บทที่7
หลังจากนั้นเราก็ขึ้นบันไดไปยังห้องแกลเลอรี่ ซึ่งฉันได้เล่าถึงบุคคลที่เป็นศิลปินเขียนรูปบรรพบุรุษทั้งหลายของเขาเหล่านั้นเท่าที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างให้เขาฟัง
“ฉันว่าอีซีเกียลฝีมือดีกว่าอัลเฟร็ดนะคะ น้ำหนักของสีที่เขาให้มีความชัดเจนแสดงอารมณ์ได้ดีทีเดียวฉันว่าอัลเฟร็ดมือหนักไปหน่อย” ฉันชี้ให้เขาดูงานของอีซีเกียลคนที่สองวาดขึ้นไว้
“ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ ว่าในรูปนี้ใครคือคนที่หายไปฉันลองนับจำนวนดูแล้วปรากฏว่ามีลูกชายคนหนึ่งในจำนวนสามคนที่ไม่อยู่ในรูปนี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน”
“ท่านชื่อโรเจอร์ เป็นลูกชายคนกลางท่านตายก่อนครบรอบวันเกิดปีที่ยี่สิบสามเพียงไม่กี่วัน”
“น่าสงสารจัง” ฉันเอ่ยออกมาเบาๆ
“แล้วท่านเป็นอะไรตายคะ?”
“เป็นโรคอย่างหนึ่ง.” เขานิ่งอึ้งไปก่อนจะกล่าวต่อว่า
“ว่ากันว่าเป็นโรคเดียวกันกับที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้...เขาเรียกว่าโรค Acromegaly”
ฉันได้แต่มองหน้าเขาอยู่ในท่ามกลางแสงยามบ่ายเช่นนี้เสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาดูใหญ่โตมาก
“ขอโทษนะคะในครอบครัวคุณเป็นกันหลายคนหรือคะ?”
“คงเป็นโรคประจำศตวรรษละมัง...” เขาพูดเสียงขื่น
“ผมเป็นคนสุดท้ายที่เกิดในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครเป็นต่อจากผมแล้ว”
“แต่สมัยนี้การรักษาโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์อาจช่วยให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นะคะ”
แววยิ้มเศร้าฉาบขึ้นบนริมฝีปากขณะเขามองหน้าฉันอยู่
“มันไม่ใช่กรณีย์ของผมหรอก”
การทัวร์ของเราดูจะสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น ลีขอตัวกลับไปเขียนจดหมายฉันยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าภาพวาดของบุคคลในตระกูลครอมพ์ตัน สมัยศตวรรษที่สิบแปดด้วยความอยากรู้เหลือเกินว่าจะมีอาการของโรคที่แสดงให้ปรากฏอยู่ในใครบ้าง โรคซึ่งเกิดอยู่ในศตวรรษก่อนหน้านี้ ที่เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้วถือได้เลยว่า บุคคลผู้นั้นถูกพระเจ้าลงโทษเพราะไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
ฉันมีความรู้เกี่ยวกับความพิกลพิการของร่างกาย อันเนื่องมาแต่เชื้อของโรคร้ายนี้น้อยมากรู้แต่เพียงว่ามันเป็นความผิดปกติของศีรษะ มือ เท้าและทรวงอก แต่การที่ชายหนุ่มวัยเพียงแค่ยี่สิบสามตายเพราะโรคนี้ได้อย่างไรนั้นฉันไม่อาจรู้ได้...
มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนบ่ายของวันนั้น ฉันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงกริ่งแบบนี้ตลอดทั้งอาทิตย์ที่มาพำนักอยู่ที่ไรส์ โบโร่ และยิ่งรู้ว่ามันเป็นโทรศัพท์ถึงฉันเองก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที เพราะฉันไม่ได้ติดต่อไปหาพ่อเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ความเป็นห่วงที่เกิดขึ้นตอนก่อนจะออกจากบ้านวันนั้นแวบกลับขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังประสมด้วยความรู้สึกละอายใจด้วย
แต่ปรากฏว่าคนที่โทรศัพท์มาหาฉันคือมาร์ก...
