บทที่6
ขณะอยู่ในชั้นเรียนการเขียนภาพเหมือนจริงจะมีนางแบบหรือไม่ก็นายแบบมานั่งวางท่าให้เราบางคนผิวผ่อง บางคนผอมราวจะหักกลางหรือไม่ก็ล่ำสันเนื้อตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่ละคนอยู่ในสภาพเกือบเปลือยแม้จะอยู่ต่อหน้าพวกเราที่เป็นคนแปลกหน้าก็ตาม ซึ่งเราจะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาทุกคนด้วยความสุภาพ เมื่อเราต้องการจะให้เขาหันไปในทิศทางใด จะใช้ปลายนิ้วแตะเพียงเบาๆ พอเป็นสัญญาณด้วยความรู้สึกเหมือนเราแตะก้อนดินที่ไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อหรือมีชีวิตจิตใจ
แต่ขณะนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้าอยู่กับนายแบบที่เป็นชายร่างพิกลพิการฉันไม่อาจหาญพอที่จะแตะต้องใบหน้าที่บิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่างของเขาได้ แต่เมื่อการออกคำสั่งไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ฉันก็วางดินสอลงพยายามกล้ำกลืนความลังเลใจลงไว้ฉันเห็นแววตระหนกในดวงตาของเขา มันเหมือนแววตาของสัตว์ที่ไม่คุ้นชินกับการถูกจับเนื้อต้องตัวมาก่อน เพราะเขานิ่วหน้า เมื่อปลายนิ้วของฉันแตะลงตรงปลายคาง ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างกว่าผู้ชายคนไหนๆ มันก็คือคางของคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง นอกเสียจากไรขนแข็งๆ ที่คล้ายกับเขาใช้มีดโกนที่ค่อนข้างทื่อเกินไปหน่อยเท่านั้น
ฉันก้มลงมองเมื่อจับมือที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ของเขาให้วางลงบนเข่า ออกจะแปลกใจกับสัมผัสที่ได้รับ มันมีทั้งความอุ่นและความนุ่มนวล ข้อนิ้วใหญ่ๆ นั้น เป็นสิ่งอำพรางความนุ่มของผิวหนังบนหลังมือไว้เท่านั้น มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ความรู้สึกที่เป็นเสมือนแรงดึงดูดที่ทำให้ฉันอยากจะพลิกมือเขาขึ้น อยากได้สัมผัสฝ่ามือ อยากรู้ว่ามันจะทำให้เกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้นมาบ้าง...แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ
“เอาละค่ะ คุณครอมพ์ตันคะตอนนี้จะต้องทำใจให้สบายสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้มากๆ เลยนะคะทำเหมือนกับว่าคุณกำลังนั่งให้ใครบางคนเขียนรูปมาแล้วทั้งชีวิตได้ยิ่งดี”
เมื่อพูดจบ ฉันก็ถอยหลังกลับมาที่ขาตั้งขยับดินสอในมือเขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงนั้นหลุดลอดออกมาจากแผงอกกว้างซึ่งทำให้ฉันอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
“ผมว่าคุณเรียกผมว่าลีเถอะ...” เขาบอก
“ถ้าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราจะต้องทำงานร่วมกันวันละหลายๆ ชั่วโมงแล้วผมอยากให้คุณเรียกผมว่าลีมากกว่าส่วนผมก็จะเรียกคุณว่าอลิกซ์ดีกว่านะครับ”
“โอเคเลยค่ะ...แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะเตือนไว้กันลืมก็คือถ้าคุณอยากจะหยุดตอนไหนก็ลุกขึ้นยืนเลยนะคะฉันเป็นศิลปินใจร้ายไม่เคยเห็นแบบที่ตัวเองวาดเป็นสิ่งมีชีวิตหรอกค่ะ”
หลังจากที่ทำงานเงียบๆ ต่อไปอีกสักครู่เขาก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“อลิกซ์ ผมอยากขอให้คุณลืมความไร้มารยาทของผมเมื่อวานนี้นะครับ...คือผมเป็นคนที่ไม่คุ้นชินกับการเข้าสังคมเลยคงจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อฝึกฝนมารยาทสังคมให้ดีขึ้น”
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรเลยนะคะ”
ฉันตอบออกไปรู้อยู่แก่ใจว่าตัวฉันเองต่างหากที่สมควรจะต้องกล่าวคำขอโทษต่อเขาแต่ฉันไม่อยากพูดถึงการเผชิญหน้ากันในราวป่านั่นอีกฉันจึงเสไปเสียว่า
