บทย่อ
ดอกบัวดอกนี้ไม่อาจเป็นสีขาวบริสุทธิ์ให้ผู้ใดรังแกอีกต่อไป แต่จะแปรเปลี่ยนเป็นสีชาดที่ถูกแต่งแต้มด้วยโลหิต แน่นอนว่าโลหิตที่อาบย้อมนั้นไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของคนชั่วช้าเช่นพวกเจ้า!
บทนำ ชะตาชีวิต (1/2)
เมืองฉางชุน แคว้นซีโจว...
ท่ามกลางกลีบดอกเหมยสีหวานที่แพร่สะพัดล่องลอยไปตามสายลม บ่งบอกว่าวสันตฤดูนั้นได้วนกลับมาเยือน บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยดอกเหมยที่กำลังเบ่งบานอยู่เต็มกิ่งก้านใบ หลังจากผ่านพ้นความหนาวเย็นในช่วงเหมันตฤดูมาได้ไม่นาน ดอกไม้นานาพรรณก็เริ่มผลิดอกออกใบอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จวนตระกูลเฟิ่ง
เมื่อฤดูกาลที่หวานหอมนั้นเป็นใจ จวนของแม่ทัพเฟิ่งก็ได้จัดงานมงคลใหญ่โตต้อนรับต้นวสันตฤดูด้วยความชื่นมื่น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับจัดพิธีแต่งงานมากที่สุด
ภายในเรือนนั้นเต็มไปด้วยผ้าแพรสีแดงและอักษรมงคล รวมถึงบรรดาขุนนางที่มาร่วมแสดงความยินดีให้กับบุตรีคนโตของท่านแม่ทัพที่จะได้ออกเรือนไปกับบุตรชายของเสนาบดีกรมโยธา
เมื่อฤกษ์งามยามดีมาถึง เจ้าสาวในอาภรณ์ผ้าไหมชั้นดีปักลวดลายประณีตสมฐานะของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งกำลังก้าวเท้าออกจากเรือนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอม และรอยยิ้มที่เผยให้เห็นถึงความสุขใจภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดที่บดบังเอาไว้
การแต่งงานในครั้งนี้เป็นเพราะสัญญาหมั้นหมายของมารดาผู้ล่วงลับกับสหายรักของมารดาที่ลั่นวาจาเอาไว้ตั้งแต่ที่นางยังเยาว์วัย เมื่อผ่านพ้นพิธีปักปิ่นมาราวสามปี ตระกูลหวงก็เป็นฝ่ายมาทวงสัญญาหมั้นหมายกับท่านพ่อของนางแทนมารดาที่ลาจากไป
เฟิ่งเหลียนฮวา คุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่ง ขึ้นเกี้ยวขนาดหกคนหามเพื่อมุ่งตรงไปยังจวนของเจ้าบ่าว ภายในเกี้ยวขนาดพอตัว นางกลับมีอาการประหม่าขึ้นมาไม่น้อย ภายในใจนั้นตื่นเต้นที่จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับบุรุษที่นางมอบใจให้ ฝ่ามือเล็กรื้นไปด้วยเหงื่อ เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นระลอกเมื่อยามที่เกี้ยวผ่านผู้คน
ด้วยความที่ทั้งสองตระกูลเป็นขุนนางที่มีผู้นับหน้าถือตามากมาย งานมงคลสมรสในครั้งนี้จึงถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่
เฟิ่งเหลียนฮวาในอาภรณ์เจ้าสาวยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่อยู่ในอาภรณ์แบบเดียวกันกับนาง เพื่อเริ่มพิธีคำนับฟ้าดิน
หวงซวนถาน บุตรชายเพียงคนเดียวของเสนาบดีหวงอายุอานามย่างเข้ายี่สิบสี่หนาว นับว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งของฉางชุน ทั้งพื้นฐานตระกูลและหน้าที่ในราชสำนักที่กำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นรองเจ้ากรมคลังในอีกไม่นาน
ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีสด ดวงตากลมโตมองสำรวจเจ้าบ่าวของตัวเองด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเขาเป็นสัดส่วนราวกับหยกปั้น ซ้ำยังหวานละมุนและน่าค้นหา ส่งให้เฟิ่งเหลียนฮวายิ้มกว้างด้วยความปลื้มปริ่มใจที่จะมีสามีเป็นบุรุษรูปงาม
พิธีการคำนับฟ้าดินเป็นไปอย่างราบรื่นและกระชับ ไม่นานเฟิ่งเหลียนฮวาก็ถูกส่งตัวเข้ามารอเจ้าบ่าวภายในเรือนหอเสียแล้ว ร่างบางนั่งเกร็งอยู่บนเตียงกว้าง ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดผ้าคลุมหน้าออกก่อนเวลาที่เจ้าบ่าวจะมาถึง หัวใจดวงน้อยเต้นเร่าอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาคู่งามจ้องมองไปยังสุรามงคล ฉับพลันก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้าเพราะเผลอไผลจินตนาการภาพหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างมอบสุรามงคลให้แก่กัน