“คุณจะกลับบ้านเมื่อไหร่ อลิกซ์?” เขาใช้โทรศัพท์มือถือดังนั้นเสียงพูดจึงอื้อๆ อย่างไรพิกล
“คุณคงไม่ลืมนะว่าผมมีงานเลี้ยงอาหารค่ำวันเสาร์ที่จะถึงนี้ และคุณก็สัญญากับผมแล้วด้วยว่า คุณจะไปงานกับผม”
“มาร์ก...แต่งานฉันยังไม่เสร็จเลยนะ...ยังไม่ใกล้จะเสร็จเสียด้วยซ้ำ”
ฉันทักท้วงรู้สึกฉุนโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รู้อยู่แก่ใจว่าความต้องการของเขาจะต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเสมอ เขาจะต้องสร้างความรู้สึกกดดันบีบบังคับให้ฉันต้องยอมทำตามเสียทุกครั้ง
“อลิกซ์...ฟังให้ดีนะคุณไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่วันเสาร์ก่อน เพราะฉะนั้นคุณย่อมมีสิทธิ์ที่จะมีวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่แล้วถึงยังไงคุณก็ยังต้องกลับไปทำงานต่ออยู่ดี”
มันเปล่าประโยชน์ที่จะไปเตือนให้เขาได้สำนึกเสียบ้างว่าทุกวันนี้งานที่เขาทำอยู่ได้ช่วงชิงเวลาของเขาไปเกือบจะทั้งหมดจนแม้แต่ในโอกาสสำคัญๆ ในชีวิตฉันเขาก็แทบไม่มีส่วนร่วมเลยด้วยซ้ำ
“อีกอย่างหนึ่งนะ...” เขาพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้คุณก็ไม่ได้แสดงท่าว่าอยากจะไปอยู่ที่นั่นเลยไม่ใช่หรือ...แล้วทำไมไม่ใช่วิธีถ่ายรูปแล้วเอากลับมานั่งเขียนที่บ้านล่ะ?”
“การเขียนจากตัวบุคคลที่เป็นตัวตนจริงๆ มันมีชีวิตจิตใจกว่ากันมาก” ฉันตอบเรียบๆ ขณะเดียวกันฉันก็ได้ตระหนักว่านี่คือการยอมรับกับตัวเองด้วย
“ฉันชอบที่จะทำงานแบบนี้มากกว่า”
แต่ในที่สุด ฉันก็ต้องรับปากกับเขาว่าจะกลับบ้านวันเสาร์เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเนื่องในโอกาสแจกรางวัลนักข่าวดีเด่น แม้เขาจะบ่นอยู่บ้างเรื่องที่ต้องแต่งชุดแบล๊ก ไท แต่ทุกคำพูดของเขาล้วนมีเจตนายืนยันให้ฉันได้รับรู้ไว้ว่าเขาจะต้องได้รับรางวัลในครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในชีวิตของเขาก็ว่าได้และแน่นอนที่เขาควรจะต้องมีฉันอยู่เคียงข้างในยามนั้น
ฉันพยายามจะไม่คิดถึงงานแสดงนิทรรศการผลงานของฉันเองในเดือนมีนาคมที่จะมาถึง เพราะฉันรู้ว่าเขาจะไม่ไปร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน แม้เขาจะรู้กำหนดการล่วงหน้าเป็นเดือนแต่เขาก็วางแผนที่จะออกเดินป่ากับเพื่อนสนิทกลุ่มใหญ่ของเขาในอาทิตย์เดียวกันนั้นอยู่ดี
ฉันวางโทรศัพท์ลงอิงร่างอยู่กับกรอบประตู
“บ้าที่สุดเลย...!” ฉันคำรามกราดเกรี้ยวออกมา ก่อนจะยิ้มเขินๆ กับมิสซิสกรีฟ
“คู่รักละมัง?”
“ก็...ทำนองนั้น...” ฉันไม่ค่อยชอบคำถามแบบนี้เลย
“ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกค่ะว่าเขาควรจะเป็นอะไร” ฉันรินกาแฟใส่ถ้วยให้ตัวเอง
“เล่าเรื่องลีให้ฉันฟังหน่อยสิคะ ฉันอยากรู้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ เขาเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วคุณจะรู้ไปทำไมล่ะ?” นางกลับย้อนถม
“ไม่ทราบสิคะ ก็...เพียงแค่อยากรู้เท่านั้น”
มิสซิสกรีฟรินกาแฟให้ตัวเองแล้วก็เหลือบตามองดูนาฬิกา ถอนหายใจออกมาเบาๆ พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“เป็นนักก่อกวนตัวยงทีเดียว”
ฉันถึงกับสำลัก นี่มันเป็นคำตอบที่ห่างไกลจากสิ่งที่ฉันคาดคิด ว่ามิสซิสกรีฟจะตอบอย่างสิ้นเชิง
“ฉันหมายถึงว่าเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมาก ทำให้บางครั้งกลายเป็นเด็กไม่น่ารักเลย...เมื่อตอนที่ยังเล็กอยู่ เขาเป็นเด็กที่นิสัยดีมากทีเดียวนะคะแต่พอย่างเข้าวัยรุ่นเท่านั้นละเหมือนมีไฟมาเผาอยู่ในใจยังไงยังงั้นเลยละค่ะ แผลลายพร้อยไปทั้งตัวเลย มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก แล้วก็เป็นคนมีพรสวรรค์ในเรื่องผู้หญิงด้วย ซึ่งก็เพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้เขาหมดกำลังใจในที่สุด...”
นางเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาอีกครั้ง สีหน้าอ่อนโยนลงเมื่อกวักมือให้ฉันเดินตามไป
“เขาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นเขาเป็นอยู่ตอนนี้หรอกนะคะฉันจะให้คุณดู”
มิสซิสกรีฟมีห้องชุดส่วนตัวอยู่ถัดไปจากห้องครัว ซึ่งผนังทุกด้านของห้องนี้เต็มไปด้วยรูปถ่าย ซึ่งมีทั้งภาพรวมของครอบครัว ภาพถ่ายเดี่ยว ภาพถ่ายสัตว์เลี้ยงและอื่นๆ ซึ่งทำให้ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านอกจากห้องนี้ที่มีภาพถ่ายแล้วทุกห้องในบ้านล้วนแล้วมีแต่ภาพเขียน
มิสซิสกรีฟเดินไปหยิบรูปเล็กๆ ใส่กรอบราคาถูกขึ้นมาจากโต๊ะหัวเตียง
“นี่ไงคะ คุณลีตอนอายุสิบห้า”
เด็กหนุ่มที่อยู่ในรูปนั้นแม้หน้าตาจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่สามารถบอกได้เลยว่าหล่อมาก ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของคนที่กำลังจะเปลี่ยนวัยเข้าสู่ความเป็นชายหนุ่มเต็มตัว ดวงตาคู่สีฟ้าเข้มนั้นเด่นสะดุดตามาก แต่สิ่งที่ชวนมองที่สุดคือรอยยิ้มที่จุดประกายให้ใบหน้าของเขามีเสน่ห์อย่างยิ่ง ฉันยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่า แม้อาการของโรคร้ายจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับรูปร่างหน้าตาของเขาอย่างน่ากลัว แต่มันไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
“รูปนั้นถ่ายตอนที่เขาอยู่วิทยาลัยโกรตอนปีสอง...นี่ค่ะ...” นางส่งรูปถ่ายอีกใบหนึ่งมาให้ดู
“รูปนี้ถ่ายอีกสิบห้าปีต่อมา คุณจะเห็นว่าอาการของโรคมันชัดเจนมากขึ้นแล้ว”
รูปนี้เป็นการถ่ายตอนที่ลีไม่ทันรู้ตัว เขาไม่ได้มองกล้องแต่กำลังมองไปทางอะไรบางอย่างอยู่ เด็กหนุ่มในรูปแรกได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไปจนเหนือสภาพการเปลี่ยนวัยจากเด็กหนุ่มขึ้นสู่วัยหนุ่มใหญ่มือข้างหนึ่งของเขาที่ยกขึ้นทาบอยู่กับแก้มมีขนาดใหญ่โตมาก ข้อนิ้วพองบานอย่างเห็นได้ชัดทั้งจมูกและใบหูมีขนาดใหญ่มากแล้วเช่นกัน แววในดวงตาของเขามันไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความวาดหวังอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยแววแห่งความครุ่นคิด และฉันก็รู้ได้ก่อนที่มิสซิสกรีฟจะบอกเสียอีกว่า...นี่คือรูปถ่ายใบสุดท้ายของลี ครอมพ์ตัน
“เราย้ายมาอยู่ที่นี่สักปีหนึ่งหลังจากที่ถ่ายรูปนั้นบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัว ซึ่งลีใช้เป็นที่อยู่อาศัยนับแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งเมื่อมาถึงวันนี้ เราก็อยู่กันที่นี่เกือบสิบปีแล้วละค่ะ”
“แล้วพ่อกับแม่เขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ?”
“พวกท่านหย่าขาดจากกันหลายปีแล้วตั้งแต่ลียังเรียนอยู่ที่โกรตอนเสียด้วยซ้ำ พ่อของคุณลีเสียชีวิตลงหลังจากที่ปู่ของคุณวาดรูปท่านเสร็จไม่กี่ปี ส่วนแม่น่ะยังมีชีวิตอยู่นอนนี้อยู่ในบอสตันเธอไม่เคยมาที่นี่หรอกค่ะ”
มิสซิสกรีฟดึงรูปไปจากมือฉัน มองดูอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะวางลงไว้เคียงข้างกัน
“เขาเป็นคนดีคนหนึ่งไม่ใช่หรือคะ?”
คำถามของนางสร้างความแปลกใจให้กับฉันไม่น้อยแต่แล้วฉันก็เข้าใจความหมายในคำถามประโยคนั้น
“แน่นอนค่ะ เขาเป็นคนดีมาก” ฉันตอบอย่างจริงใจ
นางเช็ดมืออยู่กับผ้ากันเปื้อนอย่างจงใจแล้วก็เดินจากไปปล่อยให้ฉันยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว อากาศหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้…