“ที่จริงฉันต่างหากคะที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษกับการที่ไม่บอกให้คุณทราบล่วงหน้าว่าพ่อมาทำงานนี้ไม่ได้”
“เรื่องนั้นน่ะไม่สำคัญอะไรหรอก ถึงยังไงก็ต้องเป็นคนในตระกูลมิลเลอร์อยู่แล้วที่จะรับหน้าที่เขียนรูปให้กับคนในตระกูลครอมพ์ตัน”
“นี่ละมังคะที่เขาเรียกว่าประเพณีหรือเป็นธรรมเนียมอย่างที่คุณว่า”
หลังจากได้จิบไวน์ตอนช่วงพัก ซึ่งช่วยให้เกิดความอบอุ่นขึ้นในหัวใจและสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้กับร่างกายได้อย่างมากแล้วฉันก็รู้ว่าการทำงานเริ่มง่ายขึ้นอัธยาศัยไมตรีที่ลีหยิบยื่นให้กับฉันเมื่อตอนเช้ามันทำให้ความเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเลือนหายไป เราทั้งสองต่างมีความรู้สึกขัดเขินด้วยกันทั้งคู่เราจึงต่างตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อขจัดอุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ให้หมดสิ้นไป
สองสามวันหลังจากนั้น การทำงานของเราก็เข้าสู่ความเป็นระบบมากขึ้นฉันจะรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพัง พอถึงเวลาแปดโมงก็จะเดินเข้าไปสมทบกับเขาที่ห้องกระจกซึ่งในห้องนั้นเขาได้ติดตั้งเครื่องเสียงชั้นยอดไว้ ดังนั้นตลอดเวลาสี่ชั่วโมงสำหรับช่วงเช้าของการทำงานจึงมีเสียงเพลงไพเราะขับคลออยู่ เขาเป็นนายแบบที่นั่งทนมากทั้งยังมีความสามารถในการบังคับตัวเองให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
เนื่องจากในช่วงเช้านั้นแสงจะดีที่สุดเราจึงอุทิศเวลาในช่วงนี้ทั้งหมดให้กับการทำงาน หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วเขาก็จะขอตัวไปทำงานส่วนตัวต่อส่วนฉันก็จะอยู่เพียงลำพังต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำซึ่งฉันจะใช้เวลาช่วงที่อยู่คนเดียวนี้ตกแต่งภาพที่สเก็ตช์ขึ้นไว้ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เป็นเวลานานมากแล้วที่ฉันไม่เคยเขียนรูปจากแบบที่เป็นคนจริงๆ หรือสิ่งมีชีวิตผลงานส่วนใหญ่ของฉันล้วนสร้างขึ้นจากจินตนาการ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวที่จะเก็บเกี่ยวข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นบ่อยครั้งที่ฉันจะเขียนรูปประเภทสวยงามรูปที่มักสะท้อนอารมณ์หรือความคิดออกมาด้วยรูปทรงหรือสีสันที่แปลกเปลี่ยนสะดุดตา
ดังนั้น ฉันจึงมีความรู้สึกว่าการที่ได้กลับมาเขียนรูปคนจริงๆ อีกครั้งเป็นงานที่ท้าทายความสามารถอย่างยิ่ง...!
แน่นอนที่จะต้องมีศิลปินบางท่านผู้ที่ทำให้ความเปลี่ยนแปลกแตกต่างกลายมาเป็นสิ่งธรรมดาๆ แต่ฉันตั้งใจว่าจะทำให้สิ่งธรรมดาๆ ในสายตาของคนอื่นเป็นสิ่งที่มีความแปลกใหม่ให้จงได้
“คุณยังเห็นบ้านไม่ทั่วเลยใช่ไหม?”
ลีเอ่ยถามขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะยื่นถ้วยกาแฟมาให้เราจะดื่มกาแฟกันตอนช่วงพักสิบนาทีทุกวัน ฉันลอบมองขณะที่เขาเดินไปรอบห้องพร้อมกับเหยียดแข้งเหยียดขาเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยขบหลังจากที่ต้องนั่งนิ่งๆ ไม่กระดิกตัวเลยมากว่าสองชั่วโมง
เมื่อมาถึงวันนี้ฉันผ่านขั้นตอนของแขกผู้มาเยือนกลายมาเป็นศิลปินที่จะต้องจับสังเกตทุกอิริยาบถของเขาด้วยสายตาของนักกายวิภาคไปแล้ว
ฉันเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้สี่วันแล้วแต่ก็ได้เห็นห้องเพียงไม่กี่ห้องที่ชั้นล่างกับห้องนอนของตัวเองเท่านั้น
“ฉันก็อยากทัวร์อยู่เหมือนกันค่ะ” ฉันจิบกาแฟก่อนจะตักน้ำตาลเติมลงไปครึ่งช้อน
“ดี งั้นหลังอาหารกลางวันผมจะพาคุณเดินชมให้รอบเลย”
“อ้าว...แล้วไม่ทำให้คุณเสียงานหรอกหรือคะ?”