“เฟิ่งเหลียนฮวา ความคิดเจ้านี่นะ” ริมฝีปากบางสีแดงสดขยับพึมพำภายใต้ผ้าคลุมหน้า ก่อนจะขบเม้มกลีบปากด้วยความเขินอาย
ในระหว่างที่นางกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวด้วยความตื่นเต้น เสียงของบานประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาด้านในก่อนจะมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเฟิ่งเหลียนฮวา
นัยน์ตาคู่สวยมองเห็นชายอาภรณ์ของอีกฝ่ายเป็นสีเดียวกับนางก็รับรู้ได้ในทันทีว่าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือเจ้าบ่าวที่นางรอคอยด้วยใจจดจ่อ เฟิ่งเหลียนฮวาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองเห็นร่างสูงสง่าเดินไปรินสุรามงคลลงจอก แล้วเดินมาหานางที่นั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง
“ฮวาเอ๋อร์ เจ้าสาวของข้า หากข้าจะเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าจะยินดีหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนโยน ส่งให้เฟิ่งเหลียนฮวาหัวใจอ่อนยวบ
“ฮวาเอ๋อร์แต่งเข้าตระกูลหวงเป็นภรรยาของท่าน แล้วฮวาเอ๋อร์จะไม่ให้สามีเห็นหน้าได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ายินดี”
ยามนี้ใบหน้าของนางรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวประหนึ่งกำลังโดนสุมไฟ อีกทั้งรอยยิ้มที่เหยียดกว้างด้วยความเขินอาย สองฝ่ามือบีบเข้าหากันแน่นเพื่อลดอาการประหม่า ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าฝ่ามือหนาของเขากำลังยื่นมาเปิดผ้าคลุมหน้าของนางออก
ปลายนิ้วเรียวยาวเชยปลายคางกลมมนของเฟิ่งเหลียนฮวาให้เงยหน้าขึ้นสบตา เมื่อสองนัยน์ตาสอดประสาน สมองของนางกลับขาวโพลนไปเสียหมด ไม่คิดเลยว่าคุณชายหวงซวนถานผู้เป็นสามีจะมีรูปงามหล่อเหลาจนเสียอาการ
“ภรรยาข้า เจ้าเอาแต่หลบตาจะดื่มสุรามงคลได้อย่างไรเล่า”
หวงซวนถานหย่อนกายลงด้านข้างของนาง ก่อนจะเชยปลายคางให้มองสบตาด้วยความอ้อยอิ่ง ก่อนที่เขาจะยื่นจอกสุราให้กับนางแล้วสอดแขนเพื่อป้อนสุราให้กับอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน อีกทั้งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเขา
“จะ…เจ้าค่ะ”
เฟิ่งเหลียนฮวาทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะดื่มสุราที่เขาบรรจงป้อนด้วยความเต็มใจ และป้อนสุราให้เขาด้วยเช่นเดียวกัน
“ฮวาเอ๋อร์ อีกไม่นานเจ้าจะมีความสุขจนไม่สามารถลืมข้าไปได้ชั่วชีวิต”
หวงซวนถานกระตุกยิ้มบริเวณมุมปากกับดวงตาที่พร่างพราวราวกับมีเลศนัย แต่นางกลับยิ้มรับด้วยความสุขที่เอ่อล้นใจ
“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทั้งที่ภายในใจของนางคิดเตลิดไปไกลเกินกว่าจะหยุดยั้งไปแล้ว
“ฮวาเอ๋อร์ เจ้าอย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ฮ่า”
ฉับพลันดวงตาของเฟิ่งเหลียนฮวากลับฝ้าฟางเสียจนมองเห็นใบหน้าของเขาพร่าเบลอไปหมด ภาพที่นางมองเห็นทั้งทับซ้อนจะหมุนวนเสียจนเวียนหัว รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมเสียจนน่ากลัว
“ทะ…ท่านพี่ ข้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ทำไม…” เฟิ่งเหลียนฮวากลับรู้สึกได้ถึงความคับแน่นที่อยู่ภายในอก ลมหายใจที่มีเริ่มแผ่วเบาอย่างน่ากลัว
“อดทนหน่อยนะ อีกไม่นานเจ้าก็จะสบายแล้วฮวาเอ๋อร์”
สายตาของเขาที่นางมองเห็นเลือนราง ช่างน่าหวาดกลัวเสียจนเฟิ่งเหลียนฮวาใจคอไม่ดี สมองของนางในยามนี้เริ่มไม่สามารถที่จะสัมผัสรู้สิ่งใด ความพร่าเลือนของสายตาเริ่มพาเข้าสู่ความมืดมนจนสติดับไปอย่างไม่รู้ตัว
…………….