7 ตามหาเพชรที่ถูกโจรกรรม
ภาพในกล้องวงจรปิดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ณภัทรกับเพื่อนทั้งสองยังคงจับจ้องกล้องตัวที่มีผู้โดยสารกำลังเดินทางออกนอกประเทศ ใช้ความอดทนในการดูเป็นเวลานาน เธอรับแก้วน้ำที่ส่งมาจากพนักงานคนสวยที่มีน้ำใจนำมาให้ดื่ม รู้สึกสดชื่น หันไปมองดิลกกับวรัทเห็นว่ามีอากัปกิริยาเหมือนกัน
“ไม่รู้ว่ามันจะเดินทางออกนอกประเทศด้วยเครื่องบินหรือว่ารถยนต์แล้วไปต่อเรือทางภาคใต้ หรือว่าไปกบดานอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา”
ท่าทางณภัทรเป็นกังวลไม่น้อย สงสารถกลผู้ที่สูญเสียเพชรมูลค่ามหาศาล สายตาที่มองมาที่เธอนั้นละห้อย เต็มไปด้วยความหวัง ความชิงชังต่อกลุ่มผู้ร้ายเกิดขึ้น เธอไม่ชอบผู้ที่ทำงานทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ผู้อื่นอย่างไร้ความละอาย
“ดูภาพให้ดีนะ จากลักษณะ ท่าทาง หน้าตา บางทีอาจจะพรางใบหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นการตบตาเจ้าหน้าที่”
วรัทรอบคอบกว่าทุกคน ขณะที่พูด สายตาคู่คมยังคงจ้องมองที่หน้าจอทีวี กระทั่งเห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านออกไป ตามด้วยชายอีกสองคน แต่เว้นระยะห่างเอาไว้ประมาณสิบคน วรัทจ้องตาไม่กะพริบ คิ้วเรียวโก่งขมวดมุ่นเข้าหากัน หันไปมองในจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ กัน เธอส่งเสียงดังด้วยอาการตื่นๆ
“นั่นไง เจอแล้ว ต้องใช่พวกมันแน่ๆ คุณคะ ช่วยย้อนภาพกลับมาให้ดูหน่อยเถอะค่ะ”
“วรัท ใช่พวกมันจริงๆ หรือ”
“จริงสิดิลก นี่ ดูนะ ณภัทรด้วย เห็นไหม ผู้ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเหมือนภาพที่พี่จารึกส่งเมลมาให้ ต่างกันตรงที่สวมหมวกแก๊ป ใส่เสื้อฮาวายกับกางเกงยีน ไม่ได้ใส่ชุดโต๊ปอย่างที่เราเห็นในเมล์ แล้วคนนี้ ห่างกันประมาณสิบคน อยู่ข้างหลังฝรั่งเสื้อลาย เจ้าแขกหน้าเสี้ยมตาโปน แล้วอีกคน เจ้าล่ำ กล้ามใหญ่รั้งท้าย แหม แปลงโฉมจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้”
“โอ แม่เจ้า มันพากันเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ทำยังไงดี ไม่ได้การแล้วต้องไปขอดูข้อมูลก่อน ว่าชื่ออะไร เดินทางไปไหน”
สิ้นเสียงณภัทร ทุกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว เหลือแต่เพียงเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมกล้องวงจรปิด ต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการโจรกรรมเพชรสีชมพูด้วยความสนใจ จากนั้นอีกไม่นาน ข่าวด่วนจากโทรทัศน์ทุกช่อง ออกข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทุกคนให้ความสนใจโดยทั่วถ้วนหน้า และภาวนาขอให้ได้เพชรสีชมพูกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
ทางด้านณภัทรกับเพื่อนๆ ขอดูข้อมูลเกี่ยวกับผู้โดยสารที่เดินทางออกนอกประเทศ นำรูปของสามวายร้ายให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบ เพียงไม่นานสิ่งที่ได้รับคำตอบก็คือ
“ทางเราสงสัยว่าคนกลุ่มนี้ใช้พาสปอร์ตปลอม ชื่อและนามสกุลก็ปลอมเช่นกัน ที่แน่ๆ รู้ว่าพวกเขากำลังเดินทางไปที่โอมัสกัต”
“หา โอมัสกัต มันอยู่ส่วนไหนของโลกล่ะเนี่ย ฉันจะไปตามลากคอพวกมันกลับมาได้ยังไง ดิลก วรัท เธอรู้ไหม”
ท่าทางณภัทรรู้สึกท้อๆ ต่อสิ่งที่รับทราบ โอมัสกัตคือประเทศอะไร อยู่ตรงไหน ไม่คุ้นชื่อ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้คือวรัทเพื่อนสาวผู้มากด้วยความรู้ ดิลกบีบไหล่บอบบางเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ วรัทไม่รอช้าเปิดหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทันที
มือที่ลากเมาท์ขยับเคลื่อนที่ไปมา สลับกับจับปากกาเขียนข้อความสำคัญลงไปในสมุดฉีกที่พกติดตัวเป็นประจำ เม้มริมฝีปากบางเป็นเส้นตรงด้วยความลืมตัว เกือบยี่สิบนาทีต่อการง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ได้ข้อมูลแล้ว”
“ว่ามาเลย เราใจร้อน ดิลกช่วยจำด้วยนะ”
“ครับ คุณผู้หญิง”
“โอมัสกัตเป็นรัฐอิสระอยู่ในตะวันออกกลาง ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ โอมัสกัตเป็นประเทศที่มีโอเอซิสมากกว่าที่อื่น เป็นประเทศเปิดจึงมีพวกผู้ร้ายข้ามแดนเข้ามาในคราบนักท่องเที่ยว”
นักสืบสองหนุ่มสาวยังคงรับฟังข้อมูลจากวรัทด้วยความสนใจ จู่ๆ หญิงสาวเกิดอาการคอแห้ง ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เสียงถอนใจจากดิลกดังขึ้นด้วยความเสียดาย ณภัทรเช่นเดียวกัน จ้องหน้าเพื่อนสาวนิ่ง
แม้ว่าจำได้มั่ง ไม่ได้มั่ง แต่มีความรู้สึกว่าอยากไปที่โอมัสกัตที่สุด ชอบตรงที่มีโอเอซิสมาก คงจะมีความร่มเย็นมากกว่าประเทศอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง มองไปทางไหนเห็นแต่ประกายแสงแดดเต้นระยิบระยับ
“มีข้อมูลอีกไหม”
“มีมากเสียด้วยณภัทร”
“ว่ามาเลย ฉันรอรับฟัง”