บทที่5
เขาเดินกะปลกกะเปลี้ยเข้ามาหยุดอยู่ตรงที่นั่งของฉัน ดึงเก้าอี้ออกให้ เมื่อฉันทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้เดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
“มิสซิสกรีฟเป็นคนมีฝีมือในเรื่องอาหาร ผมหวังว่าคุณจะมีความสุขเมื่ออยู่กับเราที่นี่”
ฉันคลี่ผ้าเช็ดปากวางลงบนตักก่อนจะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ทบทวนความคิดอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ฉันได้พูดหรือทำอะไรที่เป็นเชิงดูหมิ่นเขาบ้างหรือเปล่า...
“ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยชีวิตฉันไว้เมื่อตอนบ่าย”
“ที่จริงคุณก็เกือบถึงบ้านอยู่แล้วละ”
“ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่มากเลยค่ะ...”
“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น...” เขาตัดบทขึ้นทันที แต่ไม่ถึงกับเสียมารยาท
ฉันไม่รู้ว่าที่เขาพูดออกมานั้นหมายถึงอะไร...การที่ฉันหลงทางหรือความหยาบคายที่ฉันแสดงออก...?
แท่งเทียนบนช่อเชิงล้วนเป็นแท่งใหญ่ ทำให้ฉันเห็นหน้าเขาไม่ชัดเจนเท่าไรนัก มิสซิสกรีฟนำซุปเข้ามาเสิร์ฟ หรี่หลอดไฟแสงสว่างในห้องลงเล็กน้อยตอนขาเดินกลับออกไป
เราพูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระตามประสาคนแปลกหน้า ที่เพิ่งถูกจับให้มาเผชิญหน้ากัน อาทิ...อากาศที่นี่ดีมาก แต่สำหรับช่วงนี้ของปีออกจะหนาวเยือกเย็นเกินไปหน่อย...การขับรถมาถึงที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง...? เป็นต้น
ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าวนั้น มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจฉันตลอดเวลา คำถามที่ว่า...ฉันจะเขียนรูปบุคคลผู้นี้อย่างไร...? ฉันจะต้องใช้เวลากับการพินิจพิจารณาเขานานสักเท่าไร ถึงจะลอกเลียนใบหน้าของเขาออกมาให้เหมือนจริงที่สุดได้...? ทำไมเขาถึงอยากให้ฉันเขียนรูปของเขาไว้?
ซุปในถ้วยหมดลงแล้ว และอาหารจานหลักก็ถูกนำเข้ามาเสิร์ฟต่อ เราต่างคิดค้นหาเรื่องที่จะเอามาพูดคุยกันอย่างอิหลักอิเหลื่อเต็มที เขาตั้งคำถามกับฉันว่า...ฉันหากินทางวาดรูปมานานเท่าไรแล้ว...ฉันเรียนมาจากที่ไหน...? ฉันคิดว่าลึกลงไปในใจ เขาก็คงมีคำถามมากมายที่อยากจะถามฉันด้วยเช่นกัน
“มิสซิสกรีฟเล่าให้ฉันฟังว่าคุณเป็นนักเขียนด้วย”
“ใช่ครับ”
“คุณเขียนนิยายหรือคะ?”
“ครับ ก็ประเภทเรื่องสั้น”
เขาตอบเพียงเท่านั้น คล้ายเจตนาที่จะไม่เปิดทางให้ฉันซักถามอะไรต่อ
“คุณครอมพ์ตันคะ ถ้าฉันจะต้องเป็นคนเขียนรูปคุณ ฉันจำเป็นที่จะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับคุณบ้าง...”
“ครับ ผมเข้าใจ”
เขานั่งยิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก้มหน้าก้มตาอยู่กับอาหารในจานตรงหน้า เสร็จสรรพเขาก็พับผ้าเช็ดปากและลุกขึ้นยืน
“คุณมิลเลอร์...ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”
เขายื่นมือใหญ่ๆ ออกมายับยั้ง เมื่อเห็นฉันทำท่าจะลุกขึ้นตาม
“อยู่ทานของหวานกับกาแฟก่อนเถอะครับ ในห้องที่สามถัดจากห้องนี้ไปทางขวามือ จะมีโทรทัศน์ ขอให้คุณทำตัวให้สบายเหมือนอยู่บ้านของตัวเองเลยนะครับ”
พูดจบเขาก็ประคองร่างเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางเคร่งขรึม ใช้ความคิดอย่างหนักอยู่ เขาจะต้องรู้ว่ามีสายตาฉันที่มองตามหลังไปอย่างแปลกใจเต็มที่...