“งานของผมต้องทำ ขณะที่ร่างกายและอารมณ์พร้อมถึงจะได้ผลงานดีที่สุดออกมาส่วนใหญ่แล้วตอนบ่ายเป็นช่วงเวลาหยุดพักผ่อนของผม”
เขาเดินกลับมานั่งในที่และท่าเดิมอย่างคุ้นชินก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดเกี่ยวกับงานเขียนหนังสือของเขาเลย ดังนั้น การที่เขาเอ่ยถึงขึ้นมา ทำให้ฉันออกจะดีใจอยู่บ้าง
เมื่อเสร็จจากอาหารกลางวันแล้ว เราก็ออกเดินชมบ้านกันลีเป็นบุคคลที่มีความอดทนสูงมากเขาปล่อยให้ฉันหยุดเพื่อชื่นชมกับงานศิลปะต่างๆ ทั้งที่ประดับอยู่บนฝาผนังและตามซอกมุมต่างๆ ของบ้าน
“งานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของพ่อแม่แล้วก็บรรพบุรุษของผมมีบางชิ้นที่ผมซื้อหามาเพิ่มเมื่อสองสามปีหลัง”
“คุณไปหาซื้อจากงานประมูลเองเลยหรือคะ?”
“ไม่หรอก ผมมีคนที่รู้จักรสนิยมของผมเขาจะเป็นคนส่งรายละเอียดเกี่ยวกับภาพต่างๆ มาให้ผมเลือกจากในนั้น”
เราเดินมาถึงห้องสมุด เป็นห้องที่ฉาบไว้ด้วยสีเขียวเข้มที่ผนังทุกด้านอัดแน่นด้วยหนังสือ และมีบันไดเลื่อนแบบโบราณสำหรับปีนขึ้นไปหยิบหนังสือ บนชั้นที่อยู่สูงจรดเพดานได้พื้นพรมสีเขียวเข้มดูดซับเสียงฝีเท้าและทำให้เราลดเสียงพูดคุยกันลงได้โดยอัตโนมัติฉันไล้ปลายนิ้วไปตามสันหนังสือปกแข็งที่รายเรียงอยู่บนชั้นอดยิ้มไม่ได้เมื่อพบงานของนักประพันธ์ที่รู้จัก
“ในห้องนี้มีหนังสือของคุณอยู่ด้วยไหมคะ...ฉันหมายถึงหนังสือที่คุณเขียนขึ้นน่ะค่ะ”
“ผมเขียนโดยใชนามปากกา” เขาบอก ก่อนจะส่งหนังสือปกแข็งที่เป็นนิยายลึกลับเล่มหนึ่งชื่อ “Another Fine Mess” ที่เขียนโดย แฮริส แบลเฟลอร์มาให้ดู
“คุณพระช่วย...นี่คุณเองหรอกหรือคะ...รู้ไหมว่าคุณเป็นนักเขียนที่ฉันชื่นชอบที่สุดฉันอ่านหนังสือของคุณทุกเล่มเลยก็ว่าได้” ฉันหัวเราะอย่างตื่นเต้น กอดหนังสือเล่มนั้นไว้กับอก
“แล้วทำไมคุณถึงต้องฆ่ามอลลี่ ทริพพ์ด้วยล่ะคะ?”
“ก็หล่อนน่ารำคาญมากไปแล้วน่ะสิ”
เสียงหัวเราะของเขาก้องกังวานออกมาจากในทรวงอก ฉันส่งหนังสือคืนให้แต่เขากลับส่ายหน้า ซึ่งในท่ามกลางแสงที่ค่อนข้างสลัวภายในห้องสมุดมันมองดูคล้ายกับสัตว์ใหญ่ที่กำลังส่ายศีรษะอยู่ไปมา
“ผมพูดเล่นน่ะ...ที่ผมต้องฆ่ามอลลี่ไม่ใช่เพราะหล่อนเป็นผู้หญิงที่ยุ่งจุ้นจ้านเกินไป แต่เป็นเพราะใครก็ตามที่เป็นผู้ร่วมงานกับไทเลอร์ เบนท์จะต้องจบชีวิตด้วยการตายทุกคน ถ้าผมเก็บหล่อนไว้อาจทำให้เขาทั้งสองคนต้องพบรักแล้วก็อาจถึงขั้นร่วมชีวิตกันก็ได้ ผมเขียนให้ไทเลอร์ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังมาตั้งแต่ต้นแล้วนี่”
ฉันยื่นหนังสือคืนให้เขาอีกครั้งแต่เขาก็ยังคืนกลับมา...
“เก็บไว้เถอะผมอยากให้คุณมีไว้สักเล่มแต่...หรือว่าคุณมีอยู่แล้ว?”
“ไม่มีหรอกค่ะ...” ฉันพลิกเปิดหน้าแรกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นขอลายเซ็นด้วยได้ไหมคะ?” สีหน้าของเขาบอกความปลื้มอย่างแปลกๆ
“ผมไม่เคยทำอะไรพรรค์นั้นเลยนะ”
คำพูดประโยคนั้นของเขาค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในสมองฉันช้าๆ มันบ่บอกให้รู้ว่าลี ครอมพ์ตัน เป็นบุคคลที่มีชีวิตโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
“ถ้าอย่างนั้น...” เขาพูดช้าๆ
“ให้ผมคิดหาคำอะไรที่เหมาะก่อนดีกว่า แล้วผมจะมอบให้ตอนคุณกลับ”