งแต่สามขวบไปจนถึงเจ็ดขวบ ส่วนรูปที่สองยังเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกันนั้น แต่เป็นการเขียนในอีกสิบห้าปีต่อมาซึ่งจะประกอบด้วยลูกสะใภ้และพวกหลานๆ ที่นั่งรวมกันอยู่ตรงปลายเท้าของท่านประมุขฉันพยายามนับจำนวนลูกชายของตระกูลเทียบกับภาพแรก ปรากฏว่ามีคนหนึ่งหายไป...

โต๊ะอาหารที่ยาวและค่อนข้างแคบถูกจัดไว้สองที่คือหัวกับปลายโต๊ะ คั่นด้วยเชิงเทียนเปลวเทียนไหววูบเมื่อฉันเดินผ่านเจ้าของบ้านยังไม่ปรากฏตัว ซึ่งทำให้ฉันออกจะเกรงใจถ้าจะต้องนั่งลงเพียงลำพังแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านั้น ฉันจึงใช้วิธีเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างทอดสายตาออกไปในท่ามกลางราตรีแสงไฟสาดสว่างอยู่ตรงลานเฉลียงที่กวาดปุยหิมะออกจนสะอาด มีม้ายาวเหล็กดัดที่ใช้นั่งเล่น ตั้งอยู่สองข้างลานเฉลียงนั้นลวดลายของเหล็กดัดเป็นช่อกุหลาบ ฝีมือช่างละเอียดอ่อนสวยงามเหลือเกิน

ขณะเดียวกันนั้น ฉันได้ยินเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่มตรงฉันเดินไปรอบๆ ห้องรับประทานอาหารที่จัดขึ้นไว้อย่างเป็นงานเป็นการชื่นชมเครื่องถ้วยจานที่ทั้งแบบและลวดลายโบราณ ที่จัดเป็นชุดตั้งโชว์ไว้แล้วก็เลื่อนสายตามองไปยังภาพวาดที่ประดับอยู่บนผนังห้องและตอนที่มองเลยภาพไปนั้น ฉันก็เหลือบไปเห็นสมุดโน้ตเล่มของฉันที่หายไปนั่นเองวางอยู่ตรงข้างจานอาหารตรงที่นั่งของฉัน ฉันลูบคลำหน้าปกแล้วก็เปิดออกแผ่นกระดาษที่คั่นไว้เปียกชื้น ส่วนรูปหุบเขาที่สเก็ตช์ไว้ เป็นรอยด่างด้วยเกล็ดหิมะ

“ผมคิดว่า...ถึงยังไงมันก็ยังเป็นรูปที่สวยมากทีเดียว” ลีแลนด์ ครอมพ์ตันเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้อง

“ขอบคุณมากค่ะ แต่นี่มันเป็นเพียงการร่างความคิดไว้หยาบๆ เท่านั้น”

ก่อนหน้านี้ฉันเดาอยู่แล้วในใจว่าเจ้าของบ้านที่ฉันมาพักจะต้องเป็นคนเดียวกับผู้ชายคนที่ฉันได้พบในป่า ดังนั้น ฉันจึงสามารถอำพรางความตกใจไว้ได้แนบเนียนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel