บทที่ 4 พิธีปักปิ่น (1/2)
เฟิ่งเหลียนฮวาแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดราวกับจะตาย ก่อนจะทรุดกายลงไปบนพื้นโดยไม่ลืมที่จะดึงรั้งร่างของมารดาลงมาด้วยเพื่อความสมจริง
“ฮ่า ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากกว่านะฮวาเอ๋อร์ เดิมทีข้าจะสังหารมารดาของเจ้าเพียงผู้เดียว แต่เจ้ากลับยื่นมือเข้าหาความตายเองก็อย่าได้โทษข้า” ริมฝีปากแดงสดแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ พร้อมกับแผดเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เยว่อิง จะ…เจ้า!”
เฟิ่งจิ่วเมิ่งผู้เป็นมารดาได้แต่ชี้หน้าฮูหยินรองผู้นั้น แต่ทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใด มีเพียงเลือดเท่านั้นที่กระอักออกมา นางจึงได้แต่มองบุตรีด้วยความฉงน เมื่อบุตรีมีท่าทีเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ
“ยอมรับออกมาแล้วสิ ว่าเจ้าคิดสังหารพวกข้าด้วยการวางยาพิษในกาน้ำชา” เฟิ่งเหลียนฮวายังคงแสดงละครบทใหญ่ตบตา
“ฮ่า ถ้าใช่แล้วอย่างไรเล่า อีกไม่นานพวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะไร้ลมหายใจ ประเดี๋ยวข้าจะจัดฉากให้ว่าฮูหยินใหญ่ตรอมใจที่สามีไม่รัก อีกทั้งบุตรีคนโตก็น้อยอกน้อยใจผู้เป็นบิดาจนไม่อาจอยู่พบหน้า” ใบหน้าที่แสนน่าเกลียดยิ้มร่าหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ
“แล้วถ้าข้ากับท่านแม่ไม่ตายเล่า ฮ่า”
เฟิ่งเหลียนฮวาหยัดกายขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะประคองร่างของมารดาเอาไว้ ก่อนที่นางจะยกชายอาภรณ์ปาดโลหิตออกไป
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ” แต่แล้วความผิดหวังและความหวาดกลัวก็เข้าถาโถม เฟิ่งเยว่อิงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ความมั่นใจที่มีหายลับไปจนหน้าซีดเผือด
“กาน้ำชาเจือยาพิษของท่านอยู่โน่นต่างหากเล่า ส่วนกาใบนี้เป็นของข้าที่ผสมสมุนไพรกำจัดเลือดเสียภายในกายต่างหาก ท่านแม่รู้สึกสดชื่นขึ้นหรือไม่เจ้าคะ” นางหันไปถามมารดา ที่เริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่บุตรีกระทำลงไป
“จะ…เจ้า!”
“เจียวมี่ เข้ามานี่เร็วเข้า”
เจียวมี่ที่ยืนรอคอยรับคำสั่ง เข้ามาภายในเรือนพร้อมกับกาน้ำชาเจือยาพิษ ก่อนที่นางจะรับมาแล้วเทลงบนพื้นที่มีหงอี้เดินผ่าน ไม่นานมดกลุ่มนั้นก็พากันตายสนิท
“เยว่อิง นี่เจ้าคิดจะสังหารข้ากับลูกเลยเชียวรึ”
เฟิ่งจิ่วเมิ่งตาสว่างก็วันนี้ เดิมทีนางมีเมตตาต่อฮูหยินรองเพราะไม่อาจปรนนิบัติตามใจสามีในเรื่องอย่างว่า แต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลเฟิ่งจะเลี้ยงงูพิษเอาไว้
“ข้า…ข้าขอโทษ ฮูหยินใหญ่โปรดเมตตาข้า”
เมื่อรู้ตัวเฟิ่งเยว่อิงโผเข้ากอดขามารดาของนางด้วยความสำนึกผิด แต่ไม่ว่าเฟิ่งเหลียนฮวาจะมองอย่างไรก็คิดว่ากิริยาท่าทางเช่นนั้นเสแสร้งอยู่ดี
“เจ้าคิดว่าข้าสมควรที่จะเก็บคนชั่วช้าเช่นเจ้าเอาไว้ข้างตัวอีกหรือ” เฟิ่งจิ่วเมิ่งผู้เป็นมารดาสะบัดขาออกอย่างไร้ความปรานี
“ฮูหยินใหญ่ เมตตาข้าสักครั้งเถอะนะเจ้าคะ”
เฟิ่งเยว่อิงกอดขาร้องขอความเมตตา ที่เฟิ่งเหลียนฮวาได้แต่รู้สึกสมเพชขึ้นมาไม่น้อย ยามที่คิดเอาชีวิตผู้อื่นกลับไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ยามนี้กล้าที่จะร้องขอความเห็นใจจากผู้อื่น
“ท่านแม่ ให้ข้าจัดการเองเถอะนะเจ้าคะ” นางร้องขอต่อท่านแม่เป็นคนจัดการฮูหยินผู้นี้ด้วยตัวเอง
“ตามใจเจ้า”
“ฮูหยินรอง ครั้งนี้ข้าจะให้โอกาสท่าน แต่หากมีครั้งหน้าเกรงว่าแม้แต่เงาหัวก็อาจจะไม่มี”
“ขะ…ข้ารับปากคุณหนูใหญ่”
“เช่นนั้นท่านไปเถอะ”
เฟิ่งเหลียนฮวาปล่อยฮูหยินรองไปในครั้งนี้แน่นอนว่านางย่อมมีเหตุผล หากไม่มีมารดาที่มักใหญ่ใฝ่สูงผู้นี้เป็นตัวกระตุ้นความอิจฉาภายในใจของน้องสาวต่างมารดา ความแค้นของนางคงไม่สามารถบรรลุล่วงไปได้
การที่นางได้ช่วยชีวิตมารดาเอาไว้นั่นเป็นเรื่องที่นางปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด หลังจากนี้นางจะปกป้องตัวเองและมารดาเอาไว้ให้ดี ไม่ให้ผู้ใดรังแกได้อีกต่อไป
………..
พิธีปักปิ่น…
เฟิ่งเหลียนฮวายังคงปล่อยทุกอย่างผ่านไปเช่นเดิม แม้ครั้งนี้นางจะมีมารดาอยู่เคียงข้างแต่นางก็เลื่อนพิธีปักปิ่นออกไปหนึ่งปีเพื่อแก้แค้นสองแม่ลูกที่เคยหักหน้าของนางเอาไว้
ภายในตระกูลเฟิ่งต่างยกยอปอปั้นว่าคุณหนูใหญ่นั้นมีเมตตาและรักใคร่คุณหนูรองประหนึ่งน้องสาวร่วมมารดา แม้กระทั่งพิธีปักปิ่นนางยังยอมรอน้องสาว
ปีนี้เฟิ่งเหลียนฮวาอายุอานามย่างเข้าสิบหกปีแล้ว ในขณะที่เฟิ่งจื่อเหยียนอายุสิบหน้าหนาวพอดีกับวัยปักปิ่น แน่นอนว่าพิธีปักปิ่นของบุตรีท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าผู้ใด
ภายในเรือนของนาง มีมารดาและเจียวมี่ช่วยแต่งกาย นางยังคงเลือกอาภรณ์สีแดงสดเช่นเคย แม้เฟิ่งจิ่วเมิ่งมารดาจะเอ่ยทัดทานแต่นางก็ยังคงแจ้งเจตจำนงในการเลือกสรรอาภรณ์ให้กับตัวเองอยู่ดี
อาภรณ์สีแดงจัดจ้านถูกปักลวดลายเหลียนฮวาสีแดงตัดขอบทองอย่างงดงาม กับผ้าคลุมไหล่ขาวเนียนสีขาวเหลือบแดงดั่งนางพญาหงส์เพลิง ปลายเรือนผมสีดำเงางามถูกปล่อยสยายเพื่อรอให้มารดาปักปิ่นให้
“เอาไว้เจอกันที่ลานพิธีนะลูกรัก”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”