บทที่ 2 ฉาดใหญ่ (2/2)
เฟิ่งเหลียนฮวาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ร่างเล็กย่อตัวลงก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปเด็ดดึงดอกบัวสีแดงสดที่อยู่ใกล้มือที่สุด ใบหน้างามโน้มลงไปใกล้กับดอกไม้ที่อยู่ในมือ พร้อมกับจรดจมูกที่โด่งเป็นสันคมลงไปเพื่อสูดดมความหอมหวาน
นางย่างกรายเข้ามานั่งลงภายในศาลาและดอมดมความหอมของเหลียนฮวาสีชาดภายในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส
แต่ทว่าปลายสายตากลับเห็นร่างอรชรที่นางรู้สึกชังหน้าขึ้นมาแบบบอกไม่ถูกกำลังรุดเร่งเข้ามายังศาลาที่นางนั่งอยู่
“เหลียนฮวา ข้าอยากขอยืมเครื่องประดับของเจ้า” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองดังขึ้นอยู่เบื้องหน้า
“เหตุใดข้าต้องให้เจ้ายืมด้วยเล่า…” เฟิ่งเหลียนฮวาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“พูดอะไรของเจ้า เหลียนฮวา เจ้าบ้าแล้วหรือที่ปฏิเสธข้า!”
สตรีเบื้องหน้าเริ่มดีดดิ้นขึ้นมาด้วยท่าทางที่น่าสะอิดสะเอียนไม่น้อย ดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความแค้นช้อนขึ้นมองเฟิ่งจื่อเหยียนสตรีหน้าไม่อาย ก่อนจะยกยิ้มเหยียดส่งให้อย่างไม่คิดที่จะไว้ไมตรี
“คงอย่างนั้น…กระมัง”
“เฟิ่งเหลียนฮวา ข้าให้โอกาสเจ้าคิดใหม่อีกที”
ดวงตากลมโตจ้องมองสตรีน่าเกลียดอย่างไม่เกรงกลัว ใบหน้าของสตรีผู้นี้ฉาบหนาไปด้วยเครื่องประทินโฉมเสียจนไม่น่าดู ริมฝีปากบางนั้นแต้มชาดสีแดงเข้ม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่งดงามเลยสักนิดแต่ก็นั่นแหละผีเน่าย่อมเหมาะกับโลงผุ ๆ
“ต่อให้ข้าจะคิดอีกกี่ครั้ง คำตอบข้าก็เป็นเช่นเดิม”
เฟิ่งเหลียนฮวาจรดริมฝีปากลงบนกลีบดอกบัว โดยที่สายตาของนางยังคงจับจ้องเฟิ่งจื่อเหยียนด้วยความท้าทาย
“เห็นทีเจ้าคงลืมรสชาติฝ่ามือของข้าไปแล้วกระมัง!”
ทว่าเฟิ่งเหลียนฮวากลับคุ้นเคยกับถ้อยคำของเฟิ่งจื่อเหยียน จนนึกคิดถึงเหตุการณ์ที่นางเคยพบเจอ สตรีหน้าด้านผู้นี้ชอบทำทีมาขอหยิบยืมเครื่องประดับของนางอยู่บ่อยครั้ง แต่นางไม่เคยได้คืนเลยสักชิ้น วันนั้นนางจึงปฏิเสธออกไป แต่กลับต้องถูกสตรีชั่วตบหน้าจนเลือดกลบปาก
“หึ” เฟิ่งเหลียนฮวาแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะส่งสีหน้าที่ยั่วยวนโทสะของอีกฝ่ายจนเลือดขึ้นหน้า
“อย่าคิดลองดีกับข้า!”
เฟิ่งจื่อเหยียนง้างมือสุดกำลัง ก่อนจะฟาดลงมาด้วยแรงมหาศาลโดยมีใบหน้าของนางเป็นที่รองรับ นั่นเฟิ่งเหลียนฮวาคนก่อน ส่วนเฟิ่งเหลียนฮวาคนนี้น่ะหรือ
หมับ
เพียะ
ฝ่ามือเล็กเอื้อมเข้าไปกอบกุมท่อนแขนเล็กของอีกฝ่ายที่โน้มตัวลงมาหมายใจจะประเคนฝ่ามือเข้าใบหน้าของนางเอาไว้แน่น ก่อนที่จะฟาดฝ่ามืออีกข้างเข้าไปข้างแก้มฉาบเครื่องประทินโฉมฉาดใหญ่จนฝุ่นแป้งหลุดติดมือมา
“เจ้าสิอย่าลองดีกับข้า!”
เฟิ่งเหลียนฮวาลุกขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเข้าหาเฟิ่งจื่อเหยียนด้วยสายตาเอาเรื่อง จนอีกฝ่าร่นเท้าถอยหนีด้วยความคาดไม่ถึง
“จะ…เจ้า!”
“ข้าทำไมหรือ เฟิ่งจื่อเหยียนเจ้าคิดจะรังแกข้างั้นสิ”
เฟิ่งเหลียนฮวาที่สูงกว่าน้องสาวต่างมารดาอยู่ราวหนึ่งส่วนเดินประชิดร่างอรชรเข้าไปเรื่อย ๆ จนออกนอกศาลากลางน้ำ
“เฟิ่งเหลียนฮวา เจ้ากล้าดีนัก!”
เฟิ่งจื่อเหยียนง้างมือขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้เลยว่าถูกเฟิ่งเหลียนฮวาต้อนออกมาจนถึงสะพานทางเดินที่ไร้ราวกั้น เพียงแค่นางขยับเท้าเข้าใกล้อีกเพียงก้าวเดียว ร่างที่รังเกียจก็จะตกลงสู่สระน้ำทันที
แล้วมีหรือเมื่อโอกาสมาถึงนางจะพลาดไปอย่างง่ายดาย สองเท้าจึงขยับเดินหน้าไปอีกหนึ่งก้าว ส่งให้เฟิ่งจื่อเหยียนนั้นตกใจจนร่นเท้าถอยหลัง รู้ตัวอีกทีร่างของสตรีเลวทรามก็ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศก่อนจะตกลงสู่สระน้ำจนสภาพไม่เหลือชิ้นดี
ตูม
กรี๊ด
“เฟิ่งเหลียนฮวา!”
“เฟิ่งจื่อเหยียน ครั้งนี้ข้าทำเพื่อเตือนสติเจ้า หากเจ้าหมายใจจะรังแกข้าอีกละก็ เจ้าอาจไม่โดนแค่นี้เป็นแน่”
กรี๊ด
เฟิ่งเหลียนฮวาเดินออกมาจากศาลากลางน้ำ พร้อมกับปัดแป้งฝุ่นที่เปรอะฝ่ามือบางด้วยท่าทางรังเกียจ “ให้ตายสิ หน้าหนายิ่งนัก”