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันต้องนั่งกินอาหารเช้าตามลำพังอีกเช่นเคย และในตอนนั้นเองที่ฉันตัดสินใจว่า ควรจะกลับบ้านได้แล้ว เพราะการอยู่ที่นี่ต่อไป นอกจากจะเท่ากับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์แล้ว ฉันรู้ดีว่าตัวเองยังมีงานรออยู่อีกมากมาที่จะต้องทำให้แล้วเสร็จ ก่อนจะเปิดนิทรรศการในเดือนมีนาคมที่จะมาถึง ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะมานั่งให้ฉันเขียนรูป หวังจะให้ฉันเพียงแค่มาพักผ่อนสบายๆ มีอาหารอย่างดีกินวันละสามมื้อแล้วละก็...ขอโทษเลิกล้มความคิดแบบนั้นไปได้เลย
ฉันดึงภาพสเก็ตช์เมื่อวันก่อนที่เปรอะเปื้อนด้วยหยาดหิมะออกจากสมุด โยนทิ้งลงในตะกร้า เพียงชั่วข้ามคืนกลุ่มเมฆได้ก่อตัวขึ้นเร็วกว่าที่คิด ถ้าฉันออกเดินทางแต่เช้า น่าจะถึงบ้านก่อนที่หิมะจะตก
พอตัดสินใจได้เสร็จสรรพ ก็พอดีกับที่มิสซิสกรีฟเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารพร้อมกับบอกว่า
“มิสเตอร์ครอมพ์ตันจะไปรอคุณในเรือนกระจกนะคะ...”
คำพูดของนางทำให้หน้าต่างแห่งโอกาสของฉันปิดฉับลงทันทีเมื่อเห็นฉันยังไม่ยอมขยับไปทางไหน นางก็หยิบจานอาหารเช้าของฉันขึ้นไว้พร้อมกับบอกว่า
“เชิญเลยค่ะ”
เรือนกระจกที่หันหน้าไปทางด้านทิศใต้นั้นจะเรียกว่าเรือนเพาะชำที่จัดขึ้นในรูปแบบของสวนดอกไม้ก็น่าจะได้เพียงแต่มีความเป็นระเบียบมากกว่า
ฉันมองเห็นภาพว่า เมื่อถึงฤดูร้อนมันคงเหมือนกับการที่เราได้ออกมานั่งเล่นกลางแจ้งไม่มีผิด จากห้องนี้จะมองเห็นทิวเขาที่โอบล้อม โผล่ยอดสีน้ำเงินเข้มตัดกับหิมะที่ขาวโพลนกิ่งก้านของต้นสนและต้นไม้ใหญ่น้อยในราวป่าที่ปราศจากใบทาบทับอยู่กับผืนแผ่นฟ้าราวลวดลายโมเสกมีจานอาหารนกแขวนอยู่เป็นระยะๆ และขณะนี้กำลังมีนกน้อยสองสามตัวมาจิกกินอยู่ แม้วันนี้จะเป็นวันที่อากาศค่อนข้างหม่นมัวแต่กลับทำให้แสงที่สาดส่องผ่านหลังคาและผนังกระจกโดยรอบสวยมหัศจรรย์เลยทีเดียว
“เราจะใช้ห้องนี้เป็นสตูดิโอได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ มันสมบูรณ์แบบเชียวละ”
ฉันออกเดินไปรอบๆ เพื่อจะดูว่าเงาแสงจะตกลงตรงจุดไหนของห้องบ้างขณะเดียวกันก็บอกกับตัวเองอยู่ว่าไม่มีสตูดิโอแห่งไหนจะดีเท่าที่นี่อีกแล้ว
“ผมเพิ่งเติมส่วนนี้ออกมาเมื่อสองปีก่อนนี้เองแม้ว่ามันจะไม่ค่อยตรงกับหลักการทางด้านสถาปนิกอยู่บ้าง แต่ผมชอบมาก”
เขากำลังทอดสายตามองออกไปยังสวนไม้ดอกมือทั้งสองข้างท้าวอยู่กับสะโพกถ้ามองจากข้างหลังไม่สังเกตไหล่ที่ค้อมลงกว่าปกติแล้วเขาก็คือผู้ชายที่ร่างกายปกติคนหนึ่ง
ทั้งกล่องสีและผืนผ้าใบเข้ามาวางอยู่ในห้องนี้เรียบร้อยแล้ว ฉันปล้ำอยู่กับขาตั้งพยายามตรึงน๊อตตรงมุมให้เข้าที่เขามองดูการทำงานของฉันอยู่เป็นครู่ก่อนจะเข้ามาช่วยจับ เมื่อตั้งขาตั้งเรียบร้อยแล้วฉันจึงได้จัดการขึงผ้าใบ เรายืนเคียงกันอยู่ครู่สั้นๆ ต่างคนต่างจ้องมองผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า และทันใดมันก็มีความสงสัยผ่านแวบเข้ามาในความคิดว่า...ฉันสามารถทำงานชิ้นนี้ได้จริงละหรือ...? และราวกับเขาจะล่วงรู้ความคิดของฉันอยู่ลีถอยห่างออกจากฉัน
“คุณจะให้ผมนั่งตรงไหนล่ะ?”
จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นแล้วก็เดินหลังโกงไปตรงมุมที่ฉันชี้ให้ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วก็เลื่อนไปอีกตัวหนึ่งโดยมีฉันคอยกำกับอยู่
“เห็นจะต้องบอกให้ทราบเสียก่อนนะคะว่าการทำงานตรงนี้จะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง” ฉันเอ่ยขึ้นเป็นเชิงเตือน
“มันจะต้องเริ่มจากการสเก็ตช์ไปจนกระทั่งเก็บรายละเอียดต่างๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงๆ ทีเดียว”
“ผมเข้าใจ”
“ที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องมาทนนั่งวันละหลายๆ ชั่วโมงก็ได้ เพราะฉันเขียนรูปจากรูปถ่ายของคุณก็ได้นะคะ”
“อย่าเลย นี่เป็นวิธีการที่บุคคลในตระกูลของผมปฏิบัติกันมาจนเป็นประเพณีแล้ว มันไม่ใช่แค่ตระกูลผมเท่านั้นแต่ยังหมายถึงตระกูลของคุณด้วยไม่ใช่หรือครับ?”
“ค่ะ...ก็คงจริงอย่างที่คุณว่า คือบังเอิญฉันไม่ได้คิดเลยไปถึงเรื่องธรรมเนียมประเพณีอะไรนั่น...”
“ตระกูลของเราก็คงแบบเดียวกับพวกแต็ลเย่นั่นแหละ คือสร้างประเพณีอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อให้สามารถทนสู้กับชีวิตต่อไปได้” เขาสอดส้นรองเท้าเข้าไปเกี่ยวไว้กับเหล็กยึดขาเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่
“เอาละ...แล้วตอนนี้คุณจะให้ผมนั่งท่าไหนล่ะ คุณก็เห็นอยู่แล้วนี่ ว่าผมสุดหล่อขนาดไหน”
ฉันยิ้มกับคำพูดแบบติดตลกของเขารู้สึกคลายใจอยู่บ้างที่เขาเข้าใจในความยุ่งยากลำบากใจที่เกิดอยู่กับฉัน อย่างไรก็ตามฉันพยายามกำกับเขาด้วยการออกคำสั่งราวกับเขาเป็นคนงานยกเฟอร์นิเจอร์ก็ไม่ปาน
“หันหน้าไปทางซ้ายนิดหนึ่ง....ไม่ค่ะ....มากไป....ก้มลงอีกนิดและ